วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ยอดยุทธไร้เทียมทาน ตอนที่ 917 ความรู้สึก


ตอนที่  917  ความรู้สึก
หลังจากเซี่ยอวี่อันรายงานภารกิจต่อนายท่าน  เขาเลิกวางท่าทางผู้บัญชาการด้วยสีหน้าสงบ  แต่ใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย

เขาได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการสูงสุด และไม่พบว่าเป็นเรื่องแปลก  แม้ว่าเขาจะถูกวางตัวไว้แนวหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับสมัครคัดเลือกทหาร หรือถ่วงเวลาม่อซินให้ล่าช้าเขาทำทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ  และเป็นการปฏิบัติการทางทหารที่โดดเด่น
สิ่งแรกที่ผู้คนทำเมื่อพวกเขาเห็นคำสั่งคือแสดงความยินดีกับเขา  พวกเขาเห็นเซี่ยอวี่อันในฐานะแม่ทัพทหารที่โดดเด่นซึ่งได้รับการสนับสนุน  การเลื่อนขั้นของเซี่ยอวี่อันเป็นเรื่องที่ทุกคนจับตามมอง  ในสายตาคนส่วนใหญ่ ไม่มีใครสร้างผลงานได้ยิ่งใหญ่ได้เท่าท่านเซี่ยอวี่อัน
เขากลายเป็นแบบอย่างของภูมิภาคใต้
เซี่ยอวี่อันไม่ได้รับผลกระทบมากนักหลังจากสงครามนองเลือด และกลายเป็นคนที่มั่นคงมากกว่าเดิม  เหรียญตราที่เขาได้รับล้วนอาบเลือดของเหล่าสหายของเขา  และสำหรับเขามันเป็นความรู้สึกที่หนักมาก
และเขารู้ว่าคำสั่งสูงสุดได้สั่งให้เขากลับมาไม่ใช่เพื่อเลื่อนตำแหน่งเขาเท่านั้น  แต่เป็นเพราะสงครามเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว
จากการสูญเสียอย่างร้ายแรงของโกวเฉิงเวิ่นเต้าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทวีปซางโจว  ความสำเร็จในการถ่วงเวลาม่อซินและชิวซิ่วหัว  พวกเขาได้ขุดหลุมลึกสำหรับทวีปกวงหมิง
แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้สัมพันธมิตรใต้กุมความได้เปรียบคือ มีการขัดแย้งกันของผู้มีอำนาจในทวีปกวงหมิง  เซี่ยอวี่อันไม่เคยคาดว่าการขัดแย้งกันภายในจะเกิดขึ้นในทวีปกวงหมิงในช่วงเวลาสำคัญขนาดนั้น  ความขัดแย้งภายในของทวีปกวงหมิงกะทันหันและรุนแรงจนข่าวลือและข่าวนินทากระจายไปทั่วทุกพื้นที่
ความขัดแย้งภายในทวีปกวงหมิงก็คือปมของสงคราม  และเป็นปมจุดเปลี่ยนให้สัมพันธมิตรใต้เปลี่ยนจากตั้งรับเป็นรุก
คู่สงครามทั้งสองฝ่ายตระหนักว่าสมดุลของสมรภูมิเริ่มเอนเอียงไปทางสัมพันธมิตรใต้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังใจครั้งใหญ่  กำลังใจของสัมพันธมิตรใต้พุ่งสูง และความกลัวที่พวกเขามีต่อทวีปกวงหมิงถูกกวาดหายไปหมด เริ่มมองเห็นชัยชนะในอนาคต  ศักดิ์ศรีของสัมพันธมิตรใต้เริ่มสูงเฉิดฉายเหมือนกับพระอาทิตย์เที่ยงวัน  ศัตรูของพวกเขาก็คือทวีปกวงหมิง  วิหารที่ทรงพลัง และการเพิ่มขึ้นของชัยชนะของสัมพันธมิตรใต้ทำให้เป็นที่รู้กันว่าพวกเขาก็แข็งแกร่ง
แม้ว่าการสู้รบจะยังไม่จบ  แต่ข่าวของสัมพันธมิตรใต้ก็มีการแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคใต้    ในช่วงต้นของการรวมตัวของภูมิภาคใต้  ภายใต้ไฟสงคราม ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าพวกเขาสามารถต้านทานต่อสู้การแทรกซึมของทวีปกวงหมิงได้  และทั้งหมดเข้าร่วมกับสัมพันธมิตรใต้
เทียบกับกำลังใจที่เพิ่มขึ้นของสัมพันธมิตรใต้แล้ว  กำลังใจของทหารจากทวีปกวงหมิงนับวันมีแต่จะตกต่ำลง
ทหารของทวีปกวงหมิงทุกคนเผชิญกับการลอบทำร้ายหรือการต่อต้านก็ตระหนักได้ว่ามีความรุนแรงเกินกว่าเมื่อตอนสงครามเพิ่งเริ่ม  พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาติดอยู่ในทรายดูด  การสู้รบกลายเป็นยากลำบากมากขึ้น  และถ้านี่ไม่พอจะให้พวกเขาสูญเสียกำลังใจ  อย่างนั้นข่าวการขัดแย้งกันในทวีปกวงหมิงทำให้หัวใจของพวกเขาเย็นยะเยือก ชิวซิ่วหัวและม่อซินได้รับผลกระทบมากที่สุด  การกระทำของตระกูลชิวและตระกูลม่อทำให้ทั้งสองคนอยู่ในสถานะที่น่าอึดอัด
พวกเขาลังเล ไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไร  และกลับกลายเป็นกังวลถึงอนาคตของตน  ถ้าสัมพันธมิตรใต้ชนะ  ก็คงไม่มีเรื่องอะไรกับพวกเขา  แต่ถ้าวิหารชนะ  พวกเขาจะถูกประหารชีวิตโดยไม่มีที่ฝังศพ
ความกังวลของโกวเฉิงเวิ่นเต้าตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงคืนเดียว เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้ได้หรือการป้องกันได้เกิดขึ้นในระหว่างสามแม่ทัพใหญ่
เซี่ยอวี่อันมองเห็นตรงนี้  พวกเขาไม่มีศัตรูใดๆ อยู่เบื้องหลังของพวกเขาต่อไป และการเพ่งความสนใจติดตามการสู้รบถูกย้ายไปที่ทวีปซางโจว  นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงที่มีคำบัญชาเรียกตัวเขากลับ เนื่องจากไม่ต้องมีการระวังหลังอีกต่อไป  สำหรับเซี่ยอวี่อันเป็นแม่ทัพทหารที่ทรงพลัง  แต่ถ้าไม่ถูกใช้งาน นับเป็นความสูญเปล่า
เซี่ยอวี่อันดีใจ ราวกับเป็นแม่ทัพบัญชาการใหม่บริสุทธิ์  เขาเชื่อว่าเขาจะต้องกลับมาอยู่ในสมรภูมิ เพราะการสู้รบนั้นสำคัญมาก
 ก็เพียงแค่นั้น....
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขารู้สึกได้ก่อนนั้น ความดีใจของเขาลดลง
เมื่อเขารายงานท่านปิง  เขาตระหนักว่าท่านปิงมีร่องรอยกังวลอยู่ในใบหน้า  แม้ว่าปิงจะซ่อนไว้เป็นอย่างดีก็ตาม  แต่เซี่ยอวี่อันก็ยังรู้ได้  เซี่ยอวี่อันกังวลมาก  สถานการณ์ก็ดีทำไมนายท่านถึงยังกังวล?
ภายในห้องประชุม ควันลอยอ้อยอิ่ง
ใบหน้าไพ่ของปิงเลือนรางอยู่ในกลุ่มควัน มีเถ้าบุรุษตกอยู่โดยรอบเท้าเขา  เขาจ้องมองแผนที่บนผนังและยังคงยืนอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานานโดยไม่ขยับ  ตาของเขาราวกับว่าจะมองทะลุทุกอย่างบนแผนที่ และเต็มไปด้วยความกังวล
การเชื่อมโยงของเขากับถังเทียนถูกตัด
ไม่ใช่เป็นครั้งแรก  เมื่อถังเทียนอยู่ในแดนบาป  การเชื่อมโยงของพวกเขาก็ถูกตัดขาด  เวลานั้นเขาไม่ได้กังวล  และยังคงควบคุมและพัฒนาสัมพันธมิตรใต้  เพราะเขารู้สึกว่าถังเทียนจะมีวิธีกลับมายังดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้
 แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป
ถังเทียนพบเขาในช่วงเวลาสองวัน  และเขาได้ยินรายงานของถังเทียนเกี่ยวกับเรื่องทวีปกวงหมิง  ปิงรู้สึกว่าข่าวการขัดแย้งภายในทวีปกวงหมิงถือเป็นโอกาสที่ดีมาก  และโดยพลังของสัมพันธมิตรใต้  พวกเขาได้แพร่กระจายข่าวออกไปอย่างกว้างไกล  แม้แต่โกวเฉิงเวิ่นเต้าและพวกก็ได้รับรับแจ้งผ่านช่องข่าวของปิง
ปิงยังรู้อีกว่าการต่อสู้ที่เด็ดขาดสำหรับถังเทียนและพวกสนิท และเพราะการเชื่อมโยงกับเขา  ถังเทียนถูกตัดขาดกะทันหันในช่วงเวลาสำคัญ  ปิงรู้สึกถึงอันตรายทันที
ความลึกซึ้งยากจะหยั่งของวิหารและการปิดบังพลังเอาไว้ทำให้ผู้คนกลัวพวกเขา  ปิงและวิหารมีการต่อสู้มานานและความรู้ของเขาที่มีต่อวิหารและความตั้งใจของพวกเขาก็มีเหนือมากกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นกองทัพของวิหารหรือแม่ทัพใหญ่ ทุกอย่างนั้นโดดเด่นมาก แสดงให้เห็นถึงระบบการคัดสรรผู้มีพรสวรรค์และการสร้างกองทัพที่มีเหนือมหาอำนาจอื่น
แม้แต่สัตว์ป่าก็จะดิ้นรนต่อสู้จนพวกมันตาย สำหรับพวกโหดร้ายอำมหิตอย่างวิหาร พวกเขาจะรอให้ถูกจับได้อย่างไร?
สัตว์ที่ดุร้ายจะใช้พลังฮึดครั้งสุดท้ายของมันดิ้นรนมากขึ้น  สัมพันธมิตรใต้ยิ่งคุกคามต่อวิหารโดยตรง และปิงเชื่อว่าถ้าเขาเองเห็นจากระยะไกลหลายไมล์ว่า  ระดับสูงของวิหารก็จะต้องเห็นได้ชัดมากกว่า และการตอบโต้ของพวกเขาจะต้องรุนแรงเกินกว่าจะคาด
ด้วยการสนองตอบที่รวดเร็วที่สุดของเขา  ปิงส่งคนจำนวนมากออกไปสังเกตการณ์และพยายามรับข้อมูลมาให้มากและชัดเจนที่สุด  แต่เขารู้ว่าปัญหานั่นไม่สามารถจัดการได้โดยเร็ว  เขาต้องการเวลา  การเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์อย่างฉับพลันทำให้สัมพันธมิตรใต้ไม่มีเวลาตั้งตัว  มันอยู่นอกเหนืออิทธิพลของพวกเขา
ปิงทำได้แต่เพียงทำงานหนักเพื่อคาดเดาและไตร่ตรอง  วิชาที่เป็นไปได้ที่ทางวิหารอาจใช้ออก และวิธีอื่นที่เขาสามารถช่วยถังเทียนและพวก ถังเทียน  เชียนฮุ่ยและพวกที่เหลือก็ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่กับการปะทะภายในทวีปกวงหมิง  ปิงไม่สามารถทำอะไรได้มาก  แต่ในสนามรบใหญ่ ข้ายังจะสนับสนุนถังเทียนได้ไหม?
นั่นคือสิ่งที่ปิงกำลังไตร่ตรองอย่างหนัก
 อย่างน้อยข้าจำเป็นต้องทำบางอย่าง ปิงจัดการแยกแยะในใจ  การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้เขารู้สึกถึงการขัดแย้งที่แปลกประหลาด  บางอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว
และเมื่อลำแสงลงทัณฑ์สุดท้ายยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า  ท้องฟ้าวิหารเซียนจะกลายเป็นสีทองอย่างสมบูรณ์  จะไม่มีดวงอาทิตย์หรือเมฆอีกต่อไป  มีแต่เพลิงทองศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยนิ่งอย่างสงบ
ทหารบนพื้นต่างแตกตื่นกันทุกคน  มีบางคนที่พยายามบินขึ้นไปในท้องฟ้า  แต่ถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์กำจัดสลายทันที  ท้องฟ้าถูกผนึกอย่างสิ้นเชิง  เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ปากอ่าวกลายเป็นหนาแน่นยิ่งขึ้น  เรือรบระดับทองพยายามจะหนีผ่านไปให้ได้  แต่เมื่อเข้าไปใกล้เพลิงศักดิ์สิทธิ์  เปลวเพลิงรุนแรงก็พ่นเปลวโจมตีเรือรบ  และเรือรบระดับทองที่สรรเสริญกันว่าเด่นในเรื่องพลังป้องกันก็ระเบิดกลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ภายในสิบสองวินาที
เพลิงทองศักดิ์สิทธิ์เผาไหม้ดาดฟ้าเรือทุกตารางนิ้ว วัสดุที่แพงและมีค่าโดดเด่นถูกเผาไหม้เหมือนกระดาษ  สมาชิกลูกเรือทุกคนไม่ว่าที่พยายามซ่อนอยู่ในเรือหรือพยายามกระโดดหนี ล้วนถูกเผาไหม้อยู่ในเปลวเพลิง
เสียงกรีดร้องทรมานดังขึ้นและหยุดลงหลังจากเลือดเนื้อสุดท้ายสูญสลายไป
เมื่อการคุกคามสุดท้ายของเปลวเพลิงหายไปจากท้องฟ้า  หน้าของคนที่เป็นประจักษ์พยานต่างก็ไร้สีเลือด
โหดร้ายเกินไป!
 “วิหารพยายามจะทำอะไร?”  หัวหน้าตระกูลอ้วนคนหนึ่งปาดเหงื่อและบ่น  “เรามักจะทำตามคำสั่งของวิหารไม่เคยจะหักหลังพวกเขามาก่อน”
สายตาเยาะเย้ยมาจากด้านข้าง  คนอ้วนผู้นี้เป็นนักฉวยโอกาส  เขาเพียงแต่รอรับผลประโยชน์และฉวยกำไรจากทั้งสองฝ่าย
แต่หลายคนเห็นด้วย  “ถูกแล้ว, ทำไมวิหารถึงทำกับเราเหมือนเป็นศัตรู?  เรามีความภักดีต่อพวกเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย”
ตระกูลแทบทั้งหมดยินดีอยู่ในใจ  แม้ว่าพวกเขาจะมีความคลุมเครือในเรื่องความภักดี  พวกเขาไม่เคยตัดขาดกับวิหารอย่างเอิกเกริก  เนื่องจากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น  พวกเขาจึงคิดเอาเองว่าวิหารคงไม่ตัดพวกเขาลง  นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายตระกูลมากที่คาดว่าวิหารจะไม่ฆ่าพวกเขาทั้งหมด
ไม่มีใครเชื่อว่าวิหารจะทำเรื่องอย่างนั้น
ชัยชนะของวิหารอยู่ในสายตา และทุกคนพยายามแสดงการรับใช้ที่โดดเด่น  หัวหน้าตระกูลที่ฉลาดทั้งหมดเข้าใจว่าถึงเวลาเปิดเผยความภักดีแล้ว และพวกเขาต้องลอยตัวไว้
พวกเขาทั้งหมดรู้สึกไม่สบายใจ  ต่อให้พวกเขารู้ว่าวิหารไม่สามารถทำลายทุกตระกูล  แต่พวกเขาสามารถฆ่าสักตระกูลหรือสองตระกูลให้เป็นตัวอย่างแก่ตระกูลที่เหลือ  วิหารจะถือความได้เปรียบไว้อย่างแน่นอน  และถ้าพวกเขาไม่ฆ่าสักสองสามตระกูล  พวกเขาจะควบคุมฝูงชนได้ยังไง?  หัวหน้าตระกูลทั้งหมดต่างเฝ้าภาวนาขอให้พวกเขาอย่าได้ถูกเลือก  พวกเขาคุยกันเบาๆ  ว่าจะสามารถแสดงความภักดีกับวิหารได้ยังไง  จะป้องกันตระกูลของพวกเขาไม่ให้ถูกเชือดเป็นตัวอย่างได้ยังไง?
ประมุขผู้อาวุโสจับตามองดูอยู่แต่ไกล  เมื่อลำแสงลงทัณฑ์สุดท้ายเชื่อมโยงเสร็จ  เขาก็เงียบ
 ทุกอย่างลงตัวแล้ว  ได้เวลาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
เขาไม่รู้สึกสบายใจแม้แต่น้อย  แต่กลับหนักใจแทน  เขารู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชนะสูงสุด เขารู้ว่าวิหารจะถือกำเนิดใหม่  แต่ในปัจจุบันนี้เขาไม่ดีใจกับชัยชนะ
ราคาที่เขาต้องจ่ายออกไปเพื่อชัยชนะทำให้เขาเศร้า
ผู้อาวุโสวิหารทั้งหมด  อัศวินกวงหมิงทั้งหมดกลายเป็นทุนสำหรับเดิมพันในการพนันครั้งนี้  วิหารต้องใช้เลือด หยาดเหงื่อและน้ำตาและทุกอย่างทุ่มเทไปกับทุกคนเท่าใด?  หลังจากสงครามจบลง  ไม่มีใครเหลืออยู่  เขาไม่รู้ว่าแม่ทัพใหญ่จะเหลืออยู่เท่าใด  เขายังคงรู้ว่าตระกูลชั้นสูงต้องทุ่มเทมากขนาดไหนพวกเขาจึงจะเติบโตมาถึงจุดที่เป็นอยู่นี้ได้  พวกเขามีพรสวรรค์มากขนาดไหน  เป็นเจ้าของทรัพยากรมากมายขนาดไหน
แต่ทุกอย่างจะมอดไหม้ลงในไฟ และถูกแผดเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน
เถ้าถ่านเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งวิหารเอาไว้ใช้สร้างชีวิตใหม่
 ต้องเป็นแบบนั้น!’
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์รอบตัวประมุขผู้อาวุโสพุ่งสูงขึ้น
ในความมืด โซเฟียนั่งเท้าคางขณะที่นางมองไปไกลอย่างไร้จุดหมายเหมือนกับว่านางจ้องมองดูความมืด  นางไม่รู้เหตุผลที่เปลี่ยนไปเป็นแบบนั้น  เหมือนกับที่นางไม่เข้าใจว่าทำไมโอรสศักดิ์สิทธิ์ชาร์ลส์ถึงได้ตายกะทันหัน  และไม่มีโอกาสจะกล่าวคำอำลา
รัศมีแสงภายในดักแด้ค่อยๆ หมองลง ร่างภายในแสงดิ้นเพื่อชีวิต  แต่โซเฟียรู้ว่าไร้ผล  ภายในนั้นนางมองดูแสงทั้งหมดที่ค่อยๆ หมองลงและสูญเสียสายใยของชีวิตทั้งหมด
ดักแด้ทุกรังหมดสัญญาณของชีวิตและหายไป และโอกาสจะกลายเป็นขุนพลวิญญาณก็สูญหายไปด้วย
โซเฟียรู้สึกเย็นยะเยือก เนื่องจากความเศร้าครอบงำใจนาง  นางรู้ผลที่จะตามมาแล้ว  แต่แล้วยังไงเล่า? พวกเขายังจะรอดได้หรือ, ไม่, พวกเขายังจะรอดได้หรือ?  เพราะเหตุผลบางอย่าง  ความเศร้าในใจของโซเฟียมากขึ้น นางสามารถทุ่มเททุกอย่างเพื่อวิหาร  นางไม่เคยลดความมุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่อวิหาร  แต่ไม่ใช่ในลักษณะอย่างนี้
นางไม่อาจเกลียดประมุขผู้อาวุโสได้  เขาเป็นผู้สร้างนาง  และเขาเป็นเหมือนบิดาของนางผู้ให้ความอบอุ่นและความรักนาง
ไม่มีใครรู้ ลึกๆ ในใจของนาง  มีการต่อสู้กันของอารมณ์ที่ซับซ้อนและความกลัว
ขณะเมื่อนางตื่นขึ้น  นางรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตของนางเต็มไปด้วยความเข้าใจผิด  เหมือนกับว่าชีวิตของนางเป็นแค่ฟองสบู่  มันสะท้อนสีสันที่งดงาม  แต่ไม่มีอะไรอยู่ภายในและหลังจากลมพัดใส่ฟองสบู่ จะไม่มีอะไรเหลืออยู่
 บางทีขุนพลวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่มีอะไรเป็นของโลกนี้
ด้วยความกลัวที่อธิบายไม่ได้ นางข่มความรู้สึกของตัวนางเอง  นางยังรักษาระยะห่างกับโลกไว้ ซึ่งนางไม่มีทางข้ามเส้นแบ่งในใจนางได้  แม้เพื่อชาร์ลส์ก็ตาม  บางทีชีวิตของข้าเป็นแค่ฟองสบู่  แต่ข้าจะใช้ชีวิตอย่างฟองสบู่นี้ ยึดถือเอาไว้ให้นานเท่าที่ข้าทำได้
นางมักจะรู้สึกว่าสิ่งที่นางทำถูกต้อง
จนกระทั่งชาร์ลส์ตาย  เมื่อนั้นจึงทำให้นางตระหนักว่าสิ่งที่นางพยายามควบคุมนั้นช่างน่าขันเพียงไหน
เมื่อประมุขผู้อาวุโสต้องการให้อัศวินพิเศษกวงหมิงทุกคนที่ฝึกฝนร่วมมากับนางกลายเป็นขุนพลวิญญาณ  อารมณ์อย่างเดียวที่เหลือในใจนางก็คือเสียใจ  เพราะช่วงเวลาที่นานที่สุดนางกังวลเรื่องการสร้างขุนพลวิญญาณของประมุขผู้อาวุโสผู้ซึ่งมีชีวิตสีเทาปราศจากอนาคต  ใครจะรู้กันว่าความกังวลของนางได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว  เป็นครั้งแรกที่นางปฏิเสธคำสั่งของประมุขผู้อาวุโส  แต่ก็เหมือนกับชีวิตและความกลัวของนาง  มันไร้ผลทั้งหมด
 ความรุ่งเรืองสุดท้ายของของวิหารต้องการกลุ่มขุนพลวิญญาณไว้ ใช่แล้ว, บางทีอาจเป็นชะตากรรมของเรา
นางไม่เกลียดประมุขผู้อาวุโส
 เมื่อความมืดกลืนแสงได้ ก็หมายถึงวันใหม่จะมาเยือน
ไม่ว่าจะเป็นความมืดหรือความสว่าง ก็ไม่ทำให้นางแตกต่างไปเลย
***********
กลุ่มการค้าเมซฟิลด์เงียบลง  ซาดราและคนที่เหลือไม่สนใจถังเทียนอีกต่อไป  เนื่องจากพวกเขามุ่งเน้นการรวมกำลังของพวกเขา  พวกเขารู้ว่าหลังจากถูกกักขังไว้  สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือความโกรธเกรี้ยวของวิหาร  เพราะเรื่องนั้น วิหารได้ทุ่มเทราคาออกไปครั้งใหญ่ ทำให้ทุกคนพูดไม่ออก  ไม่มีใครสงสัยวิธีฆ่าที่น่ากลัวที่ตระเตรียมเอาไว้สำหรับการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่
ความกลัวอย่างรุนแรงทำให้ซาดราและพวกที่เหลือดึงทหารกลับมาซึ่งเป็นทางเดียวที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยขึ้น
เทียบกับพวกเขาแล้ว ถังเทียนยังใจเย็นกว่ามาก  แม้ว่าซาดราและพวกต้องการจะยึดอำนาจคืนจากวิหาร  แต่ในใจพวกเขาก็ยังกลัววิหารและประมุขผู้อาวุโสอยู่  แต่ถังเทียนไม่  ในสายตาของเขา วิหารเป็นศัตรูของเขา  ไม่ว่าวิหารจะทรงพลังมากเพียงไหน  พวกเขาก็ไม่ได้ไร้เทียมทาน  และเขาไม่เคยมองวิหารในแง่บวก
นอกจากนั้น เขายังมีกองพลเกราะเทพเจ้า เชียนฮุ่ยและอาซิ่นอยู่กับเขา  พลังต่อสู้ของตัวเขาเอง กับความคิดของเชียนฮุ่ยและอาซิ่นทำให้เขามั่นใจมาก
แต่ใครจะรู้กันว่าคนแรกที่ค้นพบบางสิ่งไม่ใช่เชียนฮุ่ย หรืออาซิ่นแต่เป็นเสี่ยวม่านที่เหมือนกับแทบไม่ได้คงอยู่เลย
 “คุณหนู, มีบางอย่างผิดปกติ...”  เสี่ยวม่านพูดกับเชียนฮุ่ยเบาๆ  นางมีสีหน้าแปลกประหลาด และน้ำเสียงไม่แน่ใจ  นางชำเลืองมองทุกคน  ทำไมทุกคนไม่รู้สึกเลย  หรือว่าข้าเข้าใจผิด?  นางไม่มั่นใจ
ในวันธรรมดา นอกจากปกป้องเชียนฮุ่ยแล้ว งานของนางคือจะอยู่ในแนวหลังและลอบทำร้ายศัตรู  นางมั่นใจพลังต่อสู้ของนางมาก แต่ในด้านอื่น  นางรู้ว่านางด้อยกว่า  ไม่จำเป็นต้องเทียบกับเชียนฮุ่ย  ในใจนางเชียนฮุ่ยเป็นเหมือนเทพธิดาสงคราม  แม้แต่อาซิ่นผู้ชอบทำตัวเหลวใหลก็มีสัญชาตญาณต่อการสู้รบ  ใจของเขาทำงานได้รวดเร็ว ล้ำหน้านางไปหลายเท่า
ตอนแรก นางรู้สึกท้อแท้ แต่จากนั้นนางก็ชิน  นางชินกับการรอให้อาซิ่นค้นหาปัญหา และเชียนฮุ่ยออกคำสั่ง ซึ่งนางจะสู้อย่างดุเดือดเพื่อคลี่คลายการรบ
 แต่เวลานี้ดูเหมือนไม่มีใครรู้สึกถึงมัน... หรือว่าข้าจะเข้าใจผิดไป?
ดังนั้นเมื่อทุกคนมองนาง  นางถึงกับอึดอัด และโพล่งออกมาอย่างกระวนกระวาย “ข้าอาจเข้าใจผิด...”
เชียนฮุ่ยปลอบนางอย่างนุ่มนวล  “เสี่ยวม่าน  อย่ากังวลไปเลย ต่อให้เข้าใจผิด บอกเรามาเถอะ”
ถังเทียนงง  เสี่ยวม่านไม่เคยทำตัวเด่นโดยอยู่ข้างๆ เชียนฮุ่ย  นอกจากมีลงมือลงไม้กับอาซิ่นบ้าง เขาไม่ค่อยเห็นนางมากนัก  อาซิ่นก็ยังประหลาดใจมาก  เขาแค่นเสียง และถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูออกตัว เขาคงก่อกวนนาง
เมื่อเห็นสีหน้าอาซิ่นทำให้เสี่ยวม่านประหม่ากว่าเดิม
โชคดีที่มีคุณหนูคอยปลอบโยนทำให้นางกล้ามากขึ้น  “ข้ารู้สึกว่าพลังของข้าเพิ่มมากขึ้น”
 พลังเพิ่มมากขึ้น?
ทุกคนตกใจ แม้แต่อาซิ่นที่ร่าเริงก็ยังตกตะลึง
 “ถูกแล้ว เพราะเหตุผลบางอย่าง  ข้ารู้สึกว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้าอบอุ่นมาก  ให้ความรู้สึกสบายเหมือนกับ  เหมือนอาบอยู่ใต้แสงอาทิตย์”  เสี่ยวม่านพยายามอยู่ดีที่สุดที่จะอธิบายความรู้สึกของนาง  แต่นางไม่รู้ว่าอาบแดดมีความรู้สึกยังไง เพราะนางเป็นขุนพลวิญญาณมายาวนานมาก
ขุนพลวิญญาณไม่ชอบแสงแดด
 “ตอนแรก, ข้าไม่รู้สึก แต่หลังจากนั้นข้ากังวลว่าจะมีอันตรายแอบแฝง”  เสี่ยวม่านค่อยๆ ใจเย็นลงได้  และคำพูดของนางไหลลื่นมากขึ้น  “และข้าพิจารณาจากร่างกายของข้า จึงตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นจริงๆ”
ขณะที่พูดอย่างนั้นเสี่ยวม่านกวัดแกว่งดาบยักษ์ฟันอย่างคล่องแคล่ว และเกิดรอยฉีกเป็นประกายในท้องฟ้า
ทุกคนตาเป็นประกาย  พวกเขาเข้าใจทันทีว่าเสี่ยวม่านหมายความว่ายังไง
แรงฟันของเสี่ยวม่านไม่เกิดเสียง และเงียบมาก  ปกติเสี่ยวม่านสามารถทำได้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ง่ายและสบายๆ อย่างนี้
ตาของเชียนฮุ่ยเป็นประกายแปลกประหลาด  นางพูดทันที  “เสี่ยวม่าน, กลับไปตรวจสอบทุกคน”
เสี่ยวม่านตกใจ  แต่รู้ตัวทันที  นางรีบกลับไปที่ค่ายขุนพลวิญญาณ  เชียนฮุ่ยมีประสบการณ์การต่อสู้มาจากสนามรบโบราณนับไม่ถ้วน  และเป็นแม่ทัพของกองทัพขุนพลวิญญาณ  หลังจากมีประสบการณ์มายาวนาน  จำนวนพวกเขาที่ติดตามมาลดลงเหลือเพียงสองสามร้อย
ขุนพลวิญญาณเหล่านี้ทั้งหมดถูกคัดเลือกมาอย่างระมัดระวัง  ทุกตนได้รับเลือกมาจากหนึ่งในร้อย และมีพลังมาก
หลังจากได้รับความชัดเจนจากคำของเสี่ยวม่านแล้ว  อาซิ่นตรวจสอบตัวเอง  ความแข็งแรงของเขาก็เพิ่มขึ้น  แต่ก็เพียงตระหนักได้ว่าเมื่อสั่งกองทัพในการสู้รบ  การควบคุมร่างกายของเขาไม่อาจเทียบกับเสี่ยวม่านผู้เป็นขุนพลวิญญาณที่มีความเก่งกาจในด้านพลังส่วนตัว
ทันใดนั้นเขาเงยหน้า  ตาของเขาฉายประกาย  “ข้าคิดว่าเราค้นพบแล้วว่าวิหารจะวิธีสังหารยังไง”

9 ความคิดเห็น:

Minamoto กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

เอ้าจะบัพตัวเอง แต่ดันบัพมันดันไปบัพทัพเซียนฮุ่ยด้วยซะงั้น เหอะๆ

ท้องฟ้าจะมีความหมาย ถ้ามีคนแหงนมอง กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

causou กล่าวว่า...

อ้ากกกก ปิง มันเลิกบุหรี่ หันไปสูบบุรุษ!!!
"...ใบหน้าไพ่ของปิงเลือนรางอยู่ในกลุ่มควัน มีเถ้าบุรุษตกอยู่โดยรอบเท้าเขา..."

WingF กล่าวว่า...

บัพให้ซะงั้นโถ่ๆ ที่ลงทุนมากำไรพี่ถังหมด

Unknown กล่าวว่า...

ขอบใจจ้า

windwolf กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น