วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560

Panlong ตอนที่ 4-12 ใจสลายกลางหิมะ



ตอนที่  4-12  ใจสลายกลางหิมะ
อลิซเคยเชื่อว่านางไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งใดๆหลงเหลือให้ลินลี่ย์แล้ว แต่บัดนี้เมื่อได้เห็นชายหนุ่มอีกครั้ง โดยเฉพาะสีหน้าไม่อยากเชื่อของเขา หัวใจของนางพลันปวดร้าว
 
 “พี่ลินลี่ย์” อลิซเรียกเขา
ใบหน้าซีดขาวราวหิมะของลินลี่ย์นั้นเหมือนไม่มีเลือดไหลเวียน เขายืนอยู่ตรงนั้น นิ่งเฉยไม่ขยับเป็นเวลานาน
 “ควับ!” เสียงกรีดร้องแหลมอย่างกราดเกรี้ยว หนูเงาน้อยบีบีเร่งความเร็วจนกลายเป็นร่างเงาลางเลือนพุ่งเข้าใส่อลิซและคาลัน แม้ว่าบีบีจะฉลาดเพียงใดมันก็เป็นเพียงอสูรเวท มันปลดปล่อยอารมณ์โกรธของมันตามวิธีแบบสัตว์
มันสัมผัสได้ถึงความสับสนและเจ็บปวดในจิตใจของลินลี่ย์ และมันกำลังจะแก้แค้นในนายมันบัดนี้!
ร่างของบีบีขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตามันก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าคาลันและอลิซ กรงเล็บแหลมคมของมันสะท้อนแสงจนเกิดประกายสีขาว ความหนาวเหน็บเกาะกุมจิตใจของทั้งคู่ พวกเขาไม่มีโอกาสหลบหรือพูดออกมาแม้สักคำ
 “กลับมา!” เสียงของลินลี่ย์พลันดังขึ้นในตอนนั้นเอง
ร่างเงาสีดำของบีบีลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะลงมายืนนิ่งบนพื้นหิมะ มันตะกุยหิมะใส่หน้าคาลันอย่างดูแคลนแล้วหันกลับมามองลินลี่ย์ “จี๊ด จี๊ด!” มันร้องออกมาในขณะเดียวกันก็สื่อสารกับลินลี่ย์ผ่านทางจิต
แต่ลินลี่ย์ส่ายศีรษะยืนยันแน่วแน่
บีบีจับจ้องอลิซและคาลันด้วยสายตาเชือดเฉือนอย่างมุ่งร้ายอีกครั้งหนึ่งก่อนจะพุ่งทะยานกลับมา เมื่อยืนอยู่บนบ่างของลินลี่ย์ มันก็กลับมาอยู่ในร่างน้อยของมันตั้งแต่เมื่อไหร่ยังคงเป็นปริศนา หากมองแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกคงไม่มีใครจะล่วงรู้ถึงความน่ากลัวของมันได้เลย
 “แคก แคก” บัดนี้คาลันจึงได้รู้สึกตัว ชายหนุ่มสำลักลมหายใจอย่างยากลำบาก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากอย่างตระหนก เขาเหลือบมองบีบีที่ยืนอยู่บนไหล่ลินลี่ย์
อลิซเหลือบมองลินลีย์ นางสูดหายใจลึกครั้งหนึ่ง “พี่ลินลี่ย์ ข้ารู้ว่าบัดนี้จิตใจของท่านคงจะเจ็บปวดมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสมควรที่เราจะพูดจากันบนถนนเช่นนี้ เราเข้าไปพูดคุยในร้านอาหารกันดีหรือไม่?”
ลินลี่ย์พยักหน้า ไม่มีคำพูดแม้แต่คำเดียว
บนถนนดรายโร้ด ภายในโรงแรงลาวิช ลินลี่ย์กับอลิซนั่งอยู่คนละฟากฝั่งโต๊ะ ส่วนคาลันก็ฉลาดพอจะพาตัวเองไปนั่งอยู่ที่มุมห้อง ไม้กล้าแม้แต่จะทำอะไรเป็นการรบกวนการสนทนา หลังจากเพิ่งเอาชีวิตรอดมาจากกรงเล็บของบีบี คาลันรู้สึกหวาดกลัวลินลี่ย์ขึ้นมาจับใจ
