วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

Panlong ตอนที่ 4-9 รอยร้าว (1)



ตอนที่  4-9  รอยร้าว (1)
“พระราชา?” ลินลี่ย์จ้องมองอย่างประเมิน
ภายใต้ชุดเกราะสีทองสูงค่า เป็นร่างสูงใหญ่ที่ดูสง่างามอย่างยิ่ง พระราชาเป็นชายวัยกลางคนที่มีเรือนผมมีทองคล้ายราชสีห์ ไม่เพียงแต่เป็นราชาแห่งอาณาจักรเฟนไล แต่ยังเป็นถึงนักรบระดับ 9 นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
 
ลินลี่ย์ ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของอาณาจักรเฟนไล ย่อมเคยได้ยินผู้คนกล่าวถึงเกียรติภูมิแห่งเฟนไล อย่างตำนาน ‘ราชสีห์ทอง’ คลายด์ สำหรับอาณาจักรที่มีพระราชาเป็นนักรบที่แข็งแกร่งแล้ว นับเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจอย่างยิ่งของประชาชนในอาณาจักร
ณ จัตุรัสของอารามเจิดจรัส ผู้คนนับแสนอยู่ที่นั่น จ้องมองไปยังบริเวณเบื้องหน้าของรูปปั้นเทพองค์มหึมา ซึ่งมีจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ คาร์ดินัล และนักบวชในชุดขาวยืนอยู่ มีกองอัศวินของอารามเจิดจรัสยืนอารักขาอยู่เงียบๆ ในบรรดาผู้คนมากมายตรงนั้น จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ดูจะเปล่งประกายกว่าผู้ใด
สมาชิกจาก 6 ตระกูลเชื้อพระวงศ์ของ 6 อาณาจักร รวมถึงเหล่าดยุคจากแคว้นต่างๆ ก็อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นเช่นกัน
ทันใดนั้น
คลื่นพลังสีขาวบริสุทธิ์แผ่ออกไปทั่วทั้งลานกว้างโดยมีจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์กลาง ทั้งจัตุรัสตกอยู่ในความเงียบ ท่าทีผ่อนคลายผุดขึ้นบนใบหน้าของฝูงชน ผู้เข้าร่วมพิธีกรรมพลันรู้สึกจิตใจสงบ รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรถูกส่งให้แก่กัน พวกเขารู้สึกราวกับว่าจิตใจถูกชำระล้าง
 “ช่างเป็นพลังที่น่ากลัว เพียงแค่คลื่นพลังที่ปลดปล่อยมาอย่างไม่ยากลำบาก กลับสามารถควบคุมจิตใจของคนนับแสนได้” ในเมื่อตัวเขาเป็นจอมเวท ลินลี่ย์ยิ่งเข้าใจความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้ดี
ทั้งจัตุรัสเงียบสงบจนได้ยินกระทั่งเสียงสายลมพัด
 “ในนามของพระผู้เป็นเจ้า!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างแผ่วเบา แต่น้ำเสียงของเขากลับส่งไปถึงและสั่นสะเทือนวิญญาณของผู้ฟัง
ทุกคนในจัตุรัสล้วนแล้วแต่สัมผัสได้ถึงความศรัทธาและน่าเลื่อมใสแผ่ออกมาจากร่างกายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ลินลี่ย์เองก็เช่นกัน เขาไม่อาจจะทานทนกับแรงกดดันจึงได้แต่ค้อมศีรษะลง คลื่นพลังที่แผ่ออกจากร่างกายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์นั้นร้ายกาจยิ่งกว่าพลังที่แผ่ออกมาจากนักรบระดับเซียนทั้งสองยามต่อสู้กันบนท้องฟ้าเหนือเมืองอู่ซัน และน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าพลังที่แผ่จากร่างมังกรดำอยู่หลายช่วง
การมีอยู่ของตัวตนนี้ช่างยากจะหาผู้ใดมาเปรียบ สามารถบีบรัดและสั่นคลอนจิตวิญญาณของผู้พบเจอได้ง่ายๆ
นี่เป็นปรากฏการณ์ของเทพเจ้า
ในลานกว้าง นอกจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แล้ว มนุษย์ทุกคน ทั้งผู้ชมนับแสน คาร์ดินัล หรือแม้แต่พระราชา ต่างค้อมศีรษะลงคำนับอย่างนอบน้อมรอฟังคำกล่าวของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
 “ข้าขอให้พวกเจ้าทุกคนได้รับคำอวยพรด้วยความรัก ความอ่อนโยน และเมตตากรุณาจากพระผู้เป็นเจ้า”
น้ำเสียงของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ดังมากนัก แต่ราวกับจะสั่นสะเทือนไปทั่วผืนฟ้าก้องแผ่นดิน ทำให้จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกผู้ล้วนสั่นสะเทือน
รัศมีแสงจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายจากบนยอดของโบสถ์ อาบไล้ร่างของทุกคนทั้งจัตุรัส แต่ทุกคนล้วนรู้สึกว่าจิตใจของตนด้วยถูกโอบล้อมแสงสีทองอันอบอุ่น รู้สึกสบายทั้งร่างกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บัดนี้ ในจิตใจของพวกเขาพลันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพและศรัทธา
 “ขอพระองค์ทรงอวยพรพวกเจ้า ด้วยสันติและความรัก”
ในขณะเดียวกัน รัศมีอันงดงามก็แผ่ออกจากร่างของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ “เหล่าบุตรแห่งพระเจ้าเอ๋ย จงให้พวกเราโอบอุ้มบาปของเจ้า และนำพาสู่ความสุขนิรันดรเทอญ”
ในทันใดนั้น
ทั่วทั้งโลกก็พลันถูกปกคลุมด้วยท่วงสำเนียงเพลงศักดิ์สิทธิ์ โดยมีเหล่านักบวชจากอารามเจิดจรัสเป็นผู้ขับขาน เสียงร้องของเหล่านักบวชผสานกับท่วงทำนองจากสรวงสวรรค์ ชักนำจิตใจผู้ฟังให้สงบและศรัทธา
…..
พิธีกรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนพอสมควร เริ่มต้นด้วยการแสดงออกถึงความทุกข์ยาก และความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ในขณะที่เพลงสรรเสริญถูกขับขาน ท่วงทำนองประสานดังขึ้น เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้สึกขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้า
ผู้คนส่วนใหญ่ในจัตุรัสเข้าร่วมพิธีกรรมของวิหารเจิดจรัสด้วยความศรัทธา อาบไล้แสงที่สาดส่องจากอาราม ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดทั้งนั้น แต่ต่อให้ผู้ที่ไม่เชื่อในวิหารเจิดจรัสก็ยังอยู่ในความสงบ กระทำการใดอย่างเงียบเชียบ จนพระทั่งท่วงทำนองประสานสิ้นสุดลง ทุกคนเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ ก็เป็นเวลาเที่ยงวันเสียแล้ว
เมื่อพิธีกรรมสิ้นสุดลง ผู้คนก็ต่างแยกย้ายจากไป
อลิซและลินลี่ย์เดินเคียงข้างกัน มือของทั้งสองเกาะกุมกันอย่างหลวมๆ “พี่ลินลี่ย์ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง? รู้สึกว่าร่างกายสบายขึ้นหรือไม่?”
แต่ลินลี่ย์กลับสั่นหัว “ข้าถูกบรรยากาศชักพาไปก็จริง แต่ก็พลันรู้สึกว่ามีบางจุดที่ไม่กระจ่าง บางทีผู้ที่จิตใจไม่มั่นคงนักและต้องการปัจจัยภายนอกเข้ามาปลอบประโลมอาจชอบความรู้สึกเหล่านี้ แต่สำหรับข้าที่ไม่ชอบให้ผู้ใดมาชักนำแล้ว คงไม่อาจทำใจชอบได้”
แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าชั่วขณะหนึ่งลินลี่ย์เองก็ถูกชักนำให้คล้อยตามความรู้สึกผ่อนคลายเหล่านั้นเช่นกัน เป็นกลิ่นอายที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกโอบอุ้มอย่างอ่อนโยน
แต่สำหรับลินลี่ย์ที่ได้ผ่านการต่อสู้เอาชีวิตรอดในเทือกเขาอสูรเวทมาแล้ว หลังจากพิธีกรรมสิ้นสุดเขาก็รู้สึกตัวในทันที เมื่อคิดย้อนกลับไปก็พลันขนลุกซู่ อิทธิฤทธิ์ของวิหารเจิดจรัสช่างน่าหวั่นเกรงอย่างยิ่ง
 “ถูกชักนำงั้นหรือ? ไม่นะ พระผู้เป็นเจ้าเปรียบเสมือนบิดามารดาของพวกเรา พวกเราเองก็เปรียบเหมือนบุตรของพระองค์ และได้รับคำอวยพรด้วยความรักและเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า พี่ลินลี่ย์ ท่านคิดแบบนั้นได้อย่างไร?” อลิซกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
อลิซเติบโตในเมืองเฟนไลซึ่งเป็นเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ในเทศกาลยูลานของทุกปี เมืองเฟนไลจะจัดพิธีกรรมอย่างยิ่งใหญ่เสมอ ประชาชนส่วนใหญ่ในเมืองล้วนแล้วแต่เป็นผู้ศรัทธาหรือเป็นสาวกของวิหารเจิดจรัสทั้งสิ้น อลิซเองก็มีศรัทธาอันแรงกล้าในวิหารเจิดจรัสมาตั้งแต่ยังเด็กเช่นกัน เป็นความเชื่อที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย
 “อลิซ เจ้าคิดอย่างนั้นเสียทีเดียวไม่ได้หรอก พลังและความสามารถของเจ้าไม่ใช่เจ้าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาจากการฝึกฝนอย่างหนักหรอกหรือ? เหตุใดจึงเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้มอบให้เล่า? หากพระองค์ทรงเมตตาเจ้าจริง เหตุใดจึงมอบพ่อแม่เช่นที่เจ้ามีให้กันเล่า?” ลินลี่ย์รู้เรื่องราวในครอบครัวของอลิซดี
อลิซได้แต่เงียบ แล้วมองค้อนใส่ลินลี่ย์
 “พี่ลินลี่ย์ ข้าจะกลับแล้ว ไม่ต้องเดินไปส่งข้าหรอก” อลิซกลับหลังหันแล้วเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ลินลี่ย์ได้แต่มองอลิซเดินจากไปอย่างไม่สบายใจ เขาหันกลับไปมองอารามเจิดจรัสที่สูงจนทะลุกลุ่มเมฆ “วิหารเจิดจรัสนี้ช่างอันตรายยิ่งนัก”
…..
เป็นเรื่องธรรมดาที่คู่รักหนุ่มสาวจะมีเรื่องทะเลาะกันบ้าง เมื่อการพบกันครั้งต่อไปมาถึง พวกเขาก็กลับไปรักกันอย่างหวานชื่นอีกครั้ง  ทั้งสองตัดสินใจเลื่อนระดับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น จากปกติพบกันเดือนละ 2 ครั้ง ความเสน่หาต่อกันนั้นยากที่จะห้าม ในที่สุดพวกเขาก็มาพบกัน 4 ครั้งต่อเดือน สายสัมพันธ์ค่อยๆถักทอในพวกเขาเริ่มนอนด้วยกัน เพียงแต่ยังไม่เคยฝ่าปราการชั้นสุดท้ายเท่านั้น
อลิซเคยพูดไว้ว่า ‘ครั้งแรกของข้าจะต้องเกิดในคืนแต่งงานเท่านั้น’ ปีที่ 2 ของความรัก ในช่วงครึ่งแรกของปี 9998 ตามปฏิทินยูลาน นับเป็นจุดสูงสุดของความรักระหว่างลินลี่ย์กับอลิซเลยทีเดียว
แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระยะยาวย่อมต้องมีปัญหาเล็กน้อยอยู่บ้าง
วันที่ 29 กันยายน ปี 9998 ตามปฏิทินยูลาน
 “เอ...เหมือนว่าอลิซจะมีอะไรปิดบังข้าอยู่” ลินลี่ย์กำลังเดินอยู่บนถนนมุ่งเข้าสู่เมืองเฟนไลพร้อมกับพี่น้องทั้งสาม เมื่อคิดถึงการจากกันด้วยการทะเลาะระหว่างเขากับอลิซเมื่อคราวพบกันครั้งที่แล้ว ลินลี่ย์ก็รู้สึกเหนื่อยใจ
อลิซกับลินลี่ย์เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน และมีความคิดเห็นหลายอย่างที่ไม่ตรงกัน ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือความหัวแข็งของอลิซ หญิงสาวมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และหัวแข็งอย่างยิ่ง นางไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมประนีประนอมกับใครได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ลินลี่ย์หนักใจอย่างมาก เมื่อฝังใจกับสิ่งใดแล้ว ก็ยากยิ่งที่จะเปลี่ยนใจนาง
 “น้องสาม เจ้าทะเลาะกับอลิซอีกแล้วหรือ?” เยลที่เดินข้างๆกล่าวอย่างหยอกเย้า
จอร์จกับเรย์โนลด์ก็หัวเราะเบาๆเช่นกัน เรย์โนลด์โอบไหล่ลินลี่ย์แล้วเอ่ย “ลินลี่ย์ ข้าว่าเจ้าชักจะคิดเรื่องอลิซมากเกินไปแล้วนะ ระวังอย่าให้ผิดหวังมาล่ะเวลาเลิก ดูอย่างข้าสิ ข้าเคยผ่านผู้หญิงมานับสิบคนแล้ว ชีวิตข้าช่างผ่อนคลายและสุขสบายเพียงใด!”
ลินลี่ย์จ้องมองเรย์โนลด์อย่างหมดคำพูด
 “น้องสี่ ระวังคำพูดของเจ้าหน่อย น้องสามของเราตั้งใจให้อลิซเป็นภรรยาของเขาจริงๆ” เยลตวาด หลังจากนั้นก็ยกมือบีบไหล่ลินลี่ย์ “แต่พูดก็พูดเถอะลินลี่ย์ ในฐานะผู้ชายด้วยกัน ข้าอยากบอกว่ายังมีหญิงสาวอีกมากมายที่รอเจ้าอยู่ ไม่ต้องเคร่งเครียดกับความรักขนาดนั้นหรอก”
ลินลี่ย์ยิ้มให้ แต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
เมื่อถึงเมืองเฟนไล ลินลี่ย์ก็กล่าวลาพี่น้องทั้งสามสั้นๆ ก่อนมุ่งหน้าไปบนถนนดรายโร้ด สู่ที่พักของอลิซ
 “ลุงฮัด” ลินลี่ย์เรียกทหารยามที่ยืนเฝ้าหน้าบ้านของอลิซด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอลิซใกล้ชิดขึ้น เป็นธรรมดาที่ลินลี่ย์จะสนิทสนมกับทหารยามคนนี้มากขึ้น
ฮัดหัวเราะเมื่อเห็นชายหนุ่ม “โอ้ นี่มันลินลี่ย์ เจ้ามาพบกับอลิซอย่างนั้นหรือ แต่เหมือนว่านางจะยังไม่กลับมานะ อันที่จริงเวลานี้นางสมควรมาถึงแล้วนี่นา ข้าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
 “ยังไม่มา?” ลินลี่ย์ชะงัก
จากนั้น เขาก็ยิ้มให้ฮัด “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรออีกสัครู่ ข้าแน่ใจว่านางจะมาถึงในเร็วๆนี้” ลินลี่ย์มุ่งหน้าไปยังบาร์ที่อยู่ถัดจากที่พักของอลิซ สั่งไวน์หยกอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน แล้วเริ่มดื่มรออย่างเงียบๆ

1 ความคิดเห็น:

^_^ กล่าวว่า...

พี่เย่อยุ๋ไหนนนคิดถึง
#gxHode]y'.0.sh8ocx]8iy[

แสดงความคิดเห็น