ตอนที่ 142
พี่น้องตระกูลหัว
“หลิงซิ่ว เจ้าคนเนรคุณ! อกตัญญู! เราเคยทำร้ายเขาเมื่อใดกัน? เขาทรยศเราอย่างไม่คาดฝัน?
เดรัจฉานนี่
เราจะปล่อยเขาไว้ไม่ได้แล้ว
ไม่มีทาง!”
พ่อบ้านของตระกูลที่หนึ่งโกรธจนหน้าเขียวโวยวายลั่นห้องโถง
เขาเป็นคนสนิทของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลมานานสี่สิบปี
เรื่องของครอบครัวส่วนใหญ่จะต้องผ่านมือของเขา แม้แต่ลูกๆ
ของผู้อาวุโสสูงสุดก็ยังมีอำนาจน้อยกว่าเขา
เขาจัดการเรื่องให้หลิงซิ่วมากมาย, เหรียญดาว,
การ์ดวิญญาณ, หินดวงดาว ฯลฯ เขาเป็นคนจัดให้หลิงซิ่ว
หลิงซิ่วได้รับการปฏิบัติจากครอบครัวที่หนึ่งอย่างดีไม่เป็นสองรองใคร
"นี่คือความผิดพลาดของข้า"
ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกตัว และพูดเสียงต่ำ "ข้าดูแลหลิงซิ่วน้อยเกินไป
อัจฉริยะอย่างนั้น จะเอาชนะใจเขาได้ง่ายๆ ด้วยเงินได้อย่างไร? ข้าดูแลเขาไม่ดี
หลิงซิ่วเป็นคนแบบไหนกันแน่?"
หลิงซิ่วเป็นคนแบบไหน?
พ่อบ้านอึ้ง
เขาอดจำไม่ได้ว่า เขามีความไม่แน่นอน "ช่างน่าเบื่อไปหน่อย ไม่อยากจะพูดมาก มันไม่สบายใจนัก ดูเหมือนว่าไม่อะไรน่าสนใจเลย"
"ช่างมันเถอะ" ผู้อาวุโสสูงสุดส่ายศีรษะถอนหายใจ
"ความผิดพลาดแบบนั้นทำได้เพียงครั้งเดียวเราได้รับความเดือดร้อนร้ายแรงแล้ว ตอนนี้มาคิดกัน จะรักษาสถานการณ์นี้ไว้ได้ยังไง
เจ้าติดต่อกับคนผู้นั้นได้ไหม?"
หน้าของพ่อบ้านดูเหมือนจะเศร้าหมองลงไป "ไซอาปฏิเสธ
ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นความจริง"
ผู้อาวุโสสูงสุดไตร่ตรอง
"สามารถหนีพ้นเงื้อมมือของไซอาได้
ฝีมือของเขาดูถูกไม่ได้เลย แล้วคนอื่นเล่า?"
"ผู้ที่ยินดีจะรับข้อเสนอนี้ก็มีแต่พี่น้องตระกูลหัว"
พ่อบ้านตอบ
"พี่น้องตระกูลหัวเหรอ?" ผู้อาวุโสสูงสุดเคยได้ยินชื่อเหล่านี้มาก่อน ตาของของเขาเป็นประกาย "สองพี่น้องตระกูลหัว, หัวหรงและหัวซาน่ะเหรอ?"
"ขอรับ!"
พ่อบ้านตื่นเต้นเล็กน้อย
"พวกเขายินดีจะรับงานนี้
แม้ว่าราคาจะสูง
แต่ก็มีเพียงสองพี่น้องเท่านั้นที่เป็นยอดฝีมือที่ยังเหลืออยู่ แม้ว่าจะเรียกร้องราคาสูง แต่พี่น้องตระกูลหัวก็พูดง่าย
ยังพูดง่ายกว่าไซอาเสียอีก
"อย่างนั้นก็เป็นสองพี่น้องตระกูลหัว" ผู้อาวุโสสูงสุดตัดสินใจเด็ดขาด "ต้องไว
ยิ่งจัดการได้ไวสถานการณ์ก็จะดีต่อเรายิ่งขึ้น"
"อีกวันหนึ่ง
พวกเขาก็จะมาถึง" พ่อบ้านกัดฟัน "หลิงซิ่วและเจ้าหมอนั่น
จะไม่มีทางโงหัวได้ไม่ว่าจะใช้ลูกไม้อะไรก็ตาม"
ผู้อาวุโสสูงสุดแสดงความพึงพอใจ "ถ้าได้พวกเขาด้วย ข้าก็เบาใจแล้ว จำไว้
เตือนพวกเขาไว้ว่าอย่าทำอันตรายกู้เสวี่ย ข้าต้องการนางเป็นๆ"
"ขอรับ!"
