วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 778 สนามทดสอบ?


ตอนที่  778  สนามทดสอบ?
เพราะโบราณสถานแห่งนี้เป็นที่อันตรายสุดขีด กลุ่มเขตรกร้างที่แปด กลุ่มทุ่งหิมะและกลุ่มเพลงสงครามยังถูกเชิญมาช่วย
 
ไม่ใช่เพียงแค่ราชาหลิงหวินและถูไห่เท่านั้น
เบื้องหลังของพวกเขายังมีนักสู้ปราณฟ้าทยอยตามมาเรื่อยๆ
ดังนั้นแผนสำรวจโบราณสถานโดยรวมยังถือว่าอยู่ในขั้นเตรียมการ ส่วนเวลาจะมีการจัดการให้ในภายหลัง ทั้งจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน เป็นไปไม่ได้ที่เย่ว์หยางจะเคลื่อนไหวพร้อมกับพวกเขา นอกจากนี้เขาเชื่อว่าคนของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์คงจะไม่รอเวลานานเกินไปอย่างแน่นอน  สมบัติในโบราณสถาน ใครมาก่อนย่อมได้ก่อนเป็นธรรมดา เย่ว์หยางเมื่อมาถึงแล้วคงไม่ยอมปล่อยสมบัติในโบราณสถานหลุดมือไป
ราชาหลิงหวินและคนอื่นๆ รั้งอยู่ปล่อยให้เขาไปสำรวจตามลำพัง
ตามข้อมูลที่เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นได้มาตอนกลางวัน เมื่อถึงเวลากลางคืน เย่ว์หยางจะลอบเข้าโบราณสถาน
ที่ชายขอบรอบนอกทางเข้าโบราณสถานตรงแนวภูเขาถล่มจะมีกองทหารอัศวินกริฟฟินของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ และมีหน่วยทหารลาดตระเวน ของกลุ่มเขตรกร้างที่แปด กลุ่มทุ่งหิมะและกลุ่มเพลงสงครามสามกลุ่มใหญ่คอยกำกับดูแลการเข้าออกมีหัวหน้าที่เป็นนักสู้ปราณฟ้าสามคนดูแล
ด้วยพลังเย่ว์หยางในปัจจุบันและทักษะแฝงเร้นอำพราง ในการลอบเข้าโบราณสถาน มีแต่นักสู้ที่เหนือกว่าระดับจักรพรรดิแดนสวรรค์เท่านั้นจึงจะตรวจเจอ ไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนอื่น เย่ว์หยางยังคงอยู่ที่ทางเข้ารอบนอก เขายืนนิ่งหลายสิบนาทีและใช้เงาปีศาจแฝงตัวเข้าไปในความมืด ไม่มีพวกนักสู้ของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์สังเกตออกว่าฮุยไท่หลางผ่านทางเข้าที่มีทหารตรวจตราอย่างเข้มงวดโดยพวกเขาไม่รู้สึกตัว ถ้านักสู้ปราณฟ้าอื่น ผ่านมาบางทีพวกเขาอาจคิดว่าลมพัด แต่สำหรับเย่ว์หยางนั้นไวมากแม้แต่ตัวเขาเองยังแปลกใจ
ชั่วขณะความคิดเดียวก็ผ่านเข้าไปหลายกิโลเมตร
การคุ้มกันที่ทางเข้ารอบนอก ยังไม่ใช่ทางเข้าที่แท้จริง  เป็นแค่เพียงการผ่านจุดก่อสร้างที่จัดตั้งโดยตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์
ทางเข้าโบราณสถานที่แท้จริงเป็นจตุรัสขนาดยักษ์
ภายในมีรูปปั้นมากมายหลากหลายเผ่าพันธุ์  นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์เครื่องหมายตอนมีชีวิตของยอดฝีมือนั้น
