ตอนที่ 7-6 นักรบระดับเทพ
มีอสูรเวทอยู่ทั้งภายในและภายนอกเมืองเฟนไลจำนวนนับไม่ถ้วน เมืองนี้เพิ่งจะฉลองวันศักราชยูลานครบ 10000 ปี
ในตอนนี้กลับกลายเป็นวันสิ้นโลกไปได้
ความตายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และพลเมืองของเมืองเฟนไลเมืองหลวงศักดิ์ลดลงในระดับที่น่ากลัว
ทั้งคนระดับสูงของโบสถ์เจิดจรัสและประชาชนทั่วไปต่างก็หนีเอาชีวิตรอดจากอสูรเวทเหมือนกัน
“เร็วเข้า
เร็วเข้า อย่าช้า!”
ดยุคโบนัลท์คำรามด้วยความโกรธ ตอนนี้ดยุคโบนัลท์ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องพระราชาของเขา เขาเพียงแต่พาครอบครัวของเขาออกไปจากคฤหาสน์ดยุคของเขา พร้อมกับองครักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุด
หนีออกไปนอกเมืองทันที สิ่งเดียวที่เขามีติดตัวก็คือการ์ดเครดิตเวทไม่กี่ใบ
พวกเขาต้องรีบหนีเพื่อเอาชีวิตให้รอด!
“ท่านพ่อ,
ไปช่วยเนสซาด้วยเถอะ” อัลเบิร์ตบุตรชายของดยุคโบนัลท์ขอร้อง
“เจ้าบัดซบ, ถ้าเจ้าต้องการเอาชีวิตรอด,
อย่างนั้นก็ตามข้ามา!” ดยุคโบนัลท์คำรามอย่างเดือดดาล
“ไปกันได้แล้ว”
ดยุคโบนัลท์ไม่สนใจบุตรชายของเขาต่อไป และพาภรรยาและลูกๆ
คนอื่นออกไปทันที สำหรับอัลเบิร์ต
เขายังลังเลใจอยู่ตรงนั้นชั่วขณะ
จากนั้นกัดฟันชักดาบแล้ววิ่งไปอีกทางหนึ่ง
“ไอ้ลูกเนรคุณ!”
ดยุคโบนัลท์สบถ แต่ในใจนั้น
เขารู้สึกเสียใจมาก
แต่ดยุคโบนัลท์รู้ดีว่าในตอนนี้
เมืองเฟนไลมีอสูรเวทอยู่เต็มไปหมด
อสูรเวทระดับเจ็ดอาจปรากฏตัวได้ทุกเมื่อ
และอสูรเวทระดับแปดและระดับเก้าหาพบได้ไม่ยาก ตอนนี้ ถ้าพวกเขาไม่รีบหนีออกจากเมืองทันที
พวกเขาจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต
“ลูกพ่อ,
ยกโทษให้พ่อด้วย” ดยุคโบนัลท์รำพึงกับตนเอง ขณะเดียวกัน เขาตะโกนสั่งผู้คุ้มกันของเขา
“เร็วเข้า, ออกจากเมืองเฟนไล!
เมื่อเราไปถึงที่ปลอดภัย ทุกคนจะได้รับรางวัล 30,000 เหรียญทอง!” ในเวลาอย่างนี้ดยุคโบนัลท์ไม่กล้าตระหนี่อีกแล้ว
“ขอรับ, ท่านดยุค!” คนคุ้มกันภัยดีใจ 30,000 เหรียญทองมากพอให้เขาได้ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ
แต่หลังจากเดินทางไปได้สองหรือสามกิโลเมตร
พวกเขาเผชิญหน้าและฆ่าอสูรเวทระดับเจ็ดไปสองตัว อสูรเวทระดับหกห้าตัว
และอสูรเวทระดับห้าอีกสามตัว
“โกรวววว!”