พ่อบ้านรับคำด้วยความเคารพ
※※※※※
"เจ้ากำลังจะไปหมู่ดาวกางเขนใต้หรือ?" หลิงซิ่วจ้องหน้าถังเทียนตาไม่กระพริบ
เหมือนกับว่ามีดอกไม้อยู่บนใบหน้าของเขา
"ใช่แล้ว"
ถังเทียนมีสีหน้าสงสัย "เอ่, เจ้าเคยได้ยินชื่อหมู่ดาวกางเขนใต้ด้วยหรือ?"
"อาจารย์ข้าเคยพูดถึงมาก่อน" หลิงซิ่วดูเหมือนระลึกความทรงจำ
"อย่าตอแยยอดฝีมือของตำหนักที่สิบสาม
และคนที่เกี่ยวข้องกับหมู่ดาวกางเขนใต้
เขาบอก"
ถังเทียนมองดูประหลาดใจ "โห,
อาจารย์เจ้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยสินะ? เขาต้องคาดออกว่าหมู่ดาวกางเขนใต้มีหนุ่มน้อยชาวฟ้า
ใช่แล้ว ใช่แล้ว"
ทันใดนั้น,
เงาดำร่างหนึ่งปรากฏอยู่ด้านข้างถังเทียน "ใครคืออาจารย์ของเจ้า?"
สายตาของปิงจับจ้องหลิงซิ่วแน่วแน่
หลิงซิ่วสะดุ้งเฮือกทั้งที่ยังนั่งและชี้อย่างระมัดระวัง
ม่านตาเขาหรี่แคบ "ท่านเป็นใคร?"
เขาสามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่าย
กลิ่นอายระดับนี้...กล้าแข็งมาก
ท่านผู้นี้เป็นใคร?
ถังเทียนตกใจ เขารีบลุกขึ้นยืน "เขาคือปิง
เป็นขุนพลวิญญาณของข้าเอง"
"ขุนพลวิญญาณเหรอ?" หลิงซิ่วมีนัยน์ตาสงสัย "ขุนพลวิญญาณของเจ้า
อยู่ในระดับเดียวกับเจ้า
นั่นค่อนข้างจะผิดปกติ"
"จริงๆ เหรอ? ฮ่าฮ่า!
เจ้าตาถึงจริงๆ"
ก่อนที่หลิงซิ่วจะหน้าเขียวคล้ำ ถังเทียนที่หน้าบานก็หันไปคุยกับปิง
"นี่ลุง, อย่าดุนัก เดี๋ยวเด็กกลัว"
เด็ก...
หลิงซิ่วนัยน์ตาเบิกกว้าง เส้นประสาทตึง เขากระโดดผางด้วยความหงุดหงิด
"เจ้านั่นแหละเป็นเด็ก
เป็นเด็กกันทั้งตระกูลนั่นแหละ
ถังเทียนทำสีหน้าว่ารู้แล้ว และพูดกับปิง
"เห็นไหม, ข้าบอกแล้ว"
ปิงไม่สนใจถังเทียน กลับจ้องหลิงซิ่วเขม็ง
"อาจารย์เจ้าพูดว่าอะไรอีก?"
หลิงซิ่วรู้แล้วว่าปิงไม่มีอันตราย จึงเก็บหอกและแค่นเสียง
เหมือนกับว่าไม่พอใจที่ปิงจ้องมอง
"ข้าลืมไปแล้ว"
ถังเทียนจับไหล่ของหลิงซิ่วและปลอบเขา "เด็กน้อย,
คนเราต้องเปิดใจกว้าง
ความจริงเจ้าก็ยอมๆ ต่อระดับของขุนพลวิญญาณบ้างได้ไหม?"
"หมู่ดาวแกะ...."
ปิงพยายามอย่างหนักที่จะนึกให้ออก
ทันใดนั้น เดี๋ยว เขาหันมาจ้องถังเทียนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
"เจ้าหมายความว่าไง ยอมๆ ต่อระดับขุนพลวิญญาณ?"