โต๊ะขนาดกลางที่ถูกทาด้วยสีดำเงา ด้านบนมีไวน์ผลไม้อุ่นๆ 2 ถ้วย
ลินลี่ย์และอลิซเผชิญหน้ากันอย่างสงบ
หลังจากเงียบมานาน ในที่สุดอลิซก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว “พี่ลินลี่ย์ ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดและทำให้ท่านรู้สึกแย่กับความสัมพันธ์ของเรา ที่ข้าหลีกเลี่ยงที่จะพบท่านเนื่องจากต้องการให้ท่านเตรียมใจไว้ก่อน เมื่อเรื่องมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ข้าไม่อยากให้เราทั้งสองจากกันอย่างศัตรู”
 “ศัตรู?” ในเบื้องลึกของจิตใจ ลินลี่ย์ได้แต่แค่นหัวเราะอย่างขื่นขม แต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงแต่รับฟังนางอยู่เงียบๆ
อลิซจึงพูดต่อ “พี่ลินลี่ย์ ข้ายอมรับว่าในคราแรกข้านั้นชอบท่านมากจริงๆ คิดไปถึงว่าสักวันหนึ่งเราจะได้แต่งงาน มีลูกเล็กๆสักคน แต่หลังจากได้ศึกษากันเป็นเวลานานแล้ว ข้าพบว่าพวกเราเข้ากันไม่ได้ในหลายๆเรื่อง”
ในที่สุดลินลี่ย์ก็กล่าวขึ้น “ในหลายๆเรื่อง? อลิซ ข้าไม่เพียงแต่ยอมรับข้อดีของเจ้า แต่ยังยอมรับของเสียของเจ้าด้วย ข้าเชื่อว่าเมื่อ 2 คนอยู่ด้วยกัน ย่อมต้องเปิดโอกาสให้เรียนรู้ทำความเข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และมีน้อยคู่นักที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีข้อขัดแย้ง”
อลิซขบริมฝีปาก นางประคองถ้วยขึ้นมาจิบด้วยสองมือ
 “เมื่อตอนนั้นเราทั้งสองยังเด็กนัก ครั้งแรกที่เจอท่าน ข้าเพิ่งอายุ 15 ปี” นางหยุดพูดเพื่อเรียบเรียงคำพูดอยู่พักหนึ่ง “ในใจของข้า ท่านเหมือนวีรบุรุษที่สวรรค์ส่งมาช่วยข้า ครั้งหนึ่งข้าเคยคิดว่าท่านเป็นดังโลกทั้งใบ แต่ภายหลังข้าจึงคิดได้ว่าไม่อาจเป็นเช่นนั้น เพราะข้ายังมีครอบครัวที่สำคัญต้องใส่ใจเช่นกัน”
ลินลี่ย์มองนางด้วยท่าทีนิ่งเฉย
 “พี่ลินลี่ย์ ท่านเป็นบุรุษที่แข็งแกร่ง ซ้ำยังดีต่อข้านัก จะกระทำสิ่งใดก็มุ่งมั่น ข้ายอมรับว่าท่านเป็นบุรุษสมบูรณ์แบบผู้หนึ่ง แต่....ก็ยังไม่พอ ท่านมิอาจช่วยแก้ปัญหาของข้าได้เลย เมื่อไม่นานนี้ พ่อข้าเป็นหนี้พนันหลายร้อยเหรียญทอง! พี่คาลันเพียงแค่บอกให้ตระกูลของเขามาช่วยเหลือ ปัญหาของข้าก็คลี่คลายได้โดยง่าย”
อลิซจ้องมองลินลี่ย์ “พี่ลินลี่ย์ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่สามารถทำได้ แม้ว่าพ่อข้าจะติดการพนันและเหล้า แต่เขาก็ยังเป็นพ่อข้าอยู่ดี”
 “เพียงแค่เรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?” ลินลี่ย์กล่าวเสียงเรียบ
 “ไม่...” อลิซพูดต่อ “ไม่ใช่เพียงเรื่องนี้ ข้าเพิ่งรู้สึกตัวว่าพี่คาลันเองก็ดีกับข้ามาโดยตลอด เขาเติบโตมากับข้าทำให้พวกเราคุ้นเคยกันดี แต่กับท่าน ข้ารู้สึกอยู่ตลอด ราวกับมีม่านหมอกปกคลุมรอบกายท่านทำให้ข้าไม่อาจเข้าถึง”
