ตอนที่ 147 โจมตีตอบโต้
ในท่ามกลางความตายที่เงียบสงัด
มีแต่เพียงหลิงซิ่วบ่นพึมพำลอยลม
“อาจารย์, ข้าทำได้แล้ว, ข้า
ข้าทำได้...”
หลิงซิ่วเป็นเหมือนท่อนไม้ล้มลงกับพื้นจนฝุ่นกระจาย
ถังเทียนตกใจ และต้องการจะวิ่งไปหาหลิงซิ่ว
แต่ขาของเขาแกว่งและได้แต่ล้มลงกับพื้น ตลอดทั้งร่างของเขารู้สึกว่างเปล่า
ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้สักนิด
หน้าของเขากระแทกกับพื้นจนรู้สึกเจ็บ
บัดซบเอ๊ย!
“เขาไม่เป็นไร! แค่หมดแรง”
เสียงของเมอเรย์ลอยมาจากตรงจุดที่หลิงซิ่วอยู่
ถังเทียนโล่งอก เขาล้มแผละกับพื้น
และคร้านที่จะขยับตัวอีกต่อไป
ชนะหรือ? พวกเขาชนะได้จริงๆ
หน้าของถังเทียนมอมแมมไปด้วยฝุ่น ตัวเขาแนบติดกับพื้นและหัวเราะอย่างโง่เขลา เขาไม่รู้ว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร และไม่รู้จะฉลองชัยชนะที่ยากลำบากอย่างไร
เขาไม่เหลือพลังเรี่ยวแรงอยู่ในตัวเลย
“อี๊ อี๊ ย้า..ย้า!”
เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังอยู่ข้างหู
ถังเทียนลืมตา
หยาหยา?
โดยไม่ทันรู้ตัวหยาหยาวิ่งมาที่หน้าของเขา มันโบกมือน้อยๆ ของมัน ทำเสียงฮัม
ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“หยาหยา.. เจ้าควรจะหัดพูดได้แล้ว....” ถังเทียนพูดพะงาบๆ
ทันใดนั้นหยาหยาคว้าผมของถังเทียน แก้มน้อยๆ ของมันพองขึ้นลง
ตาทั้งคู่ของมันเบิกกว้าง
ร่างของถังเทียนถูกมันดึง
แต่ว่า...
“เจ็บ เจ็บ เจ็บ”
“เจ้าตัวแสบนี่ รีบไปเลยนะ!”
“เจ้าโง่! คอเสื้อ! ดึงคอเสื้อเซ่!”
“ข้าบอกให้ดึงคอเสื้อ...โธ่เว้ย...”
หน้าของถังเทียนซีดขาวเพราะความเจ็บ
หยาหยาดึงผมของเขา ลากถังเทียนถูลู่ถูกังไปที่กู้เสวี่ยช้าช้า
ร่างเล็กแต่ล่ำสันของหยาหยามีพลังมากกว่าถังเทียน หลังจากลากไปชั่วขณะ หยาหยาก็เริ่มวิ่ง
“ยี้ยี้!” “ย้าย้า! “ยี้ยี้!” “ย้าย้า!”
หยาหยาเป็นเหมือนคนแจวเรือกำลังจ้ำฝีพาย ตะโกนเป็นจังหวะขณะวิ่งไปตลอดทาง
มันลากถังเทียนไปทางบ้านที่พังอย่างรวดเร็ว
บนทางที่ผ่านไปมีเศษหินหักแตกกระจายอยู่เป็นแห่งๆ หยาหยากระโดดข้ามได้อย่างสบาย แต่ถังเทียนที่น่าสงสารได้แต่บดทับและกระแทกใส่หินเหล่านั้น
ถังเทียนมองเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนอยู่ต่อหน้าเขา เจ้าตัวแสบนี่
ความเร็วของหยาหยาเร็วขึ้นมาก แต่ก็ไม่ช้ากว่าเมอเรย์เท่าใดนัก
ก่อนที่คนหลายคนจะทันรู้ตัว หยาหยาก็ลากถังเทียนกลับมาแล้ว
“หยาหยา ไปลากศพสองศพกลับมาด้วย” ถังเทียนกระซิบเบาๆ
หยาหยายืนอยู่ต่อหน้าถังเทียน มีสีหน้าสับสนและโคลงหัวน้อยๆ ของมัน
“พวกเขามีแก่นพลังอยู่กับตัว” ถังเทียนทำสีหน้าว่า “เจ้ารู้ว่าข้าหมายถึงอะไร”
ตาของหยหยาเป็นประกายเหมือนดวงดาวทันที ควั่บ มันหายลับตาไป
วินาทีต่อมามันก็มาปรากฏตัวข้างๆร่างหัวซา
มือน้อยๆ ของมันคว้าร่างไว้และแยกขาของมัน
จากนั้นลากร่างหัวซาวิ่งตรงไปหาหัวหรง
หลังจากวิ่งตรงมาที่ข้างตัวหัวหรง
มันใช้มืออีกข้างหนึ่งคว้าร่างหัวหรงและก้มหน้าก้มตาวิ่งกลับมา
ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมา หยาหยาลากศพสองศพซึ่งมีขนาดที่ใหญ่กว่ามันมาก แก้มน้อยๆ ของมันพองขึ้นพองลง
ตาของมันเบิกกว้างเหมือนกับพยายามใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของมัน ร่างน้อยๆ ของมันมีพลังอย่างคาดไม่ถึงทำให้ถังเทียนถึงกับตะลึง
หยาหยาลากหัวซาและหัวหรงกลับมาที่บ้านที่พังด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง จากนั้นร่างน้อยๆ ของมันก็ล้มแผละกับพื้น
นอนหงายมองอากาศ
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
น้ำเสียงของกู้เสวี่ยกังวลและห่วงใยดังมาจากทางด้านศีรษะเขา
กู้เสวี่ยคุกเข่าและโน้มตัวตรวจดูร่างกายของถังเทียน
“ข้าไม่เป็นไร...”
