วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

Panlong ตอนที่ 6-17 คำวิงวอน



ตอนที่ 6-17 คำวิงวอน
ณ คฤหาสน์ของลินลี่ย์ ผู้มีตำแหน่งเป็นอธิบดีศาลจอมเวท บริเวณสวนน้ำพุร้อน

ปรากฏประกายแสงแห่งการใช้เวทธาตุดิน– สนามสุดยอดแรงโน้มถ่วง ลินลี่ย์ในยามฝึกฝนขณะนี้สวมเพียงกางเกงขายาว เปลือยกายท่อนบน
มัดกล้ามเนื้อบนร่างกายท่อนบนของเขาทั้งหมดดูราวกับเป็นริ้วระลอกคลื่น ไม่พบไขมันส่วนเกินเลย ขณะนี้ร่างกายทุกส่วน อวัยวะและเส้นเลือดทั่วร่างของเขากำลังถูกฝึกโดยต้านทานแรงโน้มถ่วงที่มากกว่าปกติถึง 4 เท่า
เรื่องน่ายินดีภายหลังจากเขาได้กลายเป็นนักรบมังกร คือดูเหมือนว่าความสามารถด้านพละกำลังก็มีมากขึ้นตามไปด้วย
ท่ายืนของเขาโค้งโก่งคล้ายคันธนูที่ถูกดึงรั้ง มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาขนานลำตัว แต่ละข้างปรากฏศิลาก้อนขนาดใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักกว่าร้อยปอนด์ต่อก้อน เมื่อประกอบกับการฝึกในสภาวะที่แรงโน้มถ่วงมากขึ้น ทำให้น้ำหนักที่เขากำลังรับอยู่ ณ ปัจจุบัน มีมากถึงเกือบหนึ่งพันปอนด์
ท่อนขาของเขาแข็งแรงราวกับท่อนเหล็ก ร่างกายเหยียดสูงตั้งตรง กระทั่งสายตาของเขาก็มุ่งตรงไปด้านหน้า ไม่มีแววสั่นไหว
หยาดเหงื่อหยดแล้วหยดเล่าไหลกลิ้งไปตามลำตัวของเขาจนทั่วทั้งร่าง แต่ลินลี่ย์หาได้ใส่ใจไม่
นอกเหนือจากภาระงานของอธิบดีศาลจอมเวท ลินลี่ย์ได้ฝึกฝนตัวเองอย่างต่อเนื่องทุกวัน บริเวณด้านนอกสวนน้ำพุร้อน มีทหารยามยืนเฝ้าอยู่และมีหญิงรับใช้ 2 คนที่รอพร้อมรับคำสั่งจากเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ประตูที่จะเข้ามายังลานน้ำพุร้อนถูกปิดไว้ ภายในบริเวณลานฝึกฝนมีเพียงเขาผู้เดียว
ยามที่ลินลี่ย์กำลังฝึกฝน ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเข้ามา
ครั้งหนึ่งราชาเคลย์ได้เสด็จมายังคฤหาสน์แห่งนี้ มหาดเล็กจากในวังไม่สนใจคำเตือนจากทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอก และมุ่งตรงเข้ามายังลานน้ำพุร้อนเพื่อแจ้งให้ลินลี่ย์มาพบกับองค์ราชา ลินลี่ย์สั่งลงโทษชายคนนั้นทันทีโดยให้โบย 20 ไม้ ร่างกายของชายผู้นั้นไม่อาจทนทานได้จึงเสียชีวิตลงในที่สุด
ราชาเคลย์หาได้ใส่ใจต่อการกระทำของลินลี่ย์แม้แต่น้อย ตรงกันข้ามยังได้ย้ำอีกว่า เมื่ออยู่ ณ ลานน้ำพุแห่งนี้ ทุกคนต้องเคารพกฎของลินลี่ย์
 “ใต้เท้าลินลี่ย์ได้ฝึกหนักอยู่เสมอ เขาใช้เวลาทั้งวันอยู่ในลานนั้น เมื่อเขาไม่ได้ฝึกฝนศาสตร์แห่งนักรบ เขาก็ฝึกฝนศาสตร์แห่งจอมเวท ข้าคิดว่าช่วงเวลาเดียวที่เขาจะพักผ่อนก็คือยามที่เขาแกะสลักหินเท่านั้น” หญิงรับใช้ผู้หนึ่งกล่าวเสียงเบา หญิงรับใช้อีกคนผงกหัวรับคำ “ข้าไม่เคยพบกับขุนนางที่ขยันมากเท่านี้มาก่อน ข้าเคยรับใช้ใต้เท้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอนศาสตร์แห่งนักรบ ยังฝึกฝนเพียงวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น”