 “ท่านเป็นจอมเวทอัจฉริยะของสถาบันอันดับหนึ่งบนแผ่นดินนี้ และเมื่ออายุ 15 ปียังสามารถมีซุ้มจัดแสดงงานส่วนตัวที่หอศิลป์พรูกซ์ได้ ฟังดูยอดเยี่ยมนัก แต่ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าข้านั้นไม่รู้จักท่านดีพอ”
น้ำเสียงของอลิซพลันเบาลง “ที่สำคัญคือเราทั้ง 2 นั้นอยู่กันคนละที่ ในช่วงแรกอาจไม่แย่มากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปข้าก็รู้สึกเหนื่อย ข้าเพียงแค่ต้องการใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง อย่างพี่คาลันที่อยู่เคียงข้างข้ามาโดยตลอด”
หลังจบคำพูด อลิซก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ
ลินลี่ย์ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดเช่นกัน
หลังเวลาผ่านไป ไวน์ในถ้วยเริ่มเย็นชืด ลินลี่ย์ก็พูดขึ้น “อลิซ เจ้ายังจำบทสนทนาระหว่างเราเมื่อครั้งหนึ่งได้หรือไม่? เจ้าเคยกล่าวว่าข้าสามารถมาอยู่กับเจ้าเวลานั้นได้เลยหากเจ้าต้องการ แต่เจ้ากลับบอกว่าไม่ต้องการรบกวนการฝึกฝนของข้า”
 “บัดนี้เจ้ากลับบอกว่าข้าไม่เคยมาอยู่เคียงข้างเจ้าเลยอย่างนั้นหรือ?” รอยยิ้มขมขื่นพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลินลี่ย์
อลิซเหมือนอยากกล่าวอะไรบางอย่าง แต่นางกลับไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้เลย
ทุกสิ่งที่นางได้พูดออกไปในวันนี้เป็นเพียงข้อแก้ตัว
ลินลี่ย์จับจ้องอลิซและกล่าวต่อไป “อลิซ เจ้ายังเจ้าได้หรือไม่? ครั้งแรกที่เราอยู่ด้วยกันตามลำพังในโรงแรม เจ้ากล่าวกับข้า หวังว่าหากวันใดความรักของข้านั้นเลือนหายไป ให้ข้าบอกให้เจ้ารับรู้ และเจ้าจะยอมจากไปอย่างเงียบๆ”
ลินลี่ย์ข่มอารมณ์ของเขาให้สงบลง “หลังจากฟังคำเจ้า  ข้าก็กล่าวว่า เช่นนั้นหากเจ้ารู้สึกเมื่อใดว่าหมดรักข้าแล้ว ข้าอยากให้เจ้ากล่าวกับข้าตามตรงอย่าได้โกหกปิดบัง และข้าจะยอมจากไปแต่โดยดีเช่นกัน”
นัยน์ตาของอลิซพลันมีน้ำตาคลอขึ้นมา
 “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากเจ้าจะคบหากับคาลัน แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าปิดบังหลอกลวงข้า การที่เจ้าแอบคบหากับคาลันลับหลังข้าเช่นนี้ทำให้ข้ายังมีความหวัง ทำให้ข้ายังคงเฝ้ารอเจ้าเรื่อยไป....เจ้ารู้หรือไม่ว่าการรอคอยเช่นนั้นข้าจะรู้สึกอย่างไร?”
ร่างกายของลินลี่ย์พลันสั่นเล็กน้อย “วันที่ 29 กันยายนเป็นวันแรกที่เจ้าผิดนัดของเรา ข้ารอจนตั้งแต่เที่ยงคืนจนฟ้าสาง ทุกๆนาทีล้วนเนิ่นนานดุจไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อข้ากลับไปถึงสถาบันก็ได้แต่คิด เพราะว่าข้าทำให้เจ้าโกรธเมื่อครั้งที่แล้วใช่หรือไม่? ดังนั้น เพื่อจะทำให้เจ้าอารมณ์ดีขึ้น ข้าไปซื้อลูกบอลแก้วผลึกเพื่อบันทึกความทรงจำในช่วงที่ข้าอยู่ที่สถาบันฯ บันทึกทุกการกระทำของข้า เหมือนคนโง่งมคนหนึ่ง หวังเพียงเมื่อเราอยู่ไกลกัน เมื่อใดที่เจ้าคิดถึงข้า เจ้าจะได้มองดูข้าได้”