ถังเทียนฝืนหัวเราะ
เขารู้สึกว่ามือของกู้เสวี่ยยกขึ้นฉีกเสื้อผ้าที่รุ่งริ่งของเขาออก
กู้เสวี่ยเห็นหลังของถังเทียนแล้วนางหน้าซีดขาวทันที รีบปิดปากนางเองโดยเร็ว
ตาของนางถึงกับพร่ามัว
ถังเทียนใช้หลังของเขาต้านรับแรงหวดของหัวซาถึงยี่สิบครั้ง
แม้ว่าเขาจะมีเกราะนกยูงคอยปกป้อง แต่เขาก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บได้
หลังของเขาช้ำเป็นจ้ำไปหมดไม่มีส่วนดีเลย มีรูจ้ำเลือดขนาดหัวแม่มือนับไม่ถ้วน บางส่วนจับแข็งเป็นก้อน
รูจ้ำเหล่านั้นเกิดจากหนามแหลมบนกระบอง
“ฮ้า.. ดูน่ากลัวมาก
ความจริงก็ยังไม่เป็นไรหรอก ปัญหานิดเดียว
แค่อาการบาดเจ็บดูน่ากลัวเท่านั้น
หลังจากได้พักสองสามวันเดี๋ยวก็หาย”
ถังเทียนที่นอนเหยียดยาวกับพื้นดูเหมือนจะใจกว้างไม่อนาทรอะไร
กู้เสวี่ยอารมณ์มั่นคง
ความบีบคั้นทรมานในช่วงนี้ทำให้นางเป็นผู้ใหญ่เร็วขึ้น
นางจ้องดูอย่างเข้าใจ เศร้าใจและผิดหวังที่ไม่สามารถช่วยสถานการณ์ปัจจุบันของนางได้
นางล้วงขวดยาออกมาและเริ่มละเลงลงบนหลังถังเทียนอย่างงุ่มง่าม
ถังเทียนรู้สึกว่าหลังของเขาเย็นและสบายมาก
หลังจากต่อสู้ขนานใหญ่
ความตึงเครียดและกังวลก็ได้รับการผ่อนคลายทั้งหมด ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าถาโถมเข้ามาทันที ถังเทียนรู้สึกง่วงจริงๆ
ทันใดนั้น เมอเรย์เงยหน้าจ้องมองดูที่ซึ่งห่างออกไปด้วยสีหน้าที่โกรธ
※※※※
“พวกเขาชนะ....
สองคนนั้นเป็นฝ่ายชนะ....”
ใครบางคนกุมศีรษะและจ้องมองไปที่ลานบ้านอย่างงุนงง หน้าของเขาซีดขาวขณะที่พวกเขาสะดุ้งกลัว
ด้วยเสียงที่ตื่นเต้น
ดังเสียดหูมากกว่าผิดปกติ
แต่ไม่มีใครเปิดปากพูด ทุกคนเอามือกุมศีรษะจ้องมองไปที่ถนนด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
พี่น้องตระกูลหัว..
ถูกสองคนที่มาจากไหนก็ไม่รู้ฆ่าตายอย่างคาดไม่ถึง...
ช่วงเวลาที่แสงสีฟ้าและสีเงินแพรวพราวยังตราตรึงอยู่ในใจพวกเขา
ช่วงเวลารุ่งโรจน์เป็นเหมือนกระบี่ที่เสียบลึกที่หัวใจและทิ้งรอยแผลไว้
แต่,
พวกเขาคือสองพี่น้องตระกูลหัว....
ชื่อที่แพร่หลายจนเป็นตำนาน....