อัศวินจากวิหารเจิดจรัสที่ยืนอยู่ไม่ไกลต่างรู้สึกนับถือลินลี่ย์อย่างมาก อัจฉริยะส่วนมากจะมีชื่อเสียงโด่งดังในระยะแรก แต่ภายหลังจะค่อย ๆ ดับหายไป ทุก ๆ ปีวิหารเจิดจรัสจะสนับสนุนอัจฉริยะมากมาย อย่างไรก็ตามพวกเขากลับไม่เคยเจอใครโดดเด่นเท่าลินลี่ย์มาก่อน ส่วนใหญ่แล้วเมื่อฐานะทางสังคมของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็มักจะไขว้เขวไปกับปัจจัยภายนอกอื่นๆ พัฒนาการจึงค่อย ๆถดถอยลง
 “หากใต้เท้าลินลี่ย์ยังคงฝึกฝนต่อเนื่องเช่นนี้ เขาต้องกลายเป็นนักรบระดับ 9 ที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมาเป็นแน่ และรวมถึงบรรลุระดับเซียนที่อายุน้อยที่สุดเช่นกัน” หนึ่งในองครักษ์กล่าว
ทหารองครักษ์คนอื่น ๆ ล้วนเห็นด้วย
ทุกคนในที่นี้ต่างยอมรับในความเพียรพยายามและอุตสาหะที่ลินลี่ย์มีให้ต่อการฝึกฝน
เพียงแค่ว่า... “ใต้เท้าลินลี่ย์ออกจะเข้มงวดและน่ากลัวอยู่บ้าง” หญิงรับใช้ผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอมทุกข์
ในใจของพวกนาง ลินลี่ย์คือชายที่หล่อเหลา เยาว์วัย ทั้งยังแข็งแกร่ง เขากำลังจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์! ทุกสิ่งอย่างล้วนไร้ที่ติ เพียงแต่มนุษยสัมพันธ์ที่เขามีต่อผู้อื่นนั้นแย่มาก กระทั่งกับหญิงรับใช้อย่างพวกนาง เขาไม่แสดงออกถึงความเป็นสุภาพหรือแสดงความอ่อนโยนแม้เพียงนิด
แต่สิ่งที่ผู้อื่นไม่รู้ นั่นก็คือกระทั่งตอนเขากำลังแกะสลักหิน เขาไม่ได้พักแต่อย่างใด แต่กำลังเพิ่มพลังจิต ในอัตราเร็วขั้นสูงสุด! ลินลี่ย์กำลังเพิ่มความแข็งแกร่งอยู่ทุกชั่วขณะ!
ภายในสวนน้ำพุร้อน
 “ฟู่ว”
ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มแห่งการฝึกฝนด้านพละกำลังสิ้นสุดลง ลินลี่ย์เริ่มต้นเดินลมปราณนักรบเลือดมังกรภายในร่าง ความเหนื่อยล้าจางหายลง เขาค่อย ๆ ชักเหล็กสกัดตรงออกมา จากนั้นเดินตรงไปยังศิลาก้อนใหญ่ที่เขาวางทิ้งไว้บนผืนหญ้า  เขากำลังจะลงมือแกะสลัก
จ้องมองไปยังศิลาทั้งสองก้อน สำรวจดูลายเส้นและโครงสร้างของหิน ลินลี่ย์เริ่มต้นออกแบบการแกะสลักของเขาในใจ พริบตาเดียวภาพใบหน้าของนักรบในจินตนาการก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ
รอยยิ้มถูกส่งออกมาบนใบหน้า เหล็กสกัดตรงในมือของลินลี่ย์เริ่มขยับอย่างเป็นจังหวะราวกับกำลังล่องลอยอยู่และฟาดฟันไปบนหินสลัก ทำให้เกิดเศษหินกระเด็นกระดอนไปทั่ว ลินลี่ย์ลงมืออย่างตั้งใจ ไร้ซึ่งความลังเล น้ำหนักที่ถ่ายลงในการแกะสลักก็เหมาะเจาะไม่มีความผิดพลาดแม้แต่น้อย
ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษเสียจริง!