แม้ว่าระดับพลังจะแตกต่าง แต่รูปปั้นทั่วไปที่อยู่บนพื้นมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ประสบความสำเร็จผ่านได้อย่างน้อยสามรอบจึงจะมีคุณสมบัติ
โบราณสถานโบราณนี้จัดตั้งหลักศิลาในกลางพื้นที่ ภายในนอกจากไม่มีคลังสมบัติเท่านั้น แต่ที่นี่ยังเป็นที่ฝึกฝนสำหรับนักสู้ปราณฟ้าอีก
ภายในแบ่งออกเป็นสิบด่าน ทุกครั้งที่ผ่านด่านจึงจะได้รับรางวัล
ต้องผ่านการทดสอบสามระดับถึงจะได้รับการยอมรับ ถ้าไม่สามารถผ่านด่านทดสอบสามรอบ นักสู้ปราณฟ้านั้นไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด สถานะอะไร ย่อมไม่มีคุณสมบัติ
หลังจากผ่านเข้าไปแล้วจนเสร็จสิ้นการทดสอบ จะได้รับรางวัลสมบัติที่สามารถเปลี่ยนชะตานักรบระดับปราณฟ้าได้...
 “เปลี่ยนชะตาของนักรบแดนสวรรค์? หรือว่าจะเป็นเลือดเทพ?” ครั้งนี้คนที่ยืนถอนหายใจอยู่หน้าหลักศิลาจารึกครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ใช่เย่ว์หยาง แต่เป็นอาคันตุกะอีกคนหนึ่งที่คาดไม่ถึง บุรุษคนนี้มาถึงก่อนนี้ เมื่อเทียบกับเย่ว์หยาง บันทึกข้อมูลของรูปปั้นทั้งหมดเป็นของตำหนักกลาง และเขายืนอยู่หน้าเสาอนุเสาวรีย์ยิ้มอย่างคนเห็นแก่ตัว “เมื่อคนอื่นดำเนินแผนวางกลยุทธ์อยู่ในตำหนักไม่สามารถออกมาได้ แต่ข้าก็มาแล้ว ฮ่าฮ่า นี่คือโชคชะตา!  ชะตาของข้าจะเริ่มเปลี่ยนไปในขณะนี้  ตราบเท่าที่ข้าคว้าโอกาสนี้ได้  ข้าจะไม่ใช่แค่รองเจ้าตำหนักผู้พูดคุยกับคนอื่นๆ ในอนาคต  แต่ข้าจะกลายเป็นเจ้าตำหนัก และอาจกลายเป็นเจ้าตำหนักใหญ่เลยก็ได้!  ตราบเท่าที่ข้าได้เลือดเทพ เจ้าพวกที่สูงส่งและยิ่งใหญ่เหล่านี้ ดูกันซิว่าข้าจะเหยียบพวกเขาไว้ในใต้เท้าได้ยังไง  หกพันปีผ่านไป โอกาสของข้ากำลังกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ข้าจะไม่ยอมพลาดอีก” หกพันปี เย่ว์หยางจำข้อมูลนี้ไว้ได้อย่างรวดเร็ว
บางทีเจ้าผู้นี้อาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับการรบกับจักรพรรดิอวี้และแดนสวรรค์ในอดีต
มิฉะนั้นโอกาสจะเกิดขึ้นเมื่อหกพันปีที่แล้วได้ยังไง?
หลังจากเย่ว์หยางใช้พลังจักษุญาณทิพย์ตรวจดูบุรุษที่อยู่ต่อหน้าเขาอย่างระมัดระวัง  เขาพบว่าบุรุษที่อยู่ข้างหน้านี้ไม่ใช่คนที่มีรัศมีเจิดจ้าที่เขาพบเจอในวันที่เมืองลี่จ้าวถูกทำลาย เป็นอีกคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับบุรุษที่อยู่ต่อหน้าเขามีลักษณะและอากัปกิริยาที่คล้ายๆ กัน  แต่พลังจะต่ำกว่า นอกจากนี้คนผู้นี้ไม่ได้เปล่งแสงเหมือนกับบุรุษที่เปล่งแสงได้ก่อนนั้น
คนที่อ้างว่าเป็นรองเจ้าตำหนักยังคงระมัดระวังตัว เขาปล่อยคลื่นพลังระเบิดที่น่ากลัวตรวจสอบพื้นที่รอบๆ
