ตอนที่ 392
แผนของถังโฉ่ว
“บอกความเห็นของเจ้ามาซิ”
ปิงนั่งอยู่ต่อหน้าถังโฉ่วเหมือนผู้บัญชาการที่เข้มงวด
“ขอรับ”
ถังโฉ่วยังคงสงบอยู่
หลังจากชัยชนะเมื่อวานนี้ที่ดูเหมือนจะไม่ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับเขา
“แนวคิดแรกของข้าน้อยก็คือกำหนดยุทธศาสตร์และกลยุทธที่เหมาะสม
พลังของข้าไม่มากมายดังนั้นทักษะรบของข้าจึงมีจำกัด นั่นคือเหตุผลให้ข้าสร้างรูปแบบกลศึกที่ใช้งานได้กับผู้แข็งแกร่งน้อยในการทำศึก”
“นั่นเป็นแค่เพียงแผนแรกใช่ไหม?”
“ขอรับ” ถังโฉ่วอธิบายต่อ
“ข้าได้ครุ่นคิดถึงเหตุผลที่กองทัพต้องพึ่งพาผู้นำทหารในเมื่อถึงเวลารบ
จากนั้นข้าได้พบว่าทหารแต่ละคนในกองทัพฝึนฝนวิทยายุทธมาแตกต่างกัน
ก้าวย่างของแต่ละคนจึงไม่มีการประสานงานกันอย่างเหมาะสม เพราะมีวิทยายุทธที่แตกต่างกัน จึงมีพลังที่แตกต่างกัน
มีแต่ผู้นำทหารที่พิเศษเท่านั้นที่มีความสามารถในการประสานองค์ประกอบอย่างต่อเนื่องสร้างเป็นกลยุทธที่ทรงประสิทธิภาพ จากสิ่งที่ข้าสังเกตเห็นจากกองทัพ
เป็นไปไม่ได้ที่ทหารแต่ละคนจะฝึกฝนตามกลยุทธของตนเอง
ดังนั้นอาวุธจักรกลวิญญาณจึงเป็นวิธีคลี่คลายปัญหานี้ของพวกเรา”
“การ์ดวิชาที่ใช้โดยอาวุธจักรกลวิญญาณน่ะหรือ?” ปิงถาม
“ขอรับ”
ถังโฉ่วตอบ
“การรองรับการ์ดวิทยายุทธของอาวุธจักรกลวิญญาณแต่ละเครื่องสามารถรองรับการ์ดวิชาได้ถึงสามรูปแบบวิชา
และด้วยความช่วยเหลือของจิตวิญญาณยุทธของอาวุธแต่ละชิ้น ก็จะช่วยย่นเวลาให้นักสู้จักรกลฝึกจนเชี่ยวชาญได้ แม้ว่าพลังความแข็งแกร่งจะลดทอนลงไปบ้างก็ตาม”
“เป็นไปได้ไหมว่านักสู้จักรกลเหล่านี้
จะยอมหยุดฝึกวิทยายุทธของแต่ละคนแต่ไปเน้นที่การฝึกปราณแท้แทน?” ปิงสงสัย
เขารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นมีความเป็นไปได้ต่อการปฏิวัติสงครามสมัยใหม่อย่างที่พวกเขารู้จัก
“นี่คือวิธีการที่กลยุทธของข้าใช้งานได้ผล” ถังโฉ่วยืนยันกับปิง “ตามกลยุทธของข้านั้น ความต้องการนักสู้ผู้เชี่ยวชาญลดลงมาก
ทำให้เราเพิ่มกำลังสำรองได้”
“แต่ถ้าเจ้าต้องพบกับศัตรูฝีมือดีและมีทักษะต่อสู้กล้าแข็ง เจ้าจะต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ” ปิงล่วงรู้จุดอ่อนของกลยุทธนี้ วิทยายุทธสามรูปแบบที่ถังโฉ่วมุ่งเน้น
ไม่มีความพิเศษอะไรต่อทหารแต่ละคนในกองทัพ
และเมื่อไม่มีผู้นำทหารก็ยากจะควบคุมและประสานงานในกองทัพได้