 “ข้านำลูกบอลผลึกความทรงจำ 2 ลูกนั้นติดตัวมาในช่วงกลางเดือนตุลาคม เป็นอีกครั้งที่ข้ามาพบเจ้า ในใจข้าเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่เจอเจ้า”
 “จิตใจของข้าเริ่มรู้สึกอ่อนล้า แต่ก็ยังสงบอยู่ได้เพราะคำสัญญาของเรา ข้าเชื่อมั่นว่าหากเจ้าจะไปจากข้าจริงๆ เจ้าย่อมต้องบอกกับข้าก่อน เพราะอย่างนั้นข้าจึงสงบใจลงได้ จนกระทั่งปลายเดือนตุลาคม กลางเดือนพฤศจิกายน ข้าก็มารอเช่นกัน แต่ในที่สุด...”
ลินลี่ย์ลุกขึ้นยืน จ้องมองอลิซ รอยยิ้มขมขื่นพลันปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก “ข้ามาอีกครั้ง แต่วันนี้ข้าโชคดีที่เจ้าไม่ได้หลบหน้าข้า”
น้ำตาค่อยๆไหลมาจากดวงตาของอลิซ
 “พี่ลินลี่ย์-“
ลินลี่ย์เปิดกระเป๋าสะพายหลัง แล้วนำลูกบอลแก้วผลึก 2 ลูกออกมา ในใจคิดถึงช่วงเวลาต่างๆในสถาบันที่บันทึกอยู่ด้านใน ในเวลานั้นเขาช่างโง่งมยิ่ง
 “ลูกบอลแก้วผลึก 2 ลูกนี้ ข้าได้นำติดตัวจากสถาบันมายังเมืองเฟนไลเป็นครั้งที่ 4 แล้ว แต่บัดนี้...มันกลับไม่มีค่าอันใด”
ในมือแต่ละข้างของลินลี่ย์ถือลูกบอลผลึกไว้ ทันใดนั้นลูกบอลแก้วผลึกทั้งสองก็พลุ่นขุ่นมัว....
 “เคร้ง”
รอยแตกร้าวจำนวนนับไม่ถ้วยปรากฏบนพื้นผิวแก้วผลึก มือทั้ง 2 ข้างของลินลี่ย์กำเข้าหากัน ลูกบอลแก้วผลึกทั้ง 2 ลูกก็พลันแตกเป็นเสี่ยงๆร่วงลงพื้น เสียง “เคร้ง!” ได้ยินเมื่อเศษแก้วผลึกหลายสิบชิ้นตกลงกระทบกันบนพื้นของโรงแรม เรียกความสนใจของแขกที่เข้ามาใช้บริการได้เป็นอย่างดี
อลิซไม่สามารถกลั้นน้ำตาของนางได้อีกแล้ว มันไหลลงมาอาบหน้าของนาง
 “พี่ลินลี่ย์ ในอานาคตเราจะยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้หรือไม่?” หยดน้ำตาทำให้มุมมองของนางพร่ามัว อลิซเงยหน้าขึ้นมองลินลี่ย์
ลินลี่ย์ต้องมองอลิซที่ทรุดลงนั่งกับพื้น แต่ไม่ได้ตอบคำถามของนาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงปรากฏรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของชายหนุ่ม “อลิซ หากข้าจำไม่ผิด พวกเราเริ่มความสัมพันธ์นี้ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ในปีที่แล้ว และวันนี้ก็เป็นวันที่ 29 พฤศจิกายนเช่นกัน ครบรอบ 1 ปีพอดี ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง อย่างน้อยเจ้าก็เคยมอบความทรงจำอันงดงามให้กับข้า”
แล้วลินลี่ย์ก็กลับหลังหันเดินออกจากโรงแรมไป
ทั้งห้องโถงโรงแรมตกอยู่ในความเงียบ คาลันที่อยู่ตรงมุมห้องวิ่งมาหาอลิซอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ บางก้าวที่ย่างเหยียบลงบนเศษแก้วผลึกเกิดเสียงดังราวกับความทรงจำที่แตกสลายดังก้องทั้งโรงแรม