หมีดำสูงสิบเมตรเริ่มวิ่งเข้าจู่โจมพวกเขาด้วยความเร็วสูงมาแต่ไกล
แต่ละก้าวล้วนทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน
เมื่อเห็นหมีดำแล้ว หน้าของคนคุ้มกันภัยซีดเผือด และดยุคโบนัลท์ตะโกนลั่น
“รีบหนีเร็ว หมีลายม่วง!
เร็วเข้า!”
หมีลายม่วงตัวเต็มวัยโดยทั่วไปเป็นอสูรเวทระดับเก้า
หมีลายม่วงระดับเซียนที่ลินลี่ย์เคยเผชิญหน้าในหุบเขาหมอกในเทือกเขาอสูรเวทนับเป็นตัวแทนที่แข็งแกร่งของมันได้
“โกรววววว!”
เห็นได้ชัดว่าหมีลายม่วงจับตากลุ่มของดยุคโบนัลท์อยู่
และมันวิ่งเข้าหากลุ่มพวกเขาทำให้ทั้งแผ่นดินและหัวใจของดยุคโบนัลท์สั่นสะท้าน
หมีลายม่วงวิ่งตรงมาทางด้านเขาอย่างมิต้องสงสัย ทุกอย่างที่ขวางทางมันถูกชนกระจัดกระจาย
“บึ้ม!”
ด้วยคลื่นพลังแขนของมัน อาคารสูงสามชั้นพังกระจาย
เศษซากหักพังกระเด็นโปรยใส่กลุ่มของดยุคโบนัลท์
“โครม!”
ซากหักพังชิ้นหนึ่งขนาดครึ่งหนึ่งของตัวมนุษย์กระเด็นลงถูกธิดาคนหนึ่งของดยุคโบนัลท์ ศีรษะของธิดาเขากลายเป็นเนื้อเลอะเลือน
ขณะที่เลือดและสมองกระจายเปรอะตามหินและพื้น
ดยุคโบนัลท์และคนของเขาไม่มีโอกาสโกรธหรือเสียใจ เพราะทันทีหลังจากนั้น
หมีลายม่วงใช้อุ้งเท้าตะปบใส่คนคุ้มกัน
เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ต่างจากกองเนื้อเพิ่มขึ้นมา
“อ๊า!”
ดยุคโบนัลท์ตระหนักได้ทันทีว่าอุ้งเท้ายักษ์กำลังเหยียบลงมาที่เขา เขากลิ้งหลบอย่างเร่งร้อน
“บึ้ม!”
หมีลายม่วงเหยียบดยุคโบนัลท์ฆ่าเขาตายคาที่
ถ้าคนอ่อนแออย่างดยุคโบนัลท์สามารถหลบหมีลายม่วงได้พ้น
อย่างนั้นหมีลายม่วงคงไม่มีค่าไม่มีคุณสมบัติพอได้เป็นอสูรเวทระดับเก้าแน่
“โกรววววว!”
หมีลายม่วงเชิดหัวคำรามทุบอกมันอย่างตื่นเต้น
ก่อนจะหันหัวไปทางอื่นเพื่อล่าเหยื่อเพิ่ม
…….
บดทับจนตาย กวาดจนตาย ตบจนตาย กัดจนตาย
นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปอย่างมาก
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นขุนนาง คฤหบดีหรือสามัญชน ตอนนี้ในเมืองเฟนไลชีวิตเป็นสิ่งที่เปราะบางมาก
และเพราะเหตุนั้นทั้งขุนนางและสามัญชนต่างก็ตายได้พอกัน
นครเฟนไลเป็นพื้นที่ประสบหายนะอย่างแท้จริง
และสถานที่มีการประหัตประหารรุนแรงที่สุด...ก็คือบริเวณโดยรอบโบสถ์เจิดจรัส
บนลานขนาดใหญ่หน้าโบสถ์เจิดจรัส
อัศวินผู้แข็งแกร่งของโบสถ์เจิดจรัส,
มือปราบของศาลศาสนจักรกำลังต่อสู้ติดพันกับอสูรเวทอย่างดุเดือด การป้องกันที่นี่เหนียวแน่นที่สุด
ดังนั้นจึงมีอสูรเวทมาชุมนุมที่นี่มากเช่นกัน
ลินลี่ย์กับบีบีอยู่ในมุมลานจตุรัสด้านหนึ่งของโบสถ์เจิดจรัส แต่ทั้งสองยังปลอดภัยอยู่ได้
ทั้งนี้เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขา
พวกเขาไม่มีอะไรต้องกลัว ตราบเท่าที่นักรบระดับเซียนไม่เข้ามาทำร้ายพวกเขา
และในตอนนี้นักรบระดับเซียนทั้งหมดอยู่ในท้องฟ้าเหนือโบสถ์เจิดจรัส
“เจ้านาย,
มีอสูรเวทระดับเซียนมากมายเหลือเกิน”
เสียงของบีบีดังขึ้นในใจของลินลี่ย์
ลินลี่ย์แหงนมองอสูรเวทระดับเซียนในอากาศเหนือโบสถ์เจิดจรัสอีกครั้ง ลินลี่ย์คาดไม่ถึงเลยว่าช่วงเวลาที่วิกฤติอย่างนี้
ศาสนจักรเจิดจรัสยังสามารถระดมนักรบระดับเซียนในเมืองเฟนไลมาได้ถึงเจ็ดคน
“นักสู้ระดับเซียนซึ่งศาสนจักรเจิดจรัสยอมรับอย่างเป็นทางการสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว
ความจริงมีนักสู้ผู้ทรงพลังซ่อนตัวอยู่หลายคน
นี่แค่เพียงนครหลวงศักดิ์สิทธิ์
ก็มีนักสู้ระดับเซียนถึงเจ็ดคนแล้ว
มีแนวโน้มว่าจำนวนรวมของนักสู้ระดับเซียนภายในสหภาพศักดิ์สิทธิ์มีการจัดการเป็นอย่างดี
ในที่สุดลินลี่ย์มีความคิดว่านี่ดูเหมือนจะเป็นพลังระดับสูงสุดภายในแผ่นดินแล้ว
รังสีของนักสู้ระดับเซียนก็เพียงพอทำให้เกิดความกลัวได้ นักสู้ชาวมนุษย์ระดับเซียนทั้งเจ็ดคนนั้นที่อยู่ในอากาศนั้น แต่ละคนก็สามารถฆ่าลินลี่ย์ได้ง่ายดาย ลินลี่ย์มีค่าไม่ต่างอะไรกับมด แต่ตอนนี้
มนุษย์นักสู้ระดับเซียนทั้งเจ็ดเหล่านั้นตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
อสูรวิเศษตามธรรมดาก็มีพลังมากกว่ามนุษย์อยู่แล้ว
สำหรับอสูรเวททั่วไป ทันทีที่ขึ้นไปถึงระดับเซียน แม้ว่าจะเป็นอสูรเวทระดับเซียนขั้นเริ่มต้น
นักรบชาวมนุษย์ระดับเซียนขั้นกลางจึงจะสามารถสู้กับพวกมันได้ สำหรับอสูรเวทที่ทรงพลังอยู่แล้วซึ่งบรรลุขอบเขตระดับเซียน
อย่างเช่นมังกรเกราะหนาม, มังกรอำมหิต หรือจักรพรรดิอสรพิษเก้าหัว ทันทีที่เข้าถึงระดับเซียน
พวกมันสามารถรับมือนักสู้ชาวมนุษย์ระดับเซียนขั้นสูงได้
และในตอนนี้
อสูรเวทระดับเซียนเกินกว่าสิบตัวยืนอยู่ในอากาศ
และในบรรดาพวกมันก็มีราชสีห์ตาโลหิต, มังกรอำมหิต, วานรขนทองตาม่วงและอสูรเวทระดับเซียนอื่นๆ
ที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ
แต่ละตัวนั้นสามารถต่อสู้กับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้ตัวต่อตัวเลยทีเดียว
สิ่งที่น่าทึ่งมากยิ่งกว่าก็คือผู้ที่อยู่ต่อหน้าอสูรเวทเหล่านี้เป็นบุรุษหนุ่มผู้มีกลิ่นอายชั่วร้ายคนหนึ่ง
“เจ้าเป็นมนุษย์
หรือว่าเป็น...?” ไฮเดนส์จ้องมองบุรุษหนุ่มผู้โหดเหี้ยม
บุรุษหนุ่มผู้อำมหิตจ้องมองไฮเดนส์อย่างเย็นชา “มนุษย์น่ะหรือ? ข้าจะเป็นมนุษย์ที่น่าสมเพชได้อย่างไร?
มนุษย์ไม่มีอะไรมากไปกว่าอาหารของอสูรวิเศษของเรา” คำพูดของชายหนุ่มผู้โหดเหี้ยมเต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างแท้จริง แม้เมื่อเขามองดูไฮเดนส์
ก็ไม่มีความรู้สึกอะไรนอกจากดูถูก
“ฮ่าฮ่า,
ถ้าราชาผู้ยิ่งใหญ่ของเราต้องการจะฆ่าเจ้า มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
เขาเห็นแก่หน้าพวกเจ้า พวกเจ้ายอมรับเสียเป็นดีที่สุด ฮ่าฮ่า...” วานรขนทองตาม่วงตะคอกและหัวเราะลั่น
สีหน้าของไฮเดนส์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
เขาหันหน้าไปทางนักสู้ระดับเซียนทั้งหกคนด้านหลังของเขา
อสูรเวทตนหนึ่งที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้
จะมีพลังขนาดไหน?
“เป็นไปได้ไหมว่านักรบชั้นเทพอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้นในทวีปยูลานแล้ว?
เป็นผู้อมตะหรือนี่?” ไฮเดนส์รู้สึกว่าใจตกวูบ
ในอดีต มีเพียงสามคนที่ดำรงอยู่ในระดับพลังที่สูงสุดในทวีปยูลาน
เทพสงครามแห่งจักรวรรดิโอเบรียน, นักพรตวิเศษแห่งจักรวรรดิยูลาน
และราชันย์ป่าอันธกาล
ไฮเดนส์คาดไม่ถึงเลยว่าเทือกเขาอสูรเวทจะเกิดมีราชาเป็นของตนเอง
เขาสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้เช่นกัน
“บรรลุจากขอบเขตชั้นเซียนถึงระดับชั้นเทพ อสูรวิเศษระดับเทพ นี่มัน....”
ไฮเดนส์รู้ดีว่าอสูรวิเศษระดับเทพนั้นน่ากลัวเพียงไหน สำหรับราชาผู้นี้ การฆ่ากันของนักสู้ชาวมนุษย์ระดับเซียนทั้งเจ็ดคนนี้เหมือนกับการละเล่นของเด็ก
ไฮเดนส์ตัดสินใจทันที
พวกเขาต้องหนี
ตอนนี้ การรักษาพลังอำนาจที่ยังเหลืออยู่ไว้ให้กับศาสนจักรเจิดจรัสสำคัญที่สุด
ถ้าต้องสูญเสียนักสู้ระดับเซียนทั้งเจ็ดคนไป
อำนาจของศาสนจักรเจิดจรัสจะลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
และสถานะของศาสนจักรก็ตกลงเช่นกัน
“อสูรวิเศษระดับเทพหรือ?
อสูรวิเศษระดับเทพปรากฏออกมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ยได้ยังไงกัน?” ไฮเดนส์สบถกับตัวเอง
เขาไม่รู้เลยว่าอสูรวิเศษระดับเทพบังเอิญถูกลินลี่ย์ปล่อยออกมาจากในหุบเขาสายหมอก และขณะที่เรื่องเกิดขึ้นนี้ อสูรวิเศษระดับเทพได้วางแผนการนี้มานานเกินกว่าครึ่งปีแล้ว เขาช่วยลินลี่ย์โดยมิได้ตั้งใจ
โชคชะตาเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างแท้จริง
“ราชาอสูรวิเศษผู้ทรงอานุภาพ ข้าคือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ไฮเดนส์ ข้าขอถาม
ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร?”
ไฮเดนส์ตัดสินใจยอมรับ
บุรุษหนุ่มผู้อำมหิตยิ้มและพยักหน้า “เจ้าชื่อไฮเดนส์ใช่ไหม? ดีมาก สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ
พาคนของเจ้าหนีขึ้นไปทางเหนือ เมื่อถึงวันที่เราเหล่าอสูรวิเศษรู้สึกว่ามีเขตแดนเพียงพอแล้ว พวกเขาจะหยุดขยายดินแดน”
หัวใจไฮเดนส์เต็มไปด้วยความโกรธ
นี่มันข้อเสนออะไรกัน?
เมื่อพวกมันรู้สึกว่าพวกมันมีเขตแดนพอแล้ว พวกมันจึงจะหยุดขยายอาณาเขตหรือ?
“อืม..
ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่ชิงอาณาเขตของสหภาพศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าทั้งหมดแน่
อย่างมากก็แค่ครึ่งเดียว.. อย่างตอนนี้ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเงาก็ถูกเราทำลายไปด้วยเช่นกัน” บุรุษหนุ่มผู้โหดเหี้ยมพูดตามปกติ
“เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเงาน่ะหรือ?”
ไฮเดนส์และนักสู้ระดับเซียนอีกหกคนตกตะลึงกันหมด
อาจเป็นได้ว่าเทือกเขาอสูรเวทของบรรดาอสูรเวทได้เปิดฉากโจมตีทั้งศาสนจักรเจิดจรัสและศาสนาเงาพร้อมกัน? นี่มันบ้าเกินไปแล้ว! พวกเขารู้ว่าอสูรเวทในเทือกเขาอสูรเวทมีเป็นจำนวนมาก
และยังมีอสูรเวทระดับเซียนไม่กี่ตัวอยู่ที่นั่นเช่นกัน แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะมีจำนวนเพียงพอเปิดฉากโจมตีสองมหาอำนาจพร้อมกัน
“พวกเจ้ารีบไปเดี๋ยวนี้
โอว และยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าสามารถบอกพวกเจ้าได้ ข้าชื่อว่าไดลิน” บุรุษหนุ่มผู้โหดเหี้ยมพูดอย่างธรรมดา
เมื่อได้ยินคำสนทนามาถึงจุดสำคัญ ลินลี่ย์ตะลึงโดยสิ้นเชิง
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มอสูรเวทนี้ไม่ใช่เพิ่งโจมตีเมืองเฟนไล
มันโจมตีทั้งสหภาพศักดิ์สิทธิ์และพันธมิตรมืด
ประเมินจากคำพูดของบุรุษหนุ่มผู้ชั่วร้ายนี้
พวกเขาตั้งใจจะชิงดินแดนของสหภาพศักดิ์สิทธิ์และพันธมิตรมืดอย่างละครึ่ง
“อย่างนั้นดูเหมือนว่าสิบสองอาณาจักรและสามสิบสองแว่นแคว้นทางทิศตะวันตกของเทือกเขาอสูรเวทจะต้องประสบภัยพิบัติ”
ลินลี่ย์รู้สึกหวาดหวั่น
“ราชาแห่งเทือกเขาอสูรเวท,
ไดลิน?”
ลินลี่ย์ประทับชื่อไดลินนี้ไว้ในความทรงจำ หลังจากฟังอยู่เงียบๆ ชั่วขณะ
ลินลี่ย์ลอบเดินผ่านฝูงชนและแยกตัวออกไปมุ่งหน้าไปยังที่พักของเขา ทั้งนี้เพราะเขายังมีของหลายอย่างทิ้งไว้ที่คฤหาสน์ของเขา
“ฮู้ววววว!”
หมาป่าร่างแข็งแรงทรงพลังตัวหนึ่งสังเกตเห็นลินลี่ย์ และมันพุ่งเข้าหาเขาทันที
“ควั่บ!”
ประกายแสงสีม่วงวูบขึ้น
ลินลี่ย์ไม่ได้ชะงักหรือช้าลง
แต่หมาป่าที่แข็งแรงตัวนั้นขาดสองท่อนทันที บนพื้นเปรอะไปด้วยเลือด
บนถนนกลับคฤหาสน์ของเขา
ลินลี่ย์เห็นถนนที่กลายเป็นเส้นทางสายมรณะและทำลายล้าง มีอสูรเวทอยู่ทุกที่
แต่เวลานั้นลินลี่ย์มาถึงสี่แยกตัดกันระหว่างถนนฟราแกรนท์
พาวิลเลี่ยนและถนนกรีนลีฟ
ลินลี่ย์เห็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมีคนราวสามสิบคน ไม่ว่าที่ใดที่กองกำลังนี้ผ่านไป
อสูรเวทจะไม่สามารถขัดขวางพวกเขาได้
“พี่ใหญ่เยล?”
ทันใดนั้นลินลี่ย์เห็นว่าเยลถูกมัดอยู่บนหลังม้าศึกที่แข็งแรง
“พี่รองและน้องสี่ก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน
เพียงแต่พวกเขากำลังขี่ม้า”
“พ่อ,
ปล่อยข้านะ, ปล่อยข้า!
ปล่อยให้ข้าไปช่วยน้องสาม!
โบสถ์เจิดจรัสล่มสลายไปแล้ว
นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะช่วยเขาได้!” เยลที่โดนมัดยังคงตะโกนลั่นอยู่บนหลังม้าศึก
คนที่บังคับม้าศึกตัวจริงก็คือบุรุษผมแดงผู้มีความแข็งแกร่งอย่างมาก
ความรู้สึกที่ลินลี่ย์มีต่อเขาก็คือ
เขามิได้อ่อนแอกว่าไกเซอร์เลย
“หุบปากเจ้าซะ”
ในกลางขบวนคาราวานเป็นบุรุษร่างอ้วนใหญ่กวัดแกว่งขวานศึกเล่มใหญ่อยู่ในมือ
มันถูกกวัดแกว่งจนดูเป็นภาพเลือนรางในมือเขา เห็นได้ชัดว่ามีพลังมหาศาล
“พ่อ?
นั่นคือประธานหอการค้าดอว์สันหรือนี่?”
ลินลี่ย์แอบทึ่ง
เพียงก้าวกระโดดไม่กี่ก้าว
ลินลี่ย์ก็ไปถึงขบวนคาราวานในวินาทีเดียว
“พี่ใหญ่เยล,
เรย์โนลด์, จอร์จ!” ลินลี่ย์ตะโกนเรียก
เยลยังตะโกนโวยวายอยู่ถึงกับสะดุ้งและหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ เรย์โนลด์และจอร์จที่ขี่ม้าเงียบๆตลอดหันมาดูเช่นกัน เมื่อเห็นลินลี่ย์ร่างเปรอะเปื้อนเลือด และบีบีหนูเงาน้อยที่คุ้นเคยตัวนั้นบนไหล่เขา นัยน์ของคนทั้งสามแดงทันที
“น้องสาม”
ทั้งสามคนร้องออกมาด้วยความยินดีพร้อมกัน
1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณครับ ที่ทำงานคุณภาพดีๆ มาให้ได้งานกัน
แสดงความคิดเห็น