วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Panlong ตอนที่ 7-25 ออกเดินทาง




ตอนที่  7-25  ออกเดินทาง
ที่ชายแดนของอาณาจักรเฮสมีกองทหารจำนวนเกินกว่าแปดแสนนาย  บนพื้นที่กว้างใหญ่ จุดตั้งค่ายทหารเรียงรายไปตามแนวเทือกเขาดูไม่มีที่สิ้นสุด    นี่คือกองทัพขนาดมหึมา อย่างไรก็ตามก็ยังดูเป็นระบบ

แต่ข้างหน้าค่ายทหารมีพื้นที่ว่างกว้างใหญ่
 “นี่, ลุงแรนด์ ถ้ากองทัพอสูรเวทบุกโจมตี เราจะต้านทานไหวไหม?”  บุรุษหนุ่มสวมชุดเกราะอายุราว 16-17 ปีกระซิบถาม
ข้างๆ เขาเป็นบุรุษร่างกำยำไว้เครา  เขาเปิดฝาขวดเหล้าขวดเล็กออกและดื่มอึกหนึ่ง จากนั้นหัวเราะลั่น  “สบายใจได้ นอกจากกองทัพชั้นยอดจากอาณาจักรเฮสของเราแล้ว ทางศาสนจักรเจิดจรัสยังส่งอัศวินของวิหารมาร่วมด้วย อีกทั้งยังมีจอมเวทอยู่อีกหลายคน ไม่ต้องห่วง คาถาของเหล่าจอมเวททรงพลังกันทั้งนั้น”
 “ดี” นี่คือศึกแรกของเด็กหนุ่ม  เมื่อได้ยินคำพูดของทหารที่เคยผ่านศึกมาก่อน เขาค่อยรู้สึกมั่นคง
แต่บุรุษร่างกำยำผู้นั้นลอบถอนหายใจกับตัวเอง  เพราะความจริงเขาเห็นมาแล้วว่าอสูรเวทนั้นร้ายกาจทรงพลังขนาดไหน ถ้าอสูรเวทเป็นพันเป็นหมื่นบุกโจมตีพวกเขา มีวิธีเดียวที่มนุษยชาติจะรอดอยู่ได้ก็คือยอมสละเลือด
 “กรรรร!
ทันใดนนั้นเสียงคำรามต่ำได้ยินมาแต่ไกล
 “ลุงแรนด์ ข้าคิดว่าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง”  บุรุษหนุ่มตื่นตัวขึ้น
 “ไม่เป็นไร” แรนด์พูดเสียงดัง  แต่ทันใดนั้นแรนด์หรี่ตามองทางทิศใต้ บนที่ราบแห้งแล้งว่างเปล่ากลุ่มจุดดำหนาแน่นนับไม่ถ้วนสามารถมองเห็นได้
 “อสูรเวท, เป็นฝูงอสูรเวท!
จากนั้นค่ายทหารแต่ละส่วนมีเสียงร้องเตือนภัย  ค่ายทหารทั้งหมดเริ่มมีความเคลื่อนไหว ตั้งแต่แม่ทัพที่มีตำแหน่งสูงที่สุดจนไปถึงทหารระดับผู้น้อยที่สุด  ทุกคนเตรียมพร้อมระมัดระวัง
กำลังพลทั้งแปดแสนเตรียมพร้อมทำศึก
 “มาก มากมายเหลือเกิน”  ทหารฝ่ายมนุษย์ เมื่อเห็นฝูงอสูรเวทในระยะไกล อดสูดลมหายใจหนาวเหน็บมิได้  มองดูจากระยะไกลกระทิงเหล็กดูดเลือดนับไม่ถ้วนก่อตั้งแถวขบวนไม่ขาดสาย มัดกล้ามเนื้อของพวกมันชัดเจนขณะพุ่งเข้าใส่มนุษย์ด้วยความเร็วสูง
ประมาณว่ามีกระทิงเหล็กดูดเลือดจำนวนเกินกว่าหมื่นตัว
 “ครืนน  ครืนนน” กระทิงเหล็กดูดเลือดพุ่งโจมตีเข้ามาเป็นพายุบุแคมทำให้พื้นทั้งหมดสั่นสะเทือน  ตาของกระทิงเหล็กแต่ละตัวเปลี่ยนเป็นสีแดง ร่างของพวกมันกำลังปลดปล่อยเปลวเพลิง พวกมันมองดูเหมือนทะเลเพลิง
โลกสั่นสะเทือนเลือนลั่น  ทะเลเพลิงยาวไม่รู้จักหมดสิ้น
 “ฟุ่บ!  “ฟุ่บ!  “ฟุ่บ!
ทันใดนั้นท้องฟ้าเต็มไปด้วยแหลนใสหลากสีสัน  แหลนเหล่านี้ร่วงลงใส่กระทิงเหล็กดูดเลือดราวกับห่าฝน
 “ท่านจอมเวท”  ทหารหลายคนดีใจ
 “ซี่....” หลาวทุกเล่มมีพลังน่าประหลาด มันสร้างขึ้นจากเวทธาตุน้ำบริสุทธิ์ จึงมีอำนาจต่อต้านอสูรธาตุไฟได้เต็มที่
หลาวน้ำแข็งทั้งหมดเหล่านี้พุ่งลงมาบนพื้นหรือไม่ก็บนตัวกระทิงเหล็ก  เสียงดังซี่... ขณะที่หลาวน้ำแข็งแทงเข้าไปยังอวัยวะภายในของกระทิงเหล็ก  พวกมันร้องลั่นด้วยความโกรธ  วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มลง
กระทิงเหล็กดูดเลือดตายตัวแล้วตัวเล่า  แต่กระทิงเหล็กส่วนใหญ่ยังคงพุ่งโจมตีข้างหน้า  แม้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บบ้าง  แต่พวกมันมีแต่โกรธเกรี้ยวมากขึ้น
บนพื้นเป็นทางเลือดยาว
 “มอววววว” กระทิงเหล็กดูดเลือดคำรามด้วยความโกรธ
 “พลธนู! เตรียมพร้อม....ยิง!  พวกทหารตะโกนลั่น
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยลูกธนูนับไม่ถ้วน  กลุ่มของลูกธนูหนาแน่นพุ่งโค้งลงจากท้องฟ้าเป็นคลื่นหนาแน่น
ลูกธนูที่แหลมคมลูกแล้วลูกเล่าปะทะใส่กระทิงเหล็ก  แต่หนอกกล้ามเนื้อของพวกมันแข็งแรงส่งผลให้ลูกธนูเฉียดหักเหไป
กลยุทธที่ทหารชาวมนุษย์ใช้กับทหารมนุษย์อีกฝ่ายหนึ่ง เอามาใช้กับอสูรเวทไม่ได้ผล
 “ตั้งขบวนพลหลาว!
ขบวนนักรบสวมเกราะหนักร่างกำยำก้าวเดินขึ้นมาข้างหน้า  ทุกคนถือหลาวเหล็ก  กระบวนป้องกันที่น่าทึ่งก่อตั้งขึ้น พวกเขารอคอยการบุกโจมตีของกระทิงเหล็กอย่างเงียบงัน “มอววววว” กระทิงเหล็กดูดเลือดบุกตะลุยเข้ามาทันที
หลาวเหล็กนับไม่ถ้วนตั้งรับรอการโจมตีของกระทิงเหล็ก  แต่กระทิงเหล็กดูดเลือดเพียงแต่ย่อเขาของพวกมันลงต่ำและยังคงบุกตะลุยขึ้นหน้า เหมือนกระแสน้ำบ่า  พวกมันปะทะเข้ากับหลาวอย่างรุนแรง
 “สวบ!!!” กระทิงเหล็กถูกหลาวเหล็กเหล่านั้นเสียบ
คนที่สามารถควงหลาวเหล็กได้ทุกคนต้องเป็นนักรบระดับสามเป็นอย่างน้อย  นอกจากนี้พลหลาวเหล็กทุกคนหนุนเสริมกันและกันก่อตั้งขบวนหลาวและมีการยืมพลังกันเท่าที่จำเป็น
กระทิงเหล็กดูดเลือดระลอกแรกยังไม่สามารถทำลายแนวต้านทานได้  แต่ด้านหลังของพวกมันยังคงมีกระทิงเหล็กบุกตะลุยโจมตีหนักกว่าเดิม
การรบระหว่างกองทัพอสูรเวทและกองทัพมนุษย์โหดร้ายรุนแรง  กองทัพอสูรเวทยังมีอสูรเวทอื่นนอกจากกระทิงเหล็กดูดเลือดคือ มีฝูงหมาป่าวายุและราชสีห์เพลิงที่หยิ่งยโส นอกจากนี้ยังมีมังกรปีศาจธาตุดิน มังกรลมกรดและ....
แต่ทหารฝ่ายมนุษย์ก็ไม่ได้อ่อนแอ  นอกจากทหารธรรมดาแล้ว พวกเขายังมีจอมเวทที่ทรงพลังอย่างแท้จริงบางส่วนซึ่งยังไม่ย้ายไปไหน  นอกจากนี้ ศาสนจักรเจิดจรัสยังส่งจอมเวทระดับเจ็ด, แปดและแม้กระทั่งระดับเก้ามาช่วย มีกองอัศวินฝีมือดีจากวิหารเจิดจรัสเข้ามาช่วยเสริม...
มีการรบต่อสู้อย่างดุเดือดตลอดสามวัน และในที่สุด ฝ่ายมนุษย์ถูกบีบให้ถอยร่น ในช่วงสามวัน ฝ่ายมนุษย์สูญเสียทหารไปเกินกว่าสามแสน และจำนวนผู้บาดเจ็บมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น  แต่กองทัพอสูรเวทก็ได้รับความเสียหายหนักเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กองกำลังทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะมีกลยุทธ์ที่เข้าใจได้อย่างหนึ่ง คือไม่มีฝ่ายใดใช้นักสู้ระดับเซียน นักสู้ระดับเซียนเพียงแต่มองดูอยู่ไกลๆ และไม่ยอมลงมือ
นครเฮสตกอยู่ในความวุ่นวาย
ผลการทำศึกครั้งนี้ทำให้กองกำลังฝ่ายมนุษย์ถอยร่นเข้ามาถึงร้อยกิโลเมตรในรวดเดียว  ตอนนี้พวกเขาเข้าใกล้เมืองเฮสมาก และผู้คนมากมายในเมืองเฮสตัดสินใจอพยพ
ณ เมืองเฮส ในคฤหาสน์เงียบสงบที่ลินลี่ย์พักอาศัยอยู่
 “เยล, เรากำลังจะไปกันเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า อย่าเสียเวลาอีกต่อไป” มอนโร ดอว์สันตะโกน  “ข้าคิดว่ากองกำลังของมนุษย์คงไม่อาจต้านทานได้หลายวัน ไฟสงครามกำลังจะกวาดล้างเมืองเฮส”
เยลพยักหน้า  “เข้าใจแล้วพ่อ”
 “แต่น้องสาม, เขา...”  เยลยังคงกังวลเรื่องลินลี่ย์  จอร์จและเรย์โนลด์ที่ยืนอยู่ข้างเยลก็กังวลเช่นกัน
มอนโร ดอว์สันขมวดคิ้ว “เรื่องแบบนี้ พวกเจ้าลองไปกดดันเขาเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่ายังไงก็ตาม เราต้องออกไปกันคืนนี้”  หลังจากเขาพูดเสร็จ มอนโร ดอว์สันหันหน้าเดินออกไป
เยล จอร์จและเรย์โนลด์มองหน้ากันเอง
ในที่สุดทั้งสามคนก็พากันไปที่ห้องของลินลี่ย์ ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในลานบ้านด้านหลัง  พวกเขาเห็นลินลี่ย์ยังอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ โต๊ะหินจ้องมองสิ่วสกัดตรงในมือของเขาอย่างสงบ  เมื่อเห็นเช่นนี้ เยล จอร์จและเรย์โนลด์ไม่รู้สึกยินดีหรือตื่นเต้นอะไรทั้งนั้น
เพราะต้องการช่วยให้ลินลี่ย์รู้สึกตัว พวกเขามักเอาสิ่วสกัดตรงไปวางไว้ตรงนั้นพร้อมกับรูปแกะสลัก  แต่ลินลี่ย์ดูเหมือนไม่มีความต้องการจะแกะสลักแม้แต่น้อย  แต่ละครั้งที่เขามองดูสิ่วเขาจะนึกย้อนไปถึงวิธีที่ปู่เดลินเคี่ยวเข็ญให้เขาฝึกแกะสลักอย่างระมัดระวัง
เขาสามารถจำได้ท่าทางที่ภูมิใจและสง่างามของปู่เดลินเมื่อเขาถ่ายทอดความลับของสำนักเรียนสิ่วตรงให้ลินลี่ย์เป็นครั้งแรก  ช่วงเวลานั้นปู่เดลินมีบุคลิกโอ่อ่าสมกับเป็นปรมาจารย์จริงๆ
 “น้องสาม” เยลเดินตรงมาหาเขา
ลินลี่ย์เงยหน้ามองเยล ใบหน้าของเขามีรอยยิ้ม แต่เขาไม่พูดอะไร
 “น้องสาม, กองทัพอสูรวิเศษบุกข้ามชายแดนมาแล้ว ฝ่ายมนุษย์จำต้องถอยร่นมาถึงร้อยกิโลเมตร  มันเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่พวกมันจะบุกเข้ามาในเมืองเฮส เราต้องไปกันแล้ว”  เยลพูดจริงจัง “ไปเหรอ?”  ลินลี่ย์สะดุ้งตกใจในช่วงเวลาสั้นๆ  “อือ เข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางที่ลินลี่ย์แสดงออก เรย์โนลด์ซึ่งอารมณ์ร้อนที่สุดในสี่คนคว้าคอเสื้อลินลี่ย์  เขาจ้องตาลินลี่ย์ตรงๆ เขาตะโกนอย่างหัวเสีย  “พี่สาม, นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกับเจ้า?  พูดมา! ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้?  คนที่ข้า เรย์โนลด์ชื่นชมที่สุดในโลกก็คือเจ้า  ข้ามักจะคุยโม้เรื่องของเจ้าอยู่บ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้เล่า?  ดูตัวเจ้าสิ? ดูซิว่าเจ้ากลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว!
 “ชื่นชมข้า?”  ลินลี่ย์พูดเย้ยหยันตัวเอง “ชื่นชมเรื่องอะไร?”
 “ข้าได้ยินพี่ใหญ่เยลบอกว่า เพราะความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเจ้ากับเคลย์ เจ้ายินดีทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตามฆ่าเขา  เจ้ากล้าทำและเจ้ากล้ายอมรับผลที่จะตามมา ในฐานะผู้น้องของเจ้า ข้าชื่นชมเจ้า!  แต่บัดนี้เล่า?  เจ้าฆ่าเคลย์ได้แล้ว จากนั้นเจ้ายังฆ่ามือปราบพิเศษของศาสนจักรเจิดจรัส  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรภูมิใจหรอกหรือ?  แล้วทำไมเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้?”  ตอนนี้เรย์โนลด์โกรธจริงๆ
จอร์จที่อยู่ข้างๆ เขาถึงกับขมวดคิ้ว
 “น้องสาม!” จอร์จตะโกนใส่ลินลี่ย์ทันที
เรย์โนลด์และเยลหันไปมองจอร์จทั้งคู่  ลินลี่ย์ก็มองเขาเช่นกัน
 “น้องสาม, ทำไมเจ้าถึงฆ่ามือปราบพิเศษทั้งหกคนนั้น?”  จอร์จตะโกนถาม  จอร์จตระหนักได้ทันที.. แม้ว่าลินลี่ย์จะฆ่าเคลย์ได้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่มือปราบพิเศษของศาสนจักรเจิดจรัสจะต้องพยายามฆ่าลินลี่ย์
ที่สำคัญคือเคลย์ไม่ใช่กษัตริย์ของพวกเขาอีกต่อไป  “พวกเขาต้องการฆ่าข้า” ลินลี่ย์พูดเบาๆ
 “ทำไมพวกเขาต้องการฆ่าเจ้า?”  จอร์จรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มสัมผัสถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังอาการซึมเศร้าของลินลี่ย์ได้
 “เป็นเพราะศาสนจักรเจิดจรัสฆ่าท่านแม่ข้า” ลินลี่ย์ตอบอย่างใจเย็น
เยลและเรย์โนลด์ที่ยืนอยู่ข้างลินลี่ย์ประหลาดใจกันทั้งคู่  แต่เค้าลางความเข้าใจปรากฏอยู่ในใจของจอร์จ  เขาคำรามทันที “ศาสนจักรเจิดจรัสฆ่าแม่เจ้าเหรอ? แต่น้องสาม เจ้าไม่คิดหาทางแก้แค้นหรือ?  เจ้ากลัวอะไร?”
 “ไม่แก้แค้น?”
คำพูดนี้เหมือนกับสายฟ้าฟาดใส่ลินลี่ย์
 “ใช่แล้ว เป็นเพราะศาสนจักรเจิดจรัส”  แววตาหม่นหมองของลินลี่ย์เริ่มคมกล้าขึ้น
 “ถ้าไม่ใช่เพราะศาสนจักรเจิดจรัสเสาะค้นหาวิญญาณบริสุทธิ์ไปให้มหาเทพเจิดจรัส อย่างนั้นเคลย์ก็คงไม่ส่งท่านแม่ข้าให้ศาสนจักรเจิดจรัส ส่งผลให้ท่านแม่ข้าต้องตาย”
 “ถ้าไม่ใช่เพราะความตายของท่านแม่ข้า  ท่านพ่อข้าก็คงไม่ต้องตาย”
 “ถ้าท่านพ่อยังคงมีชีวิตอยู่   ทำไมข้าต้องหาทางล้างแค้นด้วยเล่า?  ปู่เดลินก็อาจไม่ต้องตาย? นอกจากนี้ ปู่เดลินตายเพราะเป็นผลจากการช่วยข้าต่อต้านมือปราบพิเศษทั้งหกคนนั้น”
ลินลี่ย์เริ่มรู้สึกเกลียดในใจ
 “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะศาสนจักรเจิดจรัสทั้งนั้น!!!  เจิดจรัส โชติช่วง ฮะฮะ! ศาสนจักรเจิดจรัสคือแสงสว่างรุ่งเรืองหรือ?  ถ้ามันคือแสงสว่าง แล้วทำไมพวกเขาต้องฆ่าคนบริสุทธิ์ด้วย,  เอาวิญญาณที่บริสุทธิ์บูชายัญมหาเทพเจิดจรัส?”  หัวใจลินลี่ย์เริ่มเต็มไปด้วยความเกลียด
การกระทำของวิหารเจิดจรัสเลวร้ายเกินไปจริงๆ
เป็นเพราะความเลวร้ายของพวกเขา โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นต่อเนื่อง  และชีวิตของตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมเหล่านั้น
 “เจ้านาย”  บีบีเห็นว่าหน้าของลินลี่ย์กำลังเปล่งประกาย  มันกังวลว่าลินลี่ย์จะหุนหันพลันแล่น  มันพูดทางใจ “เจ้านาย, คำพูดสุดท้ายของปู่เดลินนั้นบอกท่านว่า เขาหวังให้ท่านใช้ชีวิตให้ดี”
หัวใจของลินลี่ย์สั่น  ลินลี่ย์ลืมคำพูดสุดท้ายที่ปู่เดลินได้พูดไว้ก่อนวิญญาณของเขาเหือดหายไปได้ยังไง?
 “บีบี, ไม่ต้องห่วง, ข้าไม่มีทางทำอะไรวู่วามอีก  ข้าจะอดทน... ข้าจะเป็นคนต่อต้านศาสนจักรเจิดจรัสโดยเฉพาะเอง  ข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี”  ตาของลินลี่ย์เป็นประกายหนักแน่นและมั่นคง
เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงในสายตาและอารมณ์ของลินลี่ย์  เยล จอร์จและเรย์โนลด์อดปลาบปลื้มดีใจไม่ได้
ในวันที่ผ่านมา ลินลี่ย์มักดูเหมือนคนสูญเสียพ่ายแพ้ ทำตัวห่างเหิน  เขาไม่เคยมีอาการดีขึ้นเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้  และนัยน์ตาเขาไม่มีความแน่วแน่
 “พี่ใหญ่เยล, พี่รอง น้องสี่ ข้าตัดสินใจจากไป” ลินลี่ย์ตัดสินใจ
 “น้องสาม, เจ้า...”  เยลและพวกประหลาดใจ
 “อย่าห่วง, ข้าสบายดี”  ลินลี่ย์หัวเราะ ใช้หมัดชนอกพี่น้องทั้งสามของเขา เยลและพวกเริ่มหัวเราะเช่นกัน  เมื่อเห็นลินลี่ย์เป็นอย่างนี้  พวกเขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
เมื่อสวมชุดนักรบ สะพายดาบหนักอดาแมนเทียมที่หลัง มีบีบีเกาะอยู่บนไหล่ ลินลี่ย์ออกเดินทางด้วยตนเอง
หลังจากออกจากเมืองเฮสที่สับสนวุ่นวาย  ลินลี่ย์มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก  ผ่านไปครึ่งวัน  ลินลี่ย์มาถึงชายแดนพื้นที่รอบนอกเทือกเขาอสูรวิเศษ  เมื่อเห็นเขตแดนแนวเทือกเขาอสูรวิเศษ  รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าลินลี่ย์
 “รอก่อนเถอะ ศาสนจักรเจิดจรัส จะต้องมีสักวันที่ข้าจะต้องขุดรากถอนโคนพวกเจ้า”  สายตาของลินลี่ย์แน่วแน่มั่นคง
เขาสูญเสียบิดา  เขาสูญเสียมารดา และสูญเสียปู่เดลิน
มีเพียงลินลี่ย์แต่เพียงผู้เดียว ตอนนี้เขาต้องพึ่งพาตัวเอง
 “เจ้านาย, เราจะตัดผ่านเทือกเขาอสูรวิเศษกันหรือ?”  บีบีสับสน
ลินลี่ย์หัวเราะส่ายศีรษะ “ไม่, ประการแรก เราจะเข้าไปในใจกลางพื้นที่เทือกเขาอสูรวิเศษ และจากนั้นเราค่อยมุ่งหน้าขึ้นเหนือ เราจะลุยจนถึงที่สุด”  “นั่นคือระยะทางหมื่นกิโลเมตร” บีบีตกตะลึง  “และใจกลางพื้นที่นั้นก็มีอสูรที่แข็งแกร่งทรงพลังอยู่มากมาย”  บีบีตกตะลึงไปหมดเมื่อได้ยินว่าลินลี่ย์ต้องการเดินทางเข้าไปใจกลางของเทือกเขาอสูรวิเศษเป็นระยะทางหมื่นกิโลเมตร
 “ถ้าไม่ทำเช่นนั้น  ข้าจะฝึกฝนได้ยังไง?  ข้ายังไม่ใช่ยอดฝีมือทางด้านการใช้ดาบหนัก  ถ้าข้าไม่เชี่ยวชาญการใช้ดาบหนักและใช้งานให้ถูกต้อง  ข้าจะจัดการกับศาสนจักรเจิดจรัสได้ยังไง?”
ลินลี่ย์ก้าวเดินเข้าไปในเขตเทือกเขาอสูรวิเศษทันที  และด้วยการเดินทางนี้ ลินลี่ย์เริ่มการฝึกฝนช่วงยาวที่สุดในชีวิตของเขา...

3 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

แปลบอยๆนะครับเรื่องนี้ชอบๆติดตาม

Unknown กล่าวว่า...

อาทิตร์ละ2-3ได้มั้ย ค้างมาก

neng2006 กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับผม

แสดงความคิดเห็น