จิตวิญญาณของลินลี่ย์เริ่มที่จะจมดิ่งไปในกระแสแห่งธาตุดินที่สั่นไหวรายล้อมรอบข้าง ทำให้เขาสัมผัสถึงทุกเส้นสายและรอยแตกของหินเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ยังทำให้เขาลงมือทุก ๆครั้งของเขาเป็นไปได้อย่างแม่นยำไร้ที่ติ
ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา!
ลินลี่ย์ในตอนนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งธรรมชาติโอบล้อมซึ่งเป็นเหมือนดั่งพระแม่แห่งความกรุณาปราณี ได้มอบความแข็งแกร่งให้กับเขาเติบโตขึ้น
 “ฟู่ว”
เมื่อผ่อนลมหายใจออกจนหมด ลินลี่ย์ลดเหล็กสกัดตรงในมือลง
ผ่านไปสองชั่วโมง ศิลาขนาดใหญ่ได้กลายเป็นรูปสลักอย่างหยาบ ๆ เขาตั้งใจจะแกะสลักลงรายละเอียดต่อในวันถัดไป เนื่องจากทุก ๆ วันเขาได้กำหนดเวลาที่จะใช้ไปกับการแกะสลักโดยเฉพาะไม่ให้เกินไปกว่าที่ตั้งใจไว้
เขาจำเป็นจะต้องจัดสรรองค์ประกอบในการฝึกให้เป็นไปอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้มาซึ่งการเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การฝึกฝนเช่นนี้เกิดขึ้นทุกวันตั้งแต่ตีห้า จวบจนขณะนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาอาหารเช้าแล้ว
เมื่อลดเหล็กสกัดตรงในมือลง ลินลี่ย์ถอดกางเกงออก และก้าวลงไปยังบ่อน้ำพุร้อน รับรู้ได้ถึงความร้อนตามลำตัวไล่เรียงไปทั่วทุกมัดกล้ามเนื้อ ลินลี่ย์ปิดตาลงอย่างผ่อนคลาย ในที่สุดก็เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่แท้จริง
 “เข้ามาได้” ลินลี่ย์ตะโกนบอก
หญิงรับใช้สองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกมาตลอดได้ยินดังนั้นก็ก้าวเข้ามาพร้อมถาดในมือสองถาด  ภายในเต็มไปด้วยอาหารและผลไม้อย่างพรักพร้อม
 “ใต้เท้าลินลี่ย์” หญิงรับใช้ทั้งสองวางถาดลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ไกล และยืนรอรับคำสั่งต่อไปของลินลี่ย์อย่างนอบน้อม
เมื่อต้องยืนอยู่ด้านข้าง พวกนางต่างอดไม่ได้ที่จะชำเลืองตามองไปยังลินลี่ย์ ลินลี่ย์ตอนนี้ที่กำลังเปลือยกายอยู่ ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกำลังเอนกายอยู่เบื้องหน้าช่างเป็นอะไรที่น่าตื่นตาอย่างมาก
 “พวกเจ้าไปได้แล้ว”
ลินลี่ย์กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
 “เจ้าค่ะใต้เท้า” หญิงรับใช้ทั้งสองออกไปทันทีอย่างนอบน้อม
ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา ลินลี่ย์ไม่ได้เหลือบตามองพวกนางแม้เพียงสักครั้ง
จากนั้นเขาก้าวขึ้นจากบ่อน้ำพุ สวมชั้นในตามด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้และเริ่มรับประทานอาหารเช้า