เมื่อพบว่าไม่มีใครเหลืออยู่เขารู้สึกโล่งใจและเดินเข้าไปที่กลางจตุรัสที่ส่องประกายแสงส่งตัวเองเข้าวงเวทเทเลพอร์ต
เมื่อเขาเข้าไปแล้วเย่ว์หยางปรากฏตัวในความมืด
มีฮุยไท่หลางติดตามอยู่ด้านหลัง
วงเวทเทเลพอร์ตทำงานอีกครั้ง
เย่ว์หยางและฮุยไท่หลางสว่างวาบและถูกส่งเข้าไปถึงโลกที่แปลกประหลาด
ในโลกนี้มีพลังกฎสวรรค์มากมายนับไถ้วน เย่ว์หยางไม่เคยชักนำพลังกฎสวรรค์มากมายขนาดนั้นมาใช้ทำงาน  ถ้าไม่ใช่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายก็ต้องดึงมาใช้อย่างระมัดระวัง ดูว่าสามารถได้รับประโยชน์จากการศึกษาทำความเข้าใจพลังกฎสวรรค์ ด้วยตัวเอง
จุดเทเลพอร์ตมีหลักศิลาขนาดใหญ่โตมหึมา
ด้านบนเขียนไว้ว่าหุบเขาพิรุณ
มีแถวอักษรรูนสวรรค์เขียนถึงกฎที่ผู้เข้าทดสอบจะต้องทำตาม
เย่ว์หยางมองดูวับแรกก็ดีใจทันที จนถึงเดี๋ยวนี้เขาจึงได้รู้ว่าโบราณสถานนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อตั้งใจฆ่านักสู้ปราณฟ้า แต่นี่เป็นการฝึกพิเศษ และเนื่องจากว่าไม่มีใครรู้จักอักษรรูนแดนสวรรค์ กลุ่มทหารรับจ้างที่เข้ามากลับไปกระตุ้นขัดขืนหลักการที่นี่  หุบเขาพิรุณนี้เป็นพื้นที่ต้องห้ามเฉพาะ ห้ามบินและห้ามอัญเชิญ”
นักรบคนใดที่พยายามจะบินจะตกลงบนพื้น  ยิ่งบินสูงก็จะร่วงลงมาหนักมากขึ้น
นักรบที่พยายามอัญเชิญอสูรจะถูกโจมตีโดยอสูรอัญเชิญหนักถึงสามเท่า...ข้อห้ามนี้อาจกล่าวได้ว่าคือการฝึกฝนพิเศษ มีแต่คนที่มั่นใจอย่างที่สุดจึงกล้าอัญเชิญอสูรในหุบพิรุณ
น่าเสียดายที่ทหารรับจ้างเมื่อไม่รู้จักภาษารูนสวรรค์ ก็ย่อมประสบเคราะห์กรรม
ทันทีที่พวกเขาเข้ามาข้างใน  พวกเขาจะเรียกอสูรของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นอสูรร่างเลียนแบบโจมตีใส่ และอัญเชิญอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาสู้ศัตรู
ผลที่ตามมานั้นก็คือการฆ่าตัวตัวอย่างน่าเวทนา  พวกทหารรับจ้างที่เข้าไปกลุ่มแรกโดยไม่รู้หลักการที่ห้ามเอาไว้  พวกเขามักจะต้องการบินและตกลงมาพบกับความตาย
ห่างออกหกกิโลเมตร รองเจ้าตำหนักมีอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย  เขาโจมตีและฆ่ามังกรบินทอง อสูรระดับปราณฟ้าสามตัว
แม้ว่ามังกรบินทองทั้งสามจะเป็นอสูรปราณฟ้าระดับหนึ่ง  แต่ก็ถูกฆ่าได้อย่างง่ายได้ แต่พวกมันถูกสร้างเลียนแบบด้วยพลังของกฎสวรรค์   จึงไม่มีศพเหลือให้เห็น และพอเงาร่างตาย ร่างมันจึงหายไป รอจนรองเจ้าตำหนักเรียกมังกรทองออกมาขับขี่ ในท้องฟ้าจึงปรากฏร่างมังกรบินทองสามตัวบินเข้ามาหาเหมือนกับที่ฆ่าไปเมื่อครู่