ไม่ว่าจะเป็นความน่านับถือ
ความกลัวหรือความครั่นคร้าม
ไม่มีใครปฏเสธความสามารถของพวกเขาได้
ทุกคนที่ได้ดูเห็นด้วยอย่างไม่ลังเลใจว่า นี่คือการต่อสู้ของผู้ที่มีความสามารถแตกต่างกันมาก ถังเทียนและหลิงซิ่วไม่มีโอกาสชนะ
ไม่มีแม้กระทั่งในทฤษฎี
ความสนใจของทุกคนมีอยู่อย่างเดียวว่าพวกเขาจะสามารถยืนระยะได้นานเพียงไหน
และสองพี่น้องตระกูลหัวจะแสดงฝีมือได้น่าตื่นเต้นเพียงไหน
อย่างไรก็ตาม...ผลของการต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้ทุกคนตะลึงและเงียบกริบ
กู้อู่กระวนกระวาย, เขาพูดเสียงสั่น “เขา... เขาชนะ...”
หน้าของกู้อันสวงตอนนี้ก็ซีดเหมือนคนตาย
แขนขาเย็นเฉียบ เขาไม่ต้องการให้ผู้อาวุโสสูงสุดได้ตัวกู้เสวี่ยไป อย่างไรก็ตาม
ผลที่ปรากฏต่อหน้าเขาทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งขึ้น
การได้ตัวกู้เสวี่ยก็เพียงทำให้ครอบครัวที่หนึ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่ความขัดแย้งระหว่างกู้เสวี่ยและเขาจะไม่สามารถผสานกันได้
กู้เสวี่ยมีผู้ช่วยสองคนช่วยนางอยู่ อย่างนั้นสำหรับเขาและครอบครัวของเขา
จะมีผลออกมาเพียงประการเดียวก็คือตาย
ไม่! ไม่มีทาง! เขาได้ใช้ความพยายามมากมายถึงยี่สิบปีเต็ม
ก่อนที่เขาจะยกสถานะมาได้ถึงขนาดนี้ แล้วเขาจะยอมตายง่ายๆ ได้ยังไง?
ดวงตาของกู้อันสวงมองดูคล้ายคนเสียสติ เขากัดฟันและประกาศ “รวมตัวทุกคน
ฉวยโอกาสกำจัดพวกมันเดี๋ยวนี้!”
กู้อู่ตกใจกับคำพูดของกู้อันสวง “ท่านบ้าไปแล้ว!
พวกมันยังกำจัดได้กระทั่งสองพี่น้องตระกูลหัว....”
“หุบปาก!”
กู้อันสวงตวาดด้วยความโมโห
เขาเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่จนตรอก
“รอจนพวกมันฟื้นพลัง อย่างนั้นเราคงได้เสร็จพวกมันจริงๆ! กู้เสวี่ยจะยอมละเว้นเจ้าไหม?”
หน้าของกู้อู่ซีดขาวทันที
“ไปเรียกทุกคนรวมตัว!” กู้อันสวงเปิดเผยเจตนาร้ายของตนทันที
“พวกมันหมดเรี่ยวแรงจากการต่อสู้กับพี่น้องตระกูลหัว! นี่คือเวลาที่พวกมันอ่อนแรงที่สุด, ต้าเว่ย, เจ้าคอยพัวพันเมอเรย์ไว้ ถ้าพวกเราไม่ฆ่าพวกมันในวันนี้ เราจะพากันตายทั้งหมด! ข้าจะไปหาผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลก่อน, ถ้าเขาไม่ต้องการตาย เขาต้องรวมกำลังกับพวกเรา!”
กู้อู่และต้าเว่ยหน้าซีดขาว
“เร็วเข้าเซ่!”
กู้อันสวงกระชากเสียงใส่ทั้งสองคน
พวกเขาทั้งสองคนค่อยเรียกความรู้สึกกลับคืนมา
และรีบลงไปทันที
ในไม่ช้าคนของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลก็มาสมทบด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้เขายังรู้ตัวว่าได้ถลำตัวกระทำผิดต่อกู้เสวี่ยและหลิงซิ่วไปแล้ว ถ้าเขาไม่ฉวยโอกาสจัดการพวกเขาในครั้งนี้ เขาและตระกูลของเขาจะต้องตายแน่นอน
ในเมืองเฮยซานไม่มีใครสามารถต้านทานถังเทียนกับหลิงซิ่วได้
กู้อันสวงและผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลร่วมกำลังกันและนักสู้หลายคนเริ่มปรากฏตัวให้เห็นที่ท้ายถนน แน่นขนัดเหมือนสายน้ำไหลบ่า
นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวของพวกเขา โอกาสในการอยู่รอด!