ด้วยปัญหาเหล่านี้กอปรกับเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่น่ากลัว ความพ่ายแพ้คงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ขอรับ,
เราก็คือกองกำลังกล้าตายอยู่แล้ว”
ถังโฉ่วตอบ “นอกจากนี้ เป้าหมายของเราไม่ใช่รับประกันเรื่องชัยชนะ
แต่เป็นความสามารถต้านรับการบุกโจมตีของฝ่ายตรงข้ามต่างหาก”
“เจ้าหมายถึงการใช้กลยุทธทะเลมนุษย์น่ะหรือ?” ปิงถาม
“ขอรับ, ใต้เท้า” ถังโฉ่วรับ “กลุ่มดาวหมาป่าเหมาะกับทักษะเช่นนี้
เพราะมีทหารมากมายและเรามีความสามารถดึงกำลังสำรองขนาดมหึมาของเราเข้ามาทดแทนได้เร็วมากกว่าที่ฝ่ายตรงข้ามของเราจะสามารถทำได้”
ปิงเงียบ ลึกๆ
แล้วเขารู้ว่ากลยุทธของถังโฉ่วห้าวระห่ำและเรียบง่าย อย่างไรก็ตาม กองทัพไม่มีนักสู้ฝีมือดี
แต่พวกเขาโจมตีได้รวดเร็ว เมื่อเสริมด้วยกลยุทธทะเลมนุษย์แล้วอาจทำให้พลังรุกจู่โจมก้าวหน้าขึ้นมาก
ปิงลังเลใจที่จะยอมรับกลยุทธนี้เนื่องจากเกี่ยวพันกับการเสียสละสำคัญในเรื่องที่วิทยายุทธจะหมดความสำคัญลงไปอย่างรวดเร็ว
ในฐานะผู้ฝึกสอนผู้คลั่งไคล้วิทยายุทธของกองทัพ เขาเห็นคุณค่าของทหารทุกคน การเสียสละเช่นนั้นคือเรื่องยากจะทนทานรับได้
เมื่อมองดูถังโฉ่ว
ปิงมีความรู้สึกปนเป
ช่างเป็นคนเย็นชานัก
ถังโฉ่วไม่ได้พยายามอธิบายวิธีการของเขา แต่เขากล่าว
“กลยุทธแบบนี้ถูกผลักดันมาจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญหน้า ถ้าเราต้องการก้าวหน้าไปให้ไกล เราคงจำเป็นต้องได้กลุ่มดาวเตาหลอม เมื่อเราครอบครองวิชาอาวุธจักรกลวิญญาณ
ประชากรของกลุ่มดาวหมาป่าและแหล่งทรัพยากรจากกลุ่มดาวเตาหลอม จะทำให้กองทัพดาวกางเขนใต้มีโอกาสสู้ได้อย่างเข้มแข็งในสวรรค์วิถี”
ปิงพยักหน้า
“มิน่าเล่าเจ้าถึงพยายามผลักดันกลุ่มดาวเตาหลอมเข้ามาไว้ในแผน ที่แท้เจ้าวางแผนไว้ทั้งหมดแล้ว”
ถังโฉ่วตอบ
“ขอรับท่าน, เราจำเป็นต้องเรียนรู้การใช้ทหารที่มีพลังน้อยเพื่อเพิ่มโอกาสอยู่รอดในสงครามยุคปัจจุบัน ด้วยเหตุผลนั้น
เราจะสามารถทอดเวลาพัฒนาทหารของเราและสร้างกองทัพที่มีพลังต่อสู้ที่น่ากลัวในอนาคต
ปิงประทับใจถังโฉ่วและเปลี่ยนท่าทีทันที เขารู้สึกตัวว่าเขาดูแคลนความสามารถของถังโฉ่วมากเกินไป
เขาไม่คาดเลยว่านายทหารประจำที่ทำงานจะเสนอกลยุทธทางทหารที่ลึกซึ้งขนาดนั้นได้
นี่เป็นหลักฐานว่าถังโฉ่วมีความสามารถประเมินสถานการณ์ต่อสู้ของสงครามด้วยความคิดวิเคราะห์ที่เฉียบขาด
ปิงถามอีกครั้ง “เจ้ามีมุมมองทหารที่มีพลังสูงส่งอย่างไรบ้าง?”