 “ฟุ่บ” เงาสีดำตรงมาจากผืนหญ้าที่อยู่ห่างออกไป หนูเงาบีบีที่งีบหลับยามลินลี่ย์กำลังฝึกฝนการแกะสลักอยู่ได้พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว
 “เจ้านาย นี่เป็นเวลาอาหารเช้าแล้วหรือ อา เช่นนั้นแล้ว เนื้อย่างชิ้นใหญ่นั่นข้าขอก็แล้วกัน” บีบีกล่าวจ้องมองเนื้อที่ตนหมายตาไม่กระพริบ
ลินลี่ย์หัวเราะในลำคอ
 ‘ท่านปู่เดลิน ท่านคิดว่าพวกเราพอจะมีวิธีจัดการกับเคลย์ในตอนนี้หรือไม่?’ ลินลี่ย์กล่าวกับปู่เดลินในใจ
เดลิน โคเวิร์ท ลอยออกมาจากแหวนมังกรขนด นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง ยิ้มให้กับลินลี่ย์ “ลินลี่ย์ เคลย์น่ะเป็นถึงนักรบขั้นที่ 9 ช่องว่างระหว่างเจ้าทั้งสองยังมากเกินไป ต่อให้เจ้าอยู่ในสภาวะนักรบมังกรแบบเต็มรูปแบบแล้วก็ยังมีพลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นที่ 8 ระดับต้น ๆเท่านั้น เดี๋ยวนะ ไม่สิ ตอนนี้เจ้าเป็นนักรบขั้นที่ 6 ระดับปลายแล้วจึงเทียบได้กับนักรบขั้นที่ 8 ระดับปลายเมื่อเจ้าอยู่ในรูปแบบนักรบมังกรเต็มขั้น แต่อย่างไรก็ดี เจ้าก็นับว่าห่างจากเคลย์อยู่มาก”
ลินลี่ย์แม้รู้สึกไม่อยากจะยอมรับ แต่เขาก็รู้ดีว่า ณ ตอนนี้ เขายังไม่อาจเป็นคู่มือให้กับผู้ที่เป็นคนออกคำสั่งให้ดยุคแพตเตอร์สันลักพาตัวมารดาของเขาไป หรือก็คือราชาเคลย์ นั่นเอง
 “ข้ามีเพียงทางเลือกเดียวคือ ต้องฝึกหนักต่อไปเท่านั้น”  ลินลี่ย์กำหมัดโดยไม่รู้ตัว ส้อมในมือถูกบิดให้งอด้วยพละกำลัง
ในระดับขั้นต้น ๆ พละกำลังที่ถูกเสริมขึ้นมาจากการเปลี่ยนเป็นนักรบมังกรนั้นมีผลอย่างมาก เมื่อวัดจากปริมาณการฝึกฝนของเขาซึ่งตอนนี้เป็นนักรบขั้นที่ 6 ระดับปลายแล้ว ภายในครึ่งปีนี้เขามีโอกาสอย่างมากที่จะเลื่อนระดับเป็นนักรบขั้นที่ 7 หากเมื่อเวลานั้นมาถึง ภายใต้สภาวะแห่งนักรบมังกรเขาจะสามารถก้าวไปถึงการเป็นนักรบขั้นที่ 9 ระดับต้นได้
 “ใต้เท้าลินลี่ย์” เสียงจากหญิงรับใช้ลอยเข้ามาจากภายนอกลานน้ำพุ
 “เข้ามา” ลินลี่ย์กล่าวอย่างสงบ
เพียงแต่คราวนี้หญิงรับใช้รีบเข้ามา กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ใต้เท้าลินลี่ย์ ด้านนอกมีหญิงสาวผู้หนึ่งนามว่าอลิซมาขอเข้าพบกับใต้เท้าเจ้าค่ะ”
 “อลิซ?” เปลือกตาของลินลี่ย์กระตุก เขามองไปยังหญิงรับใช้ที่มาแจ้งข่าว “พานางไปห้องรับแขก ข้าจะตามไปที่นั่น” ลินลี่ย์ยืนขึ้นขณะพูด
 “เจ้าค่ะใต้เท้าลินลี่ย์” หญิงรับใช้ผู้นี้ไม่กล้าที่จะเหลือบมองลินลี่ย์แม้แต่น้อย นางรู้ดีว่าลินลี่ย์เข้มงวดต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเพียงใด
……