ถังเทียนแกล้งไม่ได้ยิน และแหงนหน้าอ้าปากหาว
เมื่อดูคู่หูคู่กัดทั้งคู่
กู้เสวี่ยกำลังเล่นกับหยาหยาที่อยู่ในมือนางก็รู้สึกได้ทันทีว่าจะดีแค่ไหนถ้าเวลาสามารถหยุดไว้เพียงเท่านี้
※※※※※
"ผู้อาวุโสสูงสุด, พวกเขามาถึงนี่แล้ว" เสียงของพ่อบ้านมีสำเนียงสั่น
"ให้พวกเขาเข้ามา"
ผู้อาวุโสสูงสุดข่มความดีใจและรีบเร่งลุกขึ้นยืนขณะทักทายพวกเขา
ร่างสองร่างปรากฏอยู่ที่ทางเดิน
บดบังแสงไม่ให้ลอดผ่านประตูทันที และหยุดอยู่ข้างหน้าผู้อาวุโสสูงสุด ความรู้สึกกดดันท่วมทับเข้ามา แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดผู้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ
มามากมายในชีวิตก็ยังอดสั่นกลัวไม่ได้
แน่นอนว่าพวกเขาคู่ควรกับการติดอันดับอยู่ในยอดฝีมือห้าสิบคนแรกในดาวไพรมายา
หัวหรงสูง 185 ซม. สูงใหญ่แข็งแรง
ผมสีน้ำตาลยาวประบ่า ร่างกายท่อนบนเปลือย กล้ามเนื้อเป็นมัดดุจทองแดง
นัยน์ตาเย็นชาดุจน้ำแข็งแบกไม้พลองบรอนซ์ด้ามหนึ่ง
หัวซากลับดูน่าเกลียด สูงกว่าหัวหรงศีรษะหนึ่ง
ร่างกายทรงพลังกล้ามเนื้อปูดโปน ให้ความรู้สึกสยองขวัญแก่ผู้คน พวกที่ยืนอยู่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนภูเขาเหล็กสร้างความรู้สึกที่กดดัน
ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบคอจนหายใจไม่ออก อาวุธของเขาเป็นกระบองคู่หนักซึ่งเขาถือได้อย่างธรรมดา
กลิ่นอายเยือกเย็นแผ่ออกมาจากยอดฝีมือกดดันไปทั่วมุมบ้าน
สามารถขึ้นอยู่ในห้าสิบอันดับแรกสุดยอดฝีมือของดาวไพรมายาได้ในเวลาพร้อมกันได้
สองพี่น้องเป็นยอดฝีมือเพียงคู่เดียว
แต่ละคนนับเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งในเมืองเฮยซานได้อย่างแน่นอน
ที่สำคัญก็คือ มีถึงสองคน
ไม่มีใครสามารถหยุดพวกเขาได้ ทุกอย่างตกอยู่ในความควบคุมของพวกเขา รวมทั้งกู้เสวี่ย
"ข้าขอร้องพวกท่านทั้งสอง"
อยู่ต่อหน้ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างนั้น
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลไม่กล้าวางอำนาจ
หัวหรงถามอย่างไม่ไยดี "ของๆ
เราอยู่ที่ไหน?"
"เราจะจ่ายมัดจำ...." พ่อบ้านกล่าว
หัวหรงดูเหมือนจะไม่ได้ยิน
ดวงตาเย็นชาจ้องดูผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล
"เรามีงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาจะมาลากถ่วงกับพวกเจ้า"
"เจ้า..."
พ่อบ้านไม่คิดว่าหัวหรงจะดื้อด้านมากขนาดนั้น
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลยื่นมือออกมาห้ามพ่อบ้านไม่ให้ด่าออกมาและตอบอย่างสงบว่า
"จะช้าหรือเร็วก็ต้องให้
ข้ามั่นใจท่านทั้งสอง ไปเถอะ ไปรับค่าจ้างที่เราได้เตรียมไว้ให้แล้ว"
สายตาเหลือบมองของหัวหรงตอนนี้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกว่าหัวใจของเขาเหมือนถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น
จนเกือบจะหยุดเต้น เขาเป็นคนเด็ดขาดและรู้สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้
หัวหรงประหลาดใจกับทัศนคติที่ตรงไปตรงมาของผู้อาวุโสสูงสุด เขาพยักหน้า
"อันที่จริง ท่านผู้อาวุโสสูงสุดอย่างท่านก็ตรงไปตรงมาดี
เราสองพี่น้องจะไม่ยอมเสียเวลา
พวกมันจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินคืนนี้”
หัวหรงพูดรับประกันตามปกติ แต่ให้ความรู้สึกที่มั่นใจกับอีกฝ่าย
หัวซายิ้ม ดูเหมือนโง่
แต่บางทีก็ดูเหมือนสัตว์ร้ายเช่นกัน
"อย่างนั้นข้าก็วางใจ" ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลฝืนยิ้ม
ในไม่ช้าค่าจ้างก็ถูกส่งมาให้หัวหรงตรวจดู
เขาเก็บไว้อย่างพึงพอใจ
"ขอคนนำทางให้เราด้วย"
หัวหรงพูดเบาๆ "งานเสร็จเร็ว
เราจะได้พักเร็ว ถ้ามีธุรกิจอะไรในอนาคตอีก โปรดเรียกใช้เราได้
ท่านผู้อาวุโสสูงสุด"
เขาพูดกับหัวซา "ไปกันเถอะ"
เมื่อทั้งคู่ออกไปแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทันที
จากนั้นเขาเพิ่งรู้ตัวว่า
ตัวเขาหลั่งเหงื่อเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกอ่อนเพลีย
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลรู้สึกตกตะลึงและประหลาดใจ
สองคนนี้เป็นยอดฝีมือตัวจริง
หลิงซิ่วเหมือนกับเป็นเด็กอ่อนไปเลยเมื่อเทียบกันแล้ว
นัยน์ตาเขาเป็นประกายน่ากลัว
เขาต้องการบอกทุกคนว่าใครก็ตามที่ทรยศเขาจะมีผลประการเดียว
ตาย!