“ในอนาคตอันใกล้ ข้าสามารถคาดการณ์ได้ว่า ใต้เท้า,
ท่านอาเฮ่อและท่านหลิงซิ่วจะมีพลังของทหารระดับสูงแน่นอน” ถังโฉ่วพูดต่อไป “อย่างไรก็ตาม ในอนาคตข้างหน้า
เราคงจำเป็นต้องสร้างแผนเพื่อเตรียมตัวพัฒนาแผนการต่อสู้ของเรา แค่เพียงวิธีนี้ ทหารของเราก็มีพลังเพิ่มขึ้น”
เห็นได้ชัดว่าปิงสงบมากกว่าแต่ก่อน เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว กลยุทธทะเลมนุษย์แล้ว
แผนการนี้ปิงยอมรับมากกว่า
“แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง” ปิงตอบ
“กลุ่มดาวหมาป่ามีความเข้มข้นของพลังงานที่อ่อน
ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาฝึกยาวนาน
การใช้หอพลังงานจะสร้างภาระค่าใช้จ่ายที่สูงกับพวกเรา”
ถังโฉ่วดูเหมือนคิดถึงปัญหานี้ไว้ก่อนแล้ว “ห้องพลังงานโบราณ
แม้แต่กลุ่มดาวเตาหลอมก็ไม่สามารถช่วยคนได้มากเท่าใดนัก แต่เมื่อเทียบกับกลุ่มดาววาฬ ซึ่งพวกเขาครอบครองพลังงานที่เข้มข้นมากถึง
31 % ในบรรดาสิบตำหนักระนาบกลาง นี่ถือว่าเป็นความเข้มข้นชั้นดี นอกจากนี้ กลุ่มดาววาฬยังมีประตูดวงดาวถึงกลุ่มดาวหมาป่าโดยตรง
ตราบใดที่เราสามารถพิชิตกลุ่มดาววาฬได้และเปิดประตูดวงดาว เราก็สามารถโยกย้ายทัพหมาป่าได้”
“กลุ่มดาววาฬ!”
ปิงตกใจและยิ้ม “นี่คือคู่ต่อสู้ที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน!”
ถือว่าเป็นเวลาดีที่ถังโฉ่วจะได้หาทางแก้แค้น
หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดที่กลุ่มดาววาฬ ถังโฉ่วฉวยโอกาสเล็กน้อยเพื่อแก้แค้นของเขา
อย่างไรก็ตาม
ศัตรูก็ยังเป็นหนึ่งในสิบตำหนักระนาบกลาง
ปิงถาม “เราจะมีโอกาสชนะศึกนี้ได้ยังไง?”
“ถ้าเรามี 40 กองร้อย
ก็ไม่น่าจะมีปัญหามาก” ถังโฉ่วตอบ
“40 กองร้อย!”
ปิงตกใจ
แต่ละกองมีร้อยคนซึ่งก็หมายความว่าเขาจำเป็นต้องได้คน 4000 คนเพื่อทำศึก
นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
นอกจากนี้
เวลาที่ต้องใช้ในการฝึกฝนพวกเขา อาจเป็นงานที่ท้าทายสำหรับพวกเขาแต่ละคนกับอาวุธจักรกลวิญญาณ
และการหาอาวุธ 4000 ชุดนั้นไม่ใช่งานง่ายๆ
ถังโฉ่วรู้สึกได้ถึงความกังวลของปิง “อาวุธจักรกลวิญญาณที่เราใช้ในปัจจุบันล้าสมัยไปแล้ว
อาวุธจักรกลวิญญาณใหม่ซึ่งออกแบบโดยเซรีนทำเสร็จแล้ว
ราคาอาวุธแต่ละชุดประมาณสามสิบล้านเหรียญดาว
สำหรับอาวุธสี่พันชุด มูลค่ารวมประมาณร้อยยี่สิบพันล้านเหรียญ
อาวุธจักรกลวิญญาณแต่ละชุดจำเป็นต้องได้การ์ดวิทยายุทธระดับเจ็ดสามใบ ถ้าเป็นการ์ดชั้นเงิน จะมีราคาใบละสองล้าน
ค่าการ์ดในแต่ละชุดก็คือหกล้านซึ่งมีราคารวมประมาณยี่สิบสี่พันล้าน ด้วยพลังในปัจจุบัน
ตารางการฝึกฝนสามารถสามารถย่นย่อให้เหลือเวลาหกเดือนและงบประมาณในการฝึกฝนราวๆ
สามสิบสองพันล้าน รวมงบประมาณที่จะต้องใช้ทั้งหมดประมาณสองร้อยพันล้านเหรียญ”
“สองร้อยพันล้าน...” ปิงตกตะลึง
ทันใดนั้นปิงรู้สึกผิดทันที ในตลอดชีวิตของเขา เขาจะประหยัดอยู่เสมอ
ใช้แค่พันล้านก็ยังทำให้เขารู้สึกทรมานแล้ว
ตอนนี้เจ้าผู้นี้ยังกล้าขอถึงสองร้อยพันล้านตรงๆ โดยไม่ลังเล
“เราไม่จำเป็นต้องจ่ายทั้งหมดรวดเดียว” ถังโฉ่วอธิบาย
“การรับสมัครนักสู้เป็นกระบวนการยาวนาน
ต้นทุนค่าอาวุธจักรกลวิญญาณและค่าธรรมเนียมการฝึกมีราคาสูงที่สิ้นเปลืองอย่างต่อเนื่องทั้งนั้น
ความจริงใช้เพียงยี่สิบพันล้านก็เริ่มทำสงครามได้แล้ว
สามารถพิชิตหนึ่งในสิบตำหนักระนาบกลางใช้งบประมาณสองร้อยพันล้าน ก็ยังนับว่าถูก”
ปิงพูดไม่ออกขณะมองดูถังโฉ่ว
ถังโฉ่วไม่ได้พูดสักคำขณะมองปิง
ทั้งสองมึนงง
หลังจากนั้นชั่วครู่
ปิงตอบ “ดีมาก ร้อยตรี, แผนของเจ้ายอดเยี่ยม แต่ข้าขอบอกตามตรงเลยว่างบประมาณที่คิดไว้เกินกว่าที่ข้าคาดไว้มาก
เป้าหมายหลักของเรายังคงเป็นกลุ่มดาวเตาหลอม ถ้าเราจะดำเนินการโจมตีกลุ่มดาวเตาหลอม
เจ้าคิดว่าเราต้องใช้คนเท่าใด?"
“หกกองร้อย”
ถังโฉ่วตอบอย่างลังเล
“กลุ่มดาวเตาหลอมมีประตูดวงดาวสี่แห่ง
ประตูแต่ละแห่งจำเป็นต้องใช้ทหารกองร้อยหนึ่งดูแล
เหลืออีกสองกองร้อยจะเป็นกำลังหลักในการรุกป้อมดาวเตาหลอม”
ปิงส่ายศีรษะ
“เจ้ามีเพียงสี่กองร้อย”
ถังโฉ่วไม่พยายามต่อรอง “ถ้าเป็นอย่างนั้น
เราคงต้องพยายามควบคุมประตูดวงดาวเข้ากลุ่มดาววาฬ
ส่วนอีกสามกองร้อยจะผสานร่วมกันโจมตีป้อมดาวเตาหลอม”
“ต้องการเวลานานเท่าใด?” ปิงถาม
“จำนวนคนไม่มีปัญหา” ถังโฉ่วตอบ
“ค่ายของเราในตอนนี้มีกำลังประมาณพันนาย
เราจำเป็นต้องเลือกออกมาสองร้อยคน จากนั้นฝึกพวกเขาในช่วงเวลาสั้นๆ
จากตรงนั้น”
ข่าวเมืองสามวิญญาณมีนักสู้อาวุธจักรกลที่น่ากลัวกระจายออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง นักสู้หลายคนถูกชื่อเสียงของพวกเขาดึงดูดมา
ทำให้จำนวนคนในค่ายเริ่มแออัดมากขึ้น
อย่างไรก็ตามทางค่ายได้ให้คำแนะนำการรบกับบุคคลภายนอกเหล่านี้บางส่วน
ไม่ต่างจากนักสู้ของตระกูลม่อและกลุ่มดาวหมาป่ามากนัก
เนื่องจากนักสู้เหล่านี้มีพื้นฐานในเรื่องวิทยายุทธอยู่แล้ว ระยะเวลาฝึกฝนของพวกเขาจึงลดลงอย่างมาก
ถ้าเป็นการโจมตีกลุ่มดาววาฬ คนภายนอกเหล่านี้อาจถูกความกลัวครอบงำ
เนื่องจากความห้าวหาญดุร้ายของศัตรู
ดังนั้นอาจเป็นเรื่องยากที่จะพึ่งพาพวกเขา
อย่างไรก็ตาม
การโจมตีกลุ่มดาวเตาหลอมไม่น่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับนักสู้เหล่านี้
ปิงตอบ
“ดีมาก ร้อยตรี, ตอนนี้เจ้าเริ่มเตรียมตัวได้เลย”
ถังโฉ่วรับคำอย่างจริงจัง “ขอรับ”
ขณะที่เขาดูถังโฉ่วเดินออกไป ปิงสูดหายใจลึก
จะมีเหตุการณ์อื่นอีกมากที่คอยสนับสนุนการต่อสู้นี้ เช่นความร่วมมือของตระกูลม่อและความช่วยเหลือของพวกเขาในการเตรียมการ
ปิงเข้าไปหาเซรีนและถามนาง “เซรีน,
เจ้าคิดว่ากลุ่มดาวเตาหลอมเป็นยังไงบ้าง?”
เซรีนประหลาดใจกับสิ่งที่ปิงถามนาง นางตอบ
“ท่านพยายามจะเข้ายึดกลุ่มดาวเตาหลอมหรือ?”
“ถูกแล้ว” ปิงพยักหน้า
“ยังมีที่อื่นซึ่งเหมาะกับเรามากกว่าที่นั่นไหม?”
“ดีจริงๆ ที่ได้ยินเรื่องนี้” เซรีนตื่นเต้น
“ข้าต้องการจะเอากองทัพไปพิชิตกลุ่มดาวเตาหลอมเสมอ! พวกที่อยู่ในกลุ่มดาวเตาหลอม
ท่าดีทีเหลวทั้งนั้น
แต่เมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของข้า
ศาสตราจารย์เซรีนจะเปิดเผยศักยภาพของข้าได้เต็มที่
ปิงยิ้มกว้าง มีเซรีนคอยสนับสนุนก็นับว่าโล่งอก
“แล้วพวกท่านจะเริ่มดำเนินการเมื่อไหร่?” เซรีนถาม
“จะให้ข้าทำยังไง?”
“อาวุธจักรกลวิญญาณ
และเราจำเป็นต้องได้มากด้วย” ปิงบอกนาง
“ไม่มีปัญหา!” เซรีนพูดอย่างตื่นเต้น “ตราบใดที่ข้ามีลูกมือ
การสร้างอาวุธจักรกลวิญญาณย่อมไม่มีปัญหา”
“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็เบาใจ” ปิงพยักหน้า
ทันใดนั้นเซรีนนึกอะไรบางอย่างได้ “ถ้าท่านมีเวลา
ท่านน่าจะลงไปเยี่ยมผู้เฒ่าเฟ่ยนะ เขาอาจจะพบสิ่งที่ทรงพลังบางอย่าง ผู้เฒ่าเฟ่ยเอาแน่เอานอนไม่ได้
และหน้าของเขาแดงอยู่เสมอ เขามักจะมาหาข้าเรื่องเมื่อเห็นท่านกลับมา
“ผู้เฒ่าเฟ่ยน่ะหรือ?” ปิงสงสัย
2 ความคิดเห็น:
สุดยอด...ติดงอมแงม
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น