ในหุบเขาพิรุณหลังจากที่อัญเชิญอสูรแล้ว จากนั้นพลังกฎสวรรค์จะสร้างอสูรเลียนแบบอีกสามตัว เป็นเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน
เย่ว์หยางเห็นแล้ว เขาพยายามกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก
นั่นคือคำสาปที่คนไปกระตุ้นเพราะไม่มีความรู้
เมื่อไม่ได้เรียนรู้ภาษารูนสวรรค์ ก็จะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงบนศิลาจารึก  ในที่สุดก็ต้องเจ็บตัวแบบนี้....
ที่ผนังโถงใหญ่มีเถาไม้เลื้อยและมีคำเขียนไว้ว่า ความรู้ทรงพลังมากกว่ากระบี่
ถ้ารองเจ้าตำหนักหรือทหารรับจ้างก่อนหน้านี้ให้ความสำคัญกับความรู้และทำความเข้าใจอักษรรูนสวรรค์แล้ว  เชื่อได้ว่าคงจะไม่ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เช่นนั้น แน่นอนว่าอักษรรูนสวรรค์ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็เรียนรู้กันได้  ในหลายหมื่นปีที่แล้วอาจเป็นภาษาที่นิยมกัน  แต่วันนี้อักษรรูนสวรรค์แทบจะสาบสูญไปจากแดนสวรรค์ มีแต่อยู่ในมือของนักสู้ที่มีระดับเหนือจักรพรรดิขึ้นไป  แม้แต่นักสู้ปราณฟ้าระดับราชา  ยกเว้นราชาใจสิงห์ คาดว่ามีคนไม่มากนักที่กล้าพูดว่าพวกเขามีความเชี่ยวชาญในอักษรรูนสวรรค์ รวมทั้งผู้มีสติปัญญาอย่างราชาหลิงหวินด้วย
ให้ความสำคัญแต่พลัง ไม่ให้ความสำคัญในเรื่องความรู้
บทเรียนในประวัติศาสตร์คล้ายกับที่เห็นในหอทงเทียน  วันนี้มีคนในหอทงเทียนไม่มากนักที่เชี่ยวชาญภาษารูนสวรรค์
หลังจากถูกโจมตีสามครั้งและห้าครั้ง รองเจ้าตำหนักก็ยังไม่รู้ตัวว่าเขาไม่สามารถอัญเชิญอสูรได้  แต่เขากลับรู้สึกว่าต้องเป็นเคล็ดแฝงอะไรบางอย่าง และอสูรของเขาเองถูกสร้างด้วยเงาปีศาจเพื่อเพิ่มพลังให้เขาเอง
เขาโกรธจัดสังหารมังกรบินทองอีกสามตัว
เขาไม่ขับขี่อสูรอีกต่อไป
ส่งผลให้มังกรบินทองที่โจมตีเข้ามาไม่ขาดสายหยุดโจมตี  และทำให้เขารู้สึกภูมิใจ
ร่างของรองเจ้าตำหนักดิ่งลงพื้นเป็นครั้งคราว เขาไม่รู้เรื่องนั้น ยังคงคิดว่าแรงโน้มถ่วงที่นี่แปลกประหลาด พอกระโดดขึ้นก็ร่วงตกลงมาได้อย่างง่ายดาย  เขาไม่คิดว่าที่นี่ไม่อนุญาตให้บินตั้งแต่แรกแล้ว ในฐานะที่รองเจ้าตำหนักมาจากตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์เป็นธรรมดาที่เขาไม่สามารถวิ่งบนพื้นได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนกับเย่ว์หยาง แต่มองดูคล้ายลิงอุรังอุตังมากกว่า เขาพยายามกระโดดบิน แต่ก็ร่วงลงทุกครั้งครา พยายามจะควบคุมร่าง กระโดดแล้วก็ร่วงลง  ฮุยไท่หลางยิ้ม มันกลั้นหัวเราะแทบกลิ้งเมื่อพบว่า สติปัญญาของเจ้าผู้นี้ไม่เท่ากับของมันกระมัง?
ในท้องฟ้ามีพายุฝนฟ้าคะนอง
ฝนเทลงมาเหมือนลูกศรยิงในทันใด
พอกระทบร่างของผู้คน เจ็บปวดจนแทบสลบ
เย่ว์หยางและฮุยไท่หลางเดินตามรองเจ้าตำหนักผู้หยิ่งยโสขวัญกล้าเทียมฟ้าโดยไม่ลังเล เมื่อรองเจ้าตำหนักออกมาที่ถนนใหญ่ พวกเขาจะต้องเสี่ยงพนัน ดูเหมือนว่าเจ้าผู้นี้จะถูกพลังกฎสวรรค์โจมตีใส่ที่ถนนใหญ่  ที่หุบเขาพิรุณแห่งนี้ ไม่สามารถออกถนนใหญ่ได้แน่นอน มิฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษจากพลังสายฟ้าฟาด
เปรี้ยง!
รองเจ้าตำหนักแม้จะไปทางซ้ายและวกไปขวา ก็ยังถูกสายฟ้าฟาดใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ขณะนี้เขาอยู่ในสภาพผมฟูชี้ชันมีควันลอยกรุ่น เขาจึงรู้ได้ว่าหุบเขาเล็กแห่งนี้ เป็นพื้นที่ถูกจำกัดด้วยพลังกฎสวรรค์ ไม่สามารถออกนอกเส้นทางไปได้  การออกนอกเส้นทางจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี
ฮุยไท่หลางยิ้มจนมันต้องเอาอุ้งเท้าปิดปากแน่นกันไม่ให้เสียงหัวเราะของมันดังออกมาอย่างควบคุมไม่ได้  ในหุบเขาพิรุณ บ่อน้ำเล็กๆ คือกับดัก มันอาจจะไม่ทำอะไร แค่ทำให้คนติดอยู่ในโคลน บางทีอาจมีสัตว์ประหลาดที่ฆ่าไม่ตายแต่ลากคนไปกินในบ่อได้  บางทีอาจมีกับดักพิษที่ไม่รู้จัก เมื่อก้าวเหยียบเข้าไป อาจถูกพิษก็ได้
รองเจ้าตำหนักยังคงไปต่อ เขาใช้พลังแสงสว่างขับไล่พิษและรอยด่างมลทินต่างๆ
พลางสบถอยู่ในใจ
มิน่าเล่าทหารรับจ้างระดับปราณฟ้าเข้ามาไม่ถึงสิบนาทีก็ตาย  มันทรงพลังจริง น่ากลัวเหลือเกิน
โชคดีที่ไม่มีใครเห็นสภาพทุลักทุเลของเขา  มิฉะนั้นความขายหน้าครั้งนี้คือความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่  รองเจ้าตำหนักขับไล่รอยด่างพิษและแช่แข็งจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งประหลาดที่ไม่สามารถฆ่าได้ มันกระเด้งกระดอนเหมือนกับตั๊กแตนตรงกลับไปที่หุบเขาพิรุณ
เย่ว์หยางมีโอกาสจะกำจัดเขา  แต่เขาไม่ต้องการฆ่ารองเจ้าตำหนักเป็นการชั่วคราว
มีโล่ช่วยป้องกันข้างหน้าอย่างนั้น ดีกว่าต้องเข้าไปสำรวจด้วยตนเอง
จุดที่สำคัญที่สุดก็คือในเมื่อรองเจ้าตำหนักอยู่ที่นี่  แล้วเจ้าตำหนักเล่า?
แม้ว่าจะไม่แน่ใจเต็มร้อย แต่เย่ว์หยางเดาว่า  เขามีพลังมากและกระตือรือร้นจะได้รับพลังเพิ่มขึ้น และคาดว่าเขาอาจเข้ามาแล้ว อาจจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งข้างหน้าก็เป็นได้
 “แค่ฆ่ารองเจ้าตำหนักอาจไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัส  แต่ถ้าสามารถฆ่าเจ้าตำหนักของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ได้นี่แล้วจะเป็นยังไง ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น  เจ้าตำหนักของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์มีอยู่กี่คนกันแน่?  เจ้าตำหนักใหญ่และยอดฝีมือสูงสุดของตำหนักไม่ต้องไปคิด คาดว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าก็คงไม่มีปัญญาฆ่าได้  แต่ถ้าเป็นระดับเจ้าตำหนักลงไปอาจมีโอกาสทำได้!  ฮุยไท่หลาง, ครั้งนี้เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว  ถ้ามีอะไรผิดพลาด ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้า!  เย่ว์หยางเตือนฮุยไท่หลางไม่ให้ยั้งมือ  จะกินรองเจ้าตำหนักเป็นเรื่องที่ยากมาก  ถ้ามีเจ้าตำหนักอยู่ข้างหน้า  ถ้าไม่ทุ่มเทกำลังจริงๆ เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย!
 “เมี้ยว เมี้ยว!  ฮุยไท่หลางยืนตรง ใช้อุ้งเท้าหน้าแตะอกปฏิญาณต่อเย่ว์หยางว่ามันจะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วงได้!
ทั้งนายและบ่าวปรึกษากัน โชคร้ายย่อมตกอยู่ที่รองเจ้าตำหนัก
เหตุการณ์ยังดำเนินต่อไป
ปกติเขาฉลาดมากจนภูมิประเทศและพลังกฎสวรรค์ของหุบเขาพิรุณทำอะไรไม่ได้ ไม่มีทางที่พลังกฎสวรรค์จะส่งผลกระทบต่อเขา  แม้ว่าจะทรงพลังแข็งแกร่ง แต่พลังลงโทษก็ไม่น้อยกว่ากันเลยทีเดียว
เย่ว์หยางยังคงสังเกตเรื่องนี้ ในหุบเขาพิรุณผู้เข้าทดสอบจะอนุญาตให้ใช้พลังกฎสวรรค์ ต่างจากการทดสอบในหอทงเทียน เมื่อกระตุ้นการทำงานและถูกทำโทษหรือถูกห้ามเป็นไปไม่ได้ที่จะหาช่องว่างช่องโหว่  พลังกฎสวรรค์ที่นี่ส่งเสริมในเรื่องของการปลอมแปลงท้าทายผู้เข้าทดสอบ  เพียงแต่ต้องมีพลังเพียงพอ
ถ้าใช้ที่นี่ฝึกฝนอยู่เสมอ นี่เป็นสถานที่ฝึกฝนที่ดี
นี่คือสถานที่สำหรับนักสู้ของแดนสวรรค์ คล้ายกับประตูเป็นตาย?
มันคู่ควรกับนักสู้แดนสวรรค์หรือเปล่า?
เย่ว์หยางคิดอย่างตื่นเต้น และคิดถึงความเป็นไปได้นี้ทันที  ความคิดนี้กระตุ้นความสงสัยของเขา หอทงเทียนมีวิหารสิบสองนักษัตรและประตูเป็นตาย ฯลฯ แดนสวรรค์มีดินแดนทดสอบ เป็นไปได้หรือไม่....!-!

7 ความคิดเห็น:

krisda กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

sarinnan กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Boybravo กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

นายแนนซ่า กล่าวว่า...

ความซวยจึงบังเกิดก่ะ รองเจ้าตำหนัก ฮาเลยยยย

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Lex กล่าวว่า...

ท่านรองฯ กลายเป็นคนเบิกทางให้ไอ้สามกะน้องฮุย ซะงั้น

chay กล่าวว่า...

ได้เวลารับทรัพย์เพิ่มแล้วชายเย่

แสดงความคิดเห็น