※※※※
เมอเรย์มองเห็นขบวนนักสู้ปรากฏตัวอยู่ที่ท้ายถนน
สีหน้าเขาเปลี่ยนทันที
เขาเข้าใจผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลและกู้อันสวงแทบจะทันที
พวกเขาต้องการพลิกสถานการณ์โดยฉวยโอกาสเอาเปรียบถังเทียนและหลิงซิ่วในช่วงที่พวกเขาอ่อนแอที่สุด!
บัดซบ!
เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยสองสามคน
คนเหล่านั้นทุกคนเป็นยอดฝีมือในสังกัดของกู้อันสวงและผู้อาวุโสสูงสุด
พวกเขาวิ่งมาตามถนนอย่างบ้าคลั่ง
แต่ละคนมีสีหน้าอำมหิต เป็นการร่วมมือของทั้งสองกลุ่มอย่างเต็มรูปแบบ
หน้าของกู้เสวี่ยซีดขาวทันที นางสามารถมองเห็นความมุ่งมั่นของศัตรูได้ นี่คือการโจมตีครั้งสุดท้ายของพวกเขา
นางไม่ได้สูญเสียความเยือกเย็นและตะโกนทันที “ลุงเมอเรย์
พาพวกเขาหนีไป!”
เมอเรย์ยกมือคัดค้านทันที “แต่....”
“ดูพวกนักสู้เหล่านั้นที่กำลังใกล้เข้ามาสิ หน้าของพวกเขาบ้าคลั่งและโหดร้าย คุณหนู คนพวกนี้บ้าไปแล้ว!
ถ้าพวกเขาไม่ได้ทำร้าย
พวกเขาจะถือโอกาสระบายความโกรธกับคุณหนู...”
“ลุงเมอเรย์!” กู้เสวี่ยตวาดสุดเสียงของนาง
นัยน์ตาคุณหนูเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่มีอะไรโยกคลอนได้
เมอเรย์กัดฟันและพุ่งตรงไปที่ถังเทียน
กู้เสวี่ยถอนหายใจโล่งอก
นางกังวลที่สุดว่าลุงเมอเรย์จะลังเลในช่วงเวลาอย่างนี้
สายตานางจับจ้องดูถังเทียนที่นอนเหยียดยาวบนพื้น หัวใจนางพลันอบอุ่นปราศจากความกลัวโดยไม่รู้ตัวมีแต่ความสงบเท่านั้น
มิใช่ว่านางไม่รู้ว่าคนพวกนี้บ้าคลั่งไปแล้ว ถ้านางตกลงไปในเงื้อมมือคนพวกนี้ นางจะต้องทุกข์ทรมาน แต่รอยยิ้มที่สงบปรากฏอยู่บนใบหน้าของนาง
ข้าหวังจริงๆ
ว่าเจ้าจะรอดชีวิตอยู่ได้....
หนุ่มชาวฟ้า,
เจ้าจะมาตายในที่นี้ได้ยังไง?
เจ้ามีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ เจ้าจะต้องไปตามหาเชียนฮุ่ยของเจ้า.....
น่าเสียดาย
เจ้าจะไม่ได้เห็นข้ากระตุ้นพลังสายเลือดของข้าเสียแล้ว...
ถังเทียน,
ขอบคุณเจ้าจริงๆ
เสียงกระซิบแผ่วเบาลอยลมผ่านเข้ามาในหัวใจของกู้เสวี่ย
เมอเรย์วิ่งไปอยู่ข้างถังเทียนดุจสายลม ทันทีที่เขาเอื้อมมือไปแตะต้องร่างของถังเทียน
จู่ๆ ก็มีเสียงดังก้องในหูเขาขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างขนาดมหึมาปรากฏอยู่ด้านหลังเขาบดบังแสงอาทิตย์ไว้
“อย่าแตะต้องเขา”
เมอเรย์เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน นั่นคือขุนพลวิญญาณของถังเทียน
ด้านหน้าของเมอเรย์มีเงาดำทะมึนครอบคลุมตัวเขา ร่างของเขาแข็งค้างทันที เขาหันศีรษะไปมองอย่างตกตะลึง
ร่างบรอนซ์โบราณขนาดใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ไว้ โลหะบรอนซ์เย็นเยียบเป็นเงางามนำเอาความหนาวเหน็บและควันจากสงครามในยุคเก่าก่อนผ่านกาลนานปีและได้ย่างเท้าลงบนแผ่นดินนี้
คลิ้ง แคล้ง คลิ้ง
แคล้ง
ขาโลหะหนักของเสือเขี้ยวดาบย่ำลงบนพื้น
เหมือนกลองศึกโบราณถูกย่ำช้าๆ
เขาเดินตรงไปตามเส้นทางที่หลิงซิ่วถูกลากกลับมา
2 ความคิดเห็น:
ลุงปิงจะได้ออกตัวเสียที
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น