 “อลิซ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” คาลันโอบกอดอลิซเพื่อให้นางสงบลง
ในเวลานั้นอลิซได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา แม้จะอยู่ในอ้อมแขนของคาลัน แต่สายตาของนางยังคงจับจ้องไปยังทางที่ลินลี่ย์เดินจากไป ในความคิดของนางพลันปรากฏภาพช่วงเวลาที่นางเคยใช้ร่วมกับลินลี่ย์ และนางรู้ดี...
จากวินาทีนี้เป็นต้นไป ลินลี่ย์จะไม่ได้ปฏิบัติต่อนางเช่นนั้นอีก ไม่แน่เขาอาจไม่มาพบนางอีกก็เป็นได้
…..
ถนนศาลาหอมปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว เกล็ดหิมะฟุ้งทั่วในอากาศ
เมื่อเดินอยูนบนถนนศาลาหอม เงาของลินลี่ย์ก็พลันดูลางเลือน เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ปล่อยให้เกล็ดหิมะทับถมบนใบหน้า บัดนี้หัวใจของลินลี่ย์สั่นไหวจนเขาต้องเอามือกุมบริเวณอก
หัวใจของเขาเจ็บลึก
เขารู้สึกราวกับถูกทะลวงดวงใจ
ภายในใจลินลี่ย์ ความทรงจำต่างๆไหลบ่าเข้ามาเหมือนน้ำหลาก
ชุดสีม่วงนั้น ทำให้นางส่องประกายดังเทพธิดาที่หยอกล้อแสงจันทร์
ยามหลบซ่อนอยู่ตรงมุมระเบียง น้ำเสียงที่เอ่ยกับเขานั้นอบอุ่นเพียงใด
ยามหิมะโปรยปราย นางเข้ามาอิงแอบแนบกับอกเขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ในห้องของโรงแรม ใบหน้าของนางยามทอดกายภายใต้อ้อมแขนของเขา
…..
ครั้งหนึ่งลินลี่ย์เคยเชื่อว่าเขาจะได้เคียงข้างอลิซตลอดไป แต่ในวันนี้เขาได้ตื่นจากฝันแล้ว ลินลี่ย์ไม่อาจอดกลั้นต่อความเจ็บปวดของหัวใจได้อีกต่อไป
 “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!”
เขายืนอยู่กลางถนนศาลาหอม ปลดปล่อยเสียงกู่ร้องอย่างปวดร้าว ราวกับเสียงหอนของสุนัขป่า มันดังกึกก้องทั้งถนน ผู้คนรอบข้างจ้องมองเขาอย่างตกใจและเริ่มถอยห่าง
คนพวกนี้คิดว่าเขาบ้าไปแล้ว
น้ำตาไหลเป็นสายจากดวงตาทั้ง 2 อาบทั่วทั้งใบหน้า
โง่  เขาช่างโง่งมงายจริงๆ
โง่ที่เชื่อถือคำมั่นสัญญา
 “ปึก!” ลินลี่ย์พลันทรุดตัวลงเข่ากระแทกพื้น กุมหน้าอกแน่น
หัวใจของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน ราวกับถูกเข็มเล็กๆจำนวนนับไม่ถ้วนทิ่มแทง
ปวดร้าว แม้แต่มือของเขาก็เริ่มเจ็บ นิ้วทั้งสิบเริ่มสูญเสียประสาทสัมผัส ลินลี่ย์ทำได้เพียงกำเสื้อคลุมบริเวณอกให้แน่นขึ้น เป็นทางเดียวที่ทำให้เขายังรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้อยู่
 “ฮ่าฮ่า!”
ลินลี่ย์ลุกขึ้นยืนแล้วหัวเราะลั่น ทั้งที่น้ำตาอาบหน้า หัวเราะให้กับความโง่เขลาและอ่อนต่อโลก
ในเวลานั้น...
ความเจ็บปวดที่หัวใจทำให้ลินลี่ย์ไอออกมาอย่างรุนแรง ยาวนานจนเหมือนมีมีดแทงทะลุหน้าอกเขา ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงไอไม่หยุด ทรมานเสียจนเขาถึงกับล้มลงไปนอนดิ้นกับพื้นเหมือนหนอน