※※※※※
ทั่วทั้งเมืองเฮยซานเงียบผิดปกติ
ทุกครอบครัวตระกูลพยายามอย่างหนักที่จะยับยั้งอยู่ในตระกูลตัวเอง เมืองเฮยซานดูเหมือนจะวังเวงลงถนัดตา
ตามถนนว่างเปล่าไม่ปรากฏผู้คนแม้แต่คนเดียว
ความเงียบสงบเช่นนั้น เป็นสัญญาณเตือนว่านี่คือความสงบก่อนพายุมาถึง
"เงียบเกินไป!
ข้ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย"
กู้เสวี่ยยืนอยู่ข้างหน้าหน้าต่าง มองลงไปที่ถนนว่างเปล่า
น้ำเสียงของนางแสดงว่าวิตกกังวล
แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเตรียมพร้อมสำหรับตอบโต้แล้ว
เมื่อเขาเตรียมสิ่งที่เขารอคอยเสร็จ หลิงซิ่วและพวกที่เหลือจะต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องรุนแรงแน่นอน
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกู้มีชื่อเสียงมากที่สุดกว่าผู้อาวุโสคนใดในตระกูลกู้ นี่เป็นสิทธิ์จัดการของเขา
เป็นอำนาจของครอบครัวที่หนึ่งซึ่งมีอำนาจโดดเด่นเหนือกว่าครอบครัวอื่นในตระกูล
กู้อันสวงสูญเสียความเยือกเย็นตามปกติ เขานั่งกลุ้มใจอยู่บนเก้าอี้ฝืนหัวเราะ “ครั้งนี้เราพลาดไปเพราะเจ้าทรยศหลิงซิ่ว เจ้านั่นพยายามโอ้อวดความกล้าหาญ
ทำให้ความพยายามของเราต้องล้มเหลว”
กู้อู่ตะลึงและเกือบร่ำร้องโวยวายทันที
“อย่าบอกนะว่าผู้อาวุโสสูงสุดต้องการจับเป็นกู้เสวี่ย? เขากล้าเหรอ?”
เขาเห็นกู้เสวี่ยเหมือนเป็นหมูในอวยของเขามานานแล้ว
ไม่ใช่แต่เพียงนางมีพลังสายเลือดรุ้งหิมะเท่านั้น
แต่ยังเป็นเพราะรูปลักษณ์ที่ดีของนาง
สองสามวันมานี้ เขาต้องข่มเก็บไว้ในใจจนนอนไม่หลับยามราตรี
กู้อันสวงแค่นเสียง
“เขาไม่กล้าทำอะไรน่ะเหรอ? ทั่วทั้งตระกูล
มีเพียงคนเดียวที่ข้าไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ ก็คือเจ้าเฒ่านั่น
อย่าถูกความเงียบผิดปกติของเขาหลอกเอาเด็ดขาด ทันทีที่เขาลงมือ
เขาจะไม่ให้คนอื่นได้ตอบโต้”
กู้อู่บังคับตนเองให้สงบลง “ก็ไม่ง่ายนักหรอก
หลิงซิ่วและเจ้าบุรุษลึกลับนั่นไม่ใช่จะจัดการได้ง่ายๆ
และยังเพิ่มเมอเรย์อีกคน
กู้อันสวงส่ายหน้า ผู้อาวุโสสูงสุด
จะไม่ลงมือทำ ถ้าเขาไม่มีความมั่นใจ”
ทันใดนั้น ต้าเว่ยที่คอยจับตาดูที่ถนนตะโกน
“พวกเขาออกไปแล้ว!”
กู้อู่และกู้อันสวง รีบวิ่งออกไป
บุรุษสองคนร่างคล้ายหอยักษ์วิ่งตรงไปที่ซากหักพังโดยมีนักสู้นำทางคนหนึ่ง
ชื่อของทั้งสองคนผุดขึ้นมาในใจของกู้อู่ หน้าของเขาซีดเผือดทันที..
“พี่น้องตระกูลหัว...
เสียงอุทานของเขาสั่นอย่างเห็นได้ชัด
หน้าของกู้อันสวงเขียวคล้ำและบ่นพึมพำกับตนเอง
“เป็นไปตามคาด....”
สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ถนนอย่างตื่นตกใจ
2 ความคิดเห็น:
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น