อลิซบีบกระชับแก้วน้ำในมือ นางมีท่าทีทุกข์ใจ การที่นางจะมาขอร้องให้ลินลี่ย์เข้าช่วยเหลือ ช่างเป็นอะไรที่ลำบากใจสำหรับนาง หากแต่ตอนนี้นางมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
ร่างกายของอลิซแข็งทื่อ นางหันหน้ามองไปยังทิศทางนั้นทันที
ลินลี่ย์ในชุดลำลองเรียบง่าย ยิ้มและก้าวเข้ามาในห้องโถงรับแขก เห็นอลิซกำลังมองมาที่เขา เขาก็ได้แต่พยักหน้าและยิ้มตอบกลับ “อลิซ นานแล้วที่เราไม่ได้พบกัน” ลินลี่ย์กล่าวขณะทิ้งตัวลงนั่งในเก้าอี้ประธาน
อลิซเห็นได้ชัดว่าอากัปกิริยาของลินลี่ย์ได้เปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้า หนึ่งปีก่อนนางยังรู้สึกว่าเขายังเด็กและไม่ประสีประสาเท่าไรนัก
แต่ตอนนี้ ลินลี่ย์เต็มไปด้วยกิริยาท่าทางที่สง่างามของชนชั้นสูง แค่รอยยิ้มบางๆ ที่เขาส่งมา ไม่ว่าใครก็สามารถสัมผัสได้ถึงราศีที่ไม่ธรรมดาของเขา ราศีที่บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่ง
 “พี่ลินลี่ย์” อลิซพยายามบังคับเสียงของนางให้สงบลง แต่พบว่ามันยังคงสั่นเครืออยู่เล็กน้อย
 “เจ้าต้องการทานผลไม้หรือไม่ ข้ายังพอจำได้ว่าผลไม้โปรดของเจ้าคือผลมะกอก” ลินลี่ย์เหลือบตาไปยังหญิงรับใช้ที่อยู่ไม่ไกลเพียงหนึ่งครั้ง
ในเวลาไม่นาน หญิงรับใช้คนนั้นก็กลับมาพร้อมกับจานผลไม้
 “ขอบคุณ” อลิซหยิบผลมะกอกขึ้นมากัดคำเล็ก ๆ ช่วงขณะนั้นเอง นางอดที่จะคิดถึงช่วงเวลาที่นางกับลินลี่ย์ทานผลมะกอกด้วยกันไม่ได้ และตอนนั้นลินลี่ย์เป็นผู้ป้อนมันให้แก่นางด้วยตัวเอง
อลิซอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองลินลี่ย์ และพบว่าเขาเองก็กำลังยิ้มให้นางอยู่
 “พี่ลินลี่ย์” อลิซลดมือที่ถือผลไม้ลงมา มองตรงไปยังชายที่นั่งข้างหน้านาง “มีบางเรื่องที่ข้าต้องขอความช่วยเหลือจากท่าน”
 “เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้างั้นหรือ?” ลินลี่ย์เองได้คาดเดาถึงสาเหตุเบื้องหลังในการมาเข้าพบเขาของอลิซไว้อยู่แล้ว
 “เชิญกล่าวออกมาได้เลย” ลินลี่ย์กล่าวออกมาตรง ๆ
อลิซสูดหายใจเข้าลึก มองไปยังลินลี่ย์อย่างจริงจัง “พี่ลินลี่ย์ ท่านน่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลของคาลันดี ข้าคิดว่าคาลันกับคนอื่นๆ ในตระกูลเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขากำลังถูกใส่ความ ข้าหวังว่าท่านจะช่วยเหลือพวกเขา ด้วยการเจรจากับองค์ราชาเคลย์ ข้าหวังว่าท่านจะสามารถช่วยล้างมลทินและช่วยกอบกู้ชื่อเสียงจากคำครหานี้ให้แก่พวกเขาได้ ข้ามั่นใจว่าองค์ราชาย่อมเห็นแก่หน้าท่าน”
ลินลี่ย์อดที่จะหัวเราะออกมาอย่างจนปัญญาไม่ได้
บริสุทธิ์งั้นหรือ?