 “แค่ก แค่ก!”
เสียงไอดังขึ้น สลับกับเสียงหอบหายใจ เลือดกระเซ็นลงบนหิมะ
เมื่อมองไปยังหยดเลือดบนหิมะ ลินลี่ย์ก็พลันนึกถึงดอกกุหลาบ สีของมันช่างเหมือนดอกกุหลาบ   ในใจของลินลี่ย์ เขาไม่สามารถหยุดคิดถึงภาพของอลิซที่กำลังประคองกุหลาบสีแดงสดเมื่อปีที่แล้วได้เลย
 “แสงจันทร์ส่องลงมากระทบผืนน้ำ ภาพของดอกไม้ในกระจกเงา ชายหนุ่มในห้วงความฝัน แต่สุดท้าย ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นภาพลวงตา และสลายหายไป ฮ่าฮ่า...” ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะดังก้องทั้งถนนศาลาหอม บัดนี้ไม่มีผู้ใดหลงเหลืออยู่บนถนนแล้ว แต่เสียงหัวเราะอันอ้างว้างของเขาก็ช่างเสียดใจคนฟัง...
เดลิน โคเวิร์ทที่แต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาว ยืนเงียบๆอยู่เคียงข้างลินลี่ย์ ชายชราไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงแต่มองไปยังลินลี่ย์อย่างโศกเศร้าเท่านั้น “โธ่ ลินลี่ย์....สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี”
ในปีนี้ ลินลีย์เพิ่งจะอายุ 16 ปีเท่านั้น
 “น้องสาม!”
ทันใดนั้น เสียงตะโกนอันคุ้นเคยก็ดังขึ้น เยล เรย์โนลด์ และจอร์จต่างวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วจากอีกด้านหนึ่งของถนนศาลาหอม พวกเขาสังเกตเห็นลินลี่ย์ตั้งแต่ตอนที่ชายหนุ่มยืนอยู่นกลางถนน และเมื่อเห็นเลือดที่ลินลี่ย์พ่นออกมา สีหน้าของทั้งสามก็พลันเปลี่ยน
 “น้องสาม เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
 “ลินลี่ย์”
จอร์จ เยล และเรย์โนลด์รีบประคองลินลี่ย์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ลินลี่ย์มองพี่น้องทั้งสามของเขา แล้วส่ายหน้า “ข้าสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก” ลินลี่ย์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ในอดีตข้าเคยชอบหิมะมาก แต่บัดนี้ข้ากลับรู้สึกว่ามันช่างอ้างว้างและเหน็บหนาวเหลือเกิน”
 “พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ แต่ข้าจะกลับแล้ว” หลังจบคำพูด ลินลี่ย์ก็มุ่งหน้าไปยังท้ายถนนศาลาหอม
เยล เรย์โนลด์ และจอร์จต่างมองหน้ากันอย่างกังวล พวกเขาไล่ตามลินลี่ย์ไป...
ในวันนั้น หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ปกคลุมพื้นถนน ลมรอยเลือดสีแดงให้หายไปเหมือนมันไม่เคยปรากฏอยู่เลย

4 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เจ็บ โครตๆ อกหัก

แค่ผ่านมา กล่าวว่า...

จงก้าวเป็นเซียนเวทย์ที่เหี้ยมโหดซะ

tho กล่าวว่า...

ขอบคุณคับ

Unknown กล่าวว่า...

เห้ออ่านกี่ทีกี่ทีก็โดนมันเจ็บจริงๆ

แสดงความคิดเห็น