วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

Panlong ตอนที่ 3-25 สีม่วงในสายลมยามราตรี (1)



ตอนที่  3-25  สีม่วงในสายลมยามราตรี (1)

บนถนน ‘ใบไม้เขียว’ ในเมืองเฟนไล เมืองหลวงของอาณาจักรเฟนไลหนึ่งในสมาชิกของสหภาพศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ตั้งคฤหาสน์ของเหล่าตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในเมืองนี้ เบื้องหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง กลุ่มคนมากกว่า 10 คนกำลังสนทนากัน
 
 “ตระกูลเด็บส์ขอขอบคุณท่านลินลี่ย์สำหรับความช่วยเหลือ หากไม่ใช่เพราะท่านแล้ว บุตรของพวกเรา คาลัน คงไม่ได้กลับมาอย่างปลอดภัยเช่นนี้” ชายชราที่ดูโดดเด่นกว่าผู้อื่นด้วยเรือนผมสีเงินอ่อนส่งยิ้มให้ลินลี่ย์ ที่ยืนอยู่ข้างๆเขาคือคาลัน อลิซ โทนี่ และนีย่า เบื้องหลังคือเหล่าบ่าวทาสของตระกูลเด็บส์
ชายชราหันกลับมาพยักหน้าให้บ่าวคนหนึ่งซึ่งหยิบถุงสีทองเล็กๆออกมาจากเสื้อ
พอรับถุงทองจากบ่าวรับใช้ ชายชราหันกลับมาส่งยิ้มให้ลินลี่ย์ “นี่เงิน 100 เหรียญทอง อาจจะไม่มากมายนัก แทนคำขอบคุณของพวกเราตระกูลเด็บส์ ข้าหวังว่าท่านลินลี่ย์จะรับไว้”
 ไม่จำเป็น ข้าไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมากมายเลย” ลินลี่ย์ปฏิเสธอย่างสุภาพ  “ข้าควรออกเดินทางต่อได้แล้ว”
ชายชราไม่ได้ทักท้วงอะไร เขายิ้มและมองดูลินลี่ย์เดินจากไป
 “โทนี่ พวกเจ้าทั้ง 3 ก็ควรรีบกลับบ้านได้แล้ว พ่อแม่ของพวกเจ้ากำลังเป็นห่วงมาก” ชายชรากล่าวอย่างอารีย์ หลังจากบอกลา อลิซ นีย่า และโทนี่ก็แยกย้ายกลับบ้านของตน
เมื่อคาลันและชายชราเข้ามาในห้องรับแขก ใบหน้าของชายชราพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุกเข่า!”
สิ้นคำ คาลันคุกเข่าลงในทันที “ท่านปู่รอง ครั้งนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าประมาทเลินเล่อนำสหายทั้ง 3 เข้าไปในเทือกเขาอสูรเวทโดยไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายให้ถี่ถ้วน ท่านปู่รองโปรดลงโทษข้าด้วย”
 “หืม! เลินเล่อ?”
สายตาเย็นชาจ้องคาลันเขม็ง “คาลัน เจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และเป็นถึงว่าที่ผู้นำของตระกูลเด็บส์ เหตุใดจึงกระทำการโง่เขลาไร้ความคิดเช่นนี้? เจ้าไม่รู้ถึงอันตรายของเทือกเขาอสูรเวทเลยอย่างนั้นรึ? จึงได้กล้าย่างเข้าไปโดยไม่ได้แม้แต่จะสอบถามข้อมูลจากตระกูล ฮึ่ม! ข้าจะให้บิดาเจ้าตัดสินบทลงโทษที่เหมาะสมให้ แต่จงจำเอาไว้ – ในอนาคตถ้าเจ้ายังทำตัวโง่งมเช่นนี้อีก เจ้าจะทำให้ตระกูลของเราจะล่มสลายในเงื้อมมือเจ้า!”
คาลันก้มหน้า ไม่กล้าพูดแม้สักคำ
ตระกูลเด็บส์ถือเป็นหนึ่งใน 3 ตระกูลหลักของอาณาจักรเฟนไล สาเหตุที่ตระกูลเด็บส์ทรงอำนาจไม่ใช่เพราะความสูงส่งของสายเลือด แต่เป็นเพราะตระกูลเด็บส์ผูกขาดการเป็นคู่ค้ากับกลุ่มการค้าดอว์สันในอาณาจักรเฟนไล หนึ่งในกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินยูลาน
อิทธิพลของกลุ่มการค้าดอว์สันนั้นเทียบได้กับอาณาจักรหนึ่งเลยทีเดียว และทำการค้าครอบคลุมไปทั่วทั้งทวีป
กลุ่มการค้าแต่ละกลุ่มบนทวีปยูลานล้วนทรงอิทธิพลและทรงอำนาจ ในอาณาจักรเฟนไล หลายตระกูลต้องการทำธุรกิจร่วมกับกลุ่มการค้าดอว์สัน เพื่อปรารถนาจะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการสงคราม
สำหรับตระกูลเด็บส์ที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ค้ากับกลุ่มการค้าดอว์สัน จึงถือเป็นตระกูลที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญ แม้แต่สหภาพใหญ่ทั้ง 2 และจักรวรรดิใหญ่ทั้ง 4 ยังต้องกระทำการอย่างระมัดระวังเมื่อข้องเกี่ยวกับกลุ่มการค้า และทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้
…..
หลังออกจากเมืองเฟนไล ลินลี่ย์มุ่งหน้าไปตามถนนสู่สถาบันเอินส์ บีบีเกาะอยู่บนไหล่ของลินลี่ย์และใช้ดวงตาของมันสอดส่องสิ่งรอบตัว ในขณะที่เดลิน โคเวิร์ทเดินช้าๆเคียงข้างลินลี่ย์
 “ปู่เดลิน ท่านเคยรู้สึกว่าโลกนี้เป็นสถานที่ที่น่ากลัวหรือไม่?” ลินลี่ย์ถามผ่านทางจิต
เดลิน โคเวิร์ทพยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร  เขาแค่ฟังอย่างเงียบๆ
 “ก่อนหน้านี้ เมื่อข้าเดินทางไปยังเมืองเฟนไล ข้ายังไม่สังเกตเห็นอะไร แต่เมื่อกลับออกมาจากเทือกเขาอสูรเวท ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมาย ความโหดเหี้ยมอำมหิตในหุบเขานั้นล้วนกระทำการอย่างเปิดเผยไม่มีซ่อนเร้น”
 “ถ้าเรามองไปยังเหล่านักเวทหรือนักรบระดับสูง เช่นเดียวกับเหล่าขุนนางในเมืองเฟนไล เบื้องหน้าพวกเขาต่างสุภาพและเป็นมิตร ทำให้อาณาจักรเฟนไลดูเลิศเลอ เปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมและไมตรี แต่เบื้องหลังกลับมีระบบชนชั้นที่กดขี่และไร้ปราณีอย่างยิ่ง”
 “แม้แต่กฎหมายยังเขียนให้ชนชั้นปกครองมีสิทธิเหนือชนชั้นธรรมดา แม้ภายนอก เมืองเฟนไลจะเจริญรุ่งเรือง ประชาชนดูมีความสุข แต่ภายในคงเต็มไปด้วยกฎที่คนภายนอกไม่รับรู้มากมายกว่าในเทือกเขานัก ในเทือกเขาอสูรเวท ไม่มีขุนนางหรือไพร่ มีเพียงผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอเท่านั้น”
ลินลี่ย์เริ่มเข้าใจโลกขึ้นอย่างช้าๆ
โลกใบนี้ เหล่าชนชั้นปกครองเป็นผู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ในขณะที่คนธรรมดาถูกเหยียบย่ำ ไม่ว่าเหล่าขุนนางจะแสดงตนอย่างสุภาพหรือมีเมตตาเพียงใด ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมแก้ไขกฎเหล่านี้ ทางเดียวที่คนธรรมดาจะมีสิทธิ์มีเสียงขึ้นมาได้บ้าง มีแต่จะต้องเป็นนักรบหรือจอมเวทที่แข็งแกร่งเท่านั้น
ถ้าไม่ขวนขวายให้มากพอ ก็คงถูกเหยียบย่ำต่อไป
 “สังคมมนุษย์นั้นยุ่งยากซับซ้อนกว่าโลกในเทือกเขาอสูรเวทนัก คนเหล่านั้นซ่อนความโหดร้ายแบบเดียวกันไว้ภายใต้เสื้อผ้าที่งดงาม แต่บางครั้งเสื้อผ้าที่งดงามเหล่านั้นก็สามารถใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน” จากเบื้องลึกของจิตใจ ลินลี่ย์รู้สึกดูถูกเหล่าชนชั้นสูงที่แสแสร้งเป็นมิตรเหล่านั้น
หลังจากเห็นความโหดร้ายในเทือกเขา และความหรูหราของเมืองเฟนไล จิตใจของลินลี่ย์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อคิดถึงความแตกต่างมหาศาล
 “เจ้าเกรงกลัวที่จะต้องดิ้นรนอย่างนั้นหรือ?” จู่ๆ เดลิน โคเวิร์ทก็ถามขึ้น
ลินลี่ย์ยิ้ม “กลัว? ไม่เลย ข้าสนุกกับมันต่างหาก หากโลกนี้ไม่ต้องดิ้นรนกับอะไรเลย ทุกสิ่งอย่างล้วนสงบและสันติจะน่าเบื่อเพียงใด? โดยเฉพาะการดิ้นรนในสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นเหมือนเต้นระบำบนปลายดาบ...นั่นคงเป็นช่วงชีวิตที่เบิกบานที่สุด”
 “จี๊ด จี๊ด!” บีบีร้องสองครั้งแสดงความเห็นด้วย
….
พวกเขาย่างเท้าเข้าในสถาบันเอินส์
หลังการเดินทางไปยังเทือกเขาอสูรเวท และพบเห็นความดำมืดของจิตใจคนแล้ว ทำให้เขายิ่งหวงแหนมิตรภาพที่เขาสร้างภายในสถาบันมากกว่าทุกครา ระหว่างเข้ามาในหอพัก เขาก็ได้ยินประโยคเหล่านี้...
 “ลูกพี่เยล ลินลี่ย์ยังไม่กลับมาเลย หรือว่าเขาจะพบเจอกับเหตุการณ์อันตรายในเทือกเขาอสูรเวท?”
 “น้องสี่ หุบปากเสียๆของเจ้าเดี๋ยวนี้ น้องสามจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย มาเถอะ ไปหาอะไรกินกัน...” เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เยลก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาหยุดนิ่ง จอร์จและเรย์โนลด์ก็ยืนแข็งทื่อเช่นกัน แต่ทันใดนั้นทั้งสามก็พุ่งเข้าใส่ลินลี่ย์
 “ฮ่าฮ่า น้องสาม ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!” เยลเป็นคนแรกที่เข้าถึงตัวลินลี่ย์และกอดชายหนุ่มเต็มอ้อมแขน
เรย์โนลด์ตะโกนอย่างมีความสุข “ว้าว ลินลี่ย์ รู้หรือไม่ว่าลูกพี่เยลกับจอร์จบ่นถึงเจ้าทุกวี่วัน? เจ้าพวกนี้เป็นกังวลเกี่ยวกับเจ้ามาก มีเพียงข้าคนเดียวที่เชื่อมั่นว่าเจ้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
 “น้องสี่” จอร์จปรายตาไปยังเรย์โนลด์ “เมื่อครู่ใครกันที่กังวลว่าลินลี่ย์จะไปเจอกับสถานการณ์อันตราย”
 “ข้าหรือ?” มองใบหน้าที่ดูสับสนของเรย์โนลด์ “ข้าพูดเรื่องไร้สาระอย่างนั้นด้วยหรือ?”
เมื่อเห็นพี่น้องทั้ง 3 ของเขาอยู่ด้วยกัน หัวใจของลินลี่ย์พลันอบอุ่น ทันใดนั้นเยลก็โบกมือและพูด “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว น้องสามกลับมาจากเทือกเขาอสูรเวทอย่างปลอดภัยถือเป็นเรื่องน่ายินดี! เราไปฉลองกันดีกว่า!”
 “พี่รอง น้องสี่” ลินลี่ย์หัวเราะร่วน “ไปกันเถอะ พวกเราทุกคนไปหาอะไรดื่มกัน ข้าเลี้ยงเอง!”
 “โว้วว” เรย์โนลด์จ้องลินลี่ย์ตาลุกวาว “เจ้าจะเลี้ยง?”
เยลหัวเราะลั่น “ก็ได้ น้องสามจะเป็นคนเลี้ยงพวกเรา อย่าลืมว่าไม่นานมานี้มีตัวแทนของหอศิลป์พรูกซ์ติดต่อและส่งจดหมายเชิญมา ดูเหมือนว่ารูปสลักของน้องสามจะขายได้ราคาสูงถึง 4,000 เหรียญทอง เราต้องจัดงานฉลองครั้งใหญ่กันหน่อยแล้ว”
 “จดหมายเชิญจากหอศิลป์พรูกซ์อย่างนั้นหรือ?” ลินลี่ย์รู้สึกประหลาดใจ
เยลรีบอธิบาย “น้องสาม เนื่องจากรูปสลักของเจ้าขายได้ราคาสูง หอศิลป์พรูกซ์จึงยอมรับว่าเจ้ามีความสามารถเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง เป็นสาเหตุให้พวกเขาส่งจดหมายเชิญให้เจ้าไปจัดซุ้มงานของตัวเองที่ ‘หอผู้เชี่ยวชาญ’ เดี๋ยวข้าจะเอาจดหมายให้” เยลรีบวิ่งเข้าไปในหอ
เรย์โนลด์กระซิบบอกลินลี่ย์ “ลินลี่ย์ ข้าจะบอกอะไรให้ ตั้งแต่คนจากหอศิลป์พรูกซ์มาที่สถาบัน ข่าวที่ว่าเจ้าถูกเชิญเพื่อไปจัดซุ้มส่วนตัวที่นั่นก็แพร่ไปทั่วสถาบันเอินส์ ทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเพิ่มขึ้นมหาศาลทีเดียว”
 “เป็นที่รู้กันทั่วในสถาบันเลยหรือ?” ลินลี่ย์รู้สึกมึนงงกับเรื่องประหลาดใจดังกล่าวที่เขาเพิ่งได้รับรู้
 “แน่นอน อันที่จริงเจ้าคงเป็นคนสุดท้ายในสถาบันที่รู้เรื่องนี้” จอร์จยืนยัน
 “ลินลี่ย์ นี่เป็นจดหมายเชิญที่หอศิลป์พรูกซ์ส่งมา” เยลวิ่งออกมาจากหอพักอย่างรวดเร็วจนเส้นผมสีทองยุ่งเหยิง

2 ความคิดเห็น:

tho กล่าวว่า...

ขอบคุณคับ

neng2006 กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

แสดงความคิดเห็น