ผู้อื่นอาจไม่รับรู้ แต่ย่อมไม่ใช่เขาผู้ซึ่งได้ลงมือสังหารแพตเตอร์สัน ยามนั้นแพตเตอร์สันได้บอกกล่าวแก่เขาเองเกี่ยวกับการลักลอบขนหยกวารีหนีภาษีครั้งนี้ เขามั่นใจว่าโอกาสที่ตระกูลเด็บส์มีจะส่วนร่วมกับการลักลอบขนหยกวารีหนีภาษีครั้งนี้มีมากกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์
 “ล้างมลทินอันไม่เป็นธรรม? เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าพวกเขาบริสุทธิ์ล่ะ? อลิซ เจ้าคิดหรือว่าเจ้ารู้จักตระกูลเด็บส์ดีแล้ว?” ลินลี่ย์มองอลิซ
อลิซตื่นตระหนก
นางต้องใช้ความกล้าอย่างมากในการกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมา แต่จากคำพูดที่ลินลี่ย์ตอบกลับนางด้วยคำถามเมื่อครู่ ทำให้นางรู้สึกได้ว่า... ลินลี่ย์ไม่มีความคิดจะช่วยเหลือแม้แต่น้อย
นางพลันรู้สึกอยากร้องไห้ และทุกข์ใจอย่างมาก
อลิซลุกขึ้นยืน กล่าวกับลินลี่ย์ “พี่ลินลี่ย์ ข้าขออภัย ข้าไม่ควรมาที่นี่เลย ข้ารู้ดีว่าในอดีตข้าได้ทำเรื่องผิดพลาด ไม่น่าให้อภัย และการที่ข้ามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านเพื่อตระกูลเด็บส์มันเป็นคำขอที่มากเกินไปสำหรับข้า ไม่เป็นไรหากท่านไม่คิดช่วยเหลือ ข้าก็ไม่คิดโทษท่านแม้แต่น้อย” จากมุมมองของอลิซ ลินลี่ย์กับคาลันเป็นคู่แข่งกันในด้านความรัก ดีแค่ไหนแล้วที่ลินลี่ย์ไม่ได้กระทำสิ่งใดซ้ำเติมตระกูลเด็บส์ยามที่พวกเขาตกสู่สถานะเช่นในปัจจุบัน
ลินลี่ย์มองดูอลิซ ในยามนี้จิตใจของเขาสงบนิ่งอย่างมาก
เรื่องที่รักครั้งแรกของเขาล้มเหลวนั้น บัดนี้หลงเหลือเพียงภาพฝันที่ได้ล่วงพ้นมาแล้ว  ลินลี่ย์ในตอนนี้ได้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายจากหุบเขาแห่งเมฆหมอก ได้กลายเป็นนักรบเลือดมังกร และด้วยการจากไปของบิดาเขา ตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้าไปสู่หนทางแห่งการล้างแค้น!
ด้วยจุดมุ่งหมายในการล้างแค้นของเขา ลินลี่ย์ได้แต่ขัดเกลาร่างกายและจิตใจให้บังเกิดความโหดร้ายทารุณ ความเย็นชา ไม่ให้ขาดไปแม้เพียงนิด ความพร้อมทางด้านจิตใจของลินลี่ย์ในตอนนี้เหนือล้ำยิ่งกว่าตัวเขาในปีก่อนหน้าอย่างทาบไม่ติด เขาโตขึ้นมากในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งด้านพละกำลัง ความแข็งแกร่งและทางด้านจิตใจก็ด้วยเช่นกัน ลินลี่ย์เมื่อปีก่อนไม่อาจเทียบเท่ากับตัวเขาในยามนี้ได้เลย เขาไม่ใช่ลินลี่ย์คนเดิมที่อลิซคิดว่าเขาเคยเป็นอีกต่อไป
ด้วยประสบการณ์ที่เขาได้สั่งสมมา บัดนี้เขาได้เติบใหญ่แล้ว ลินลี่ย์ได้ผ่านพ้นเหตุการณ์ต่าง ๆ มาอย่างมากมาย
 “พี่ลินลี่ย์ ข้าขอตัว” อลิซกล่าวและลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ นางรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่กำลังจะกลั้นไว้ไม่ไหว
 “อลิซ” ลินลี่ย์ยืนขึ้นเช่นกัน ยืดแขนออกมาวางไว้บนบ่าของอลิซ
อลิซหันกลับมาหาลินลี่ย์ด้วยความประหลาดใจ ลินลี่ย์มองนางตรงๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อลิซ ยังมีเรื่องอีกมากที่เจ้าไม่รู้ ตระกูลเด็บส์จะบริสุทธิ์หรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินได้ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าตัดสินใจมาพบข้าเพื่อขอให้ข้าช่วยเหลือ ข้าก็จะไม่นิ่งดูดายหรือเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ แต่...ข้าจะสามารถช่วยพวกเขาไว้ได้สำเร็จหรือไม่นั้น นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น