วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

Panlong เล่มที่ 8 เดินทางไกลหมื่นกิโลเมตร ตอนที่ 3 เข่นฆ่าอำมหิต

เล่มที่ 8 เดินทางไกลหมื่นกิโลเมตร  ตอนที่ 3 เข่นฆ่าอำมหิต

ทะเลเลือดไร้ขอบเขตเต็มไปด้วยกระดูกขาวโพลนนับไม่ถ้วนและซากศพทุกประเภทแตกต่างกัน  บ้างก็เป็นศพยักษ์สูงสิบเมตรมีเกล็ดปกคลุม มีเขาสองข้างอยู่บนหัว  ศพอื่นๆ มีกระดูกขาวโพลนและมีแสงทองจางๆแทรกอยู่...

 “อา...”
ตาของลินลี่ย์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ขณะที่เขาเริ่มปล่อยรัศมีกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง  กลิ่นอายที่น่ากลัวนั้นดูเหมือนจะอยู่ในรูปร่างหมอกเลือดเลือนราง  ละอองเลือดเริ่มโชยออกจากรอบๆ ตัวลินลี่ย์  เขาถูกกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นคลุมรอบตัว  ลินลี่ย์มองดูเหมือนเทพเจ้าที่ดุร้ายน่ากลัว
บีบีอยู่ไม่ห่างจากลินลี่ย์รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่น่ากลัว
บีบีสะดุ้งขนในตัวมันลุกชันและมันรูสึกได้อย่างชัดเจนว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนของกมันกำลังสั่นและเลือดของมันสูบฉีดเร็วขึ้น  แม้แต่กรงเล็บของมันก็กำลังสั่นอย่างที่มันควบคุมตัวเองไม่ได้
น่ากลัว
น่ากลัวอย่างที่มันไม่เคยรู้สึกมาก่อน!
 “จะ...เจ้านาย, เกิดอะไรขึ้น?”  บีบีพูดตะกุกตะกัก
ตอนนี้ ลินลี่ย์ยังคงควบคุมตนเองได้  เพียงแต่หลังจากถูกกลิ่นอายที่น่ากลัวรุมเร้าแล้ว  ลินลี่ย์รู้สึกว่ามีความต้องการจะออกไปฆ่า
 “นี่คือกระบี่เลือดม่วงหรือนี่?”  ลินลี่ย์ฝืนข่มความปรารถนาจะฆ่าลงไว้ได้  เขาก้มหน้ามองดูกระบี่
 “หือ...” ลินลี่ย์สามารถเห็นได้ว่าในมือของเขา กระบี่เลือดม่วงกำลังเรืองแสงสีแดงชั่วร้ายที่โคจรอยู่เหมือนกับว่าเลือดกำลังไหลเวียนไปตามกระบี่  ทั่วทั้งตัวกระบี่เลือดม่วงสั่นเล็กน้อย  ลินลี่ย์รู้สึกได้ถึงความปรารถนาฆ่าของกระบี่เลือดม่วง  มันต้องการออกไปฆ่า!
แต่ตอนนี้ ลินลี่ย์พยายามอย่างหนักเพื่อข่มแรงกระตุ้นที่จะฆ่าฟัน  แรงกระตุ้นที่รุนแรงยิ่งเพิ่มมากขึ้น  ตาของลินลี่ย์เริ่มกลายเป็นสีแดงจัด
 “อ๊า....” ลินลี่ย์ส่งเสียร้องโหยหวน
เหมือนกับว่าเขากลายสภาพเป็นการเคลื่อนที่แบบพายุหมุนทอร์นาโด ลินลี่ย์วิ่งลงภูเขา กระบี่เลือดม่วงในมือเขาฉายประกายเจิดจ้าเหมือนสายฟ้า  ทุกที่ที่ลินลี่ย์ผ่านไป ทั้งต้นไม้และหินจะเปลี่ยนสภาพเป็นซากหักพังหมด
เมื่อเห็นลินลี่ย์พุ่งเข้ามาอย่างป่าเถื่อน บีบีนิ่งอยู่ที่เดิมลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่บีบีกลัวแสงรังสีที่น่าหวาดผวานั้น มันคือสิ่งที่บีบีไม่เคยรู้สึกมาก่อน  แต่เพื่อเจ้านายของมัน...
 “กรรร” บีบีกัดฟันจากนั้นพุ่งลงเขาไปทันที
….

ไม่ไกลจากภูเขาลินลี่ย์ยืนอยู่บนบ่อน้ำใส มีฝูงมัสตีฟขนทองใช้ชีวิตอยู่ข้างบ่อ  มัสตีฟขนทองเป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่กันเป็นฝูงแตกต่างจากเสือดำหรือเสือโคร่ง  หากจะกล่าวโดยทั่วไป พวกเสือดำหรือเสือโคร่งอาจจะร่วมกันต่อสู้ในศึกที่สำคัญได้  แต่ในวันเวลาปกติของพวกมัน  อสูรเวทเหล่านี้โดยทั่วไปจะใช้ชีวิตแยกกัน  แต่มัสตีฟขนทองนั้นแตกต่าง
มัสตีฟขนทองมีความเป็นสังคมฝูงที่แข็งแกร่ง และทำงานร่วมกันเป็นทีม
มัสตีฟขนทองจะมีพลังกรงเล็บที่แข็งแกร่งมาก ฝูงมัสตีฟขนทองนี้มีจำนวนเกินกว่าร้อย  แม้ว่ามัสตีฟขนทองจะเป็นอสูรเวทระดับแปด แต่กระนั้นพวกอสูรเวทระดับเก้าทั่วไปก็ยังไม่กล้ายุ่งกับพวกมัน  แน่นอนว่าพวกมันมีพลังอำนาจในฐานะเป็นอสูรเจ้าถิ่นที่ต้องคำนึงถึง
ตอนนี้
มัสตีฟขนทองเหล่านี้แต่ละตัวนอนพักอยู่ข้างสระ บางส่วนก็เดินไปมา บางส่วนก็เล่นน้ำอย่างสนุกสนาน นี่ยังไม่ถึงเวลาออกล่าเหยื่อของพวกมัน และด้วยความแข็งแร็งของพวกมัน พวกมันไม่ต้องกลัวว่าจะขาดแคลนอาหาร
แต่แล้วมัสตีฟขนทองก็มองขึ้นมาบนภูเขาด้วยความระแวงระวังทันที พวกมันรู้สึกตื่นตัวและรู้สึกได้ว่าสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้าหาพวกมันด้วยความเร็วสูง  มัสตีฟขนทองที่นอนอยู่ลุกขึ้นยืนกันหมด  จ้องมองสิ่งมีชีวิตที่กำลังเคลื่อนเข้าหาพวกมันอย่างเย็นชา
มัสตีฟขนทองมีขนาดตัวสูงสามเมตรและยาวหกเมตร   มีขนสีทองปกคลุมตลอดทั้งตัว และพวกมันมองดูคล้ายสิงโต แต่ตาของพวกมันเป็นสีทองแวววาว
 “กรรรร” ฝูงมัสตีฟขนทองเริ่มคำราม
ในที่สุดพวกมันก็เห็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังเข้ามาตอแยพวกมัน  เป็นมนุษย์คนหนึ่งกำลังควงกระบี่สีม่วงชั่วร้ายตลอดทั้งร่างปกคลุมด้วยรัศมีแดง  มัสตีฟขนทองเหล่านี้ฉลาดมาก พวกมันรู้สึกได้ทันที  นี่ก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง  เว้นแต่มนุษย์ผู้นี้จะอยู่ในระดับเซียน เขาคงไม่อาจทำอะไรพวกมันได้
แต่ทันใดนั้น....
เมื่อมนุษย์นั้นเข้ามาใกล้หมอกไอสีแดงก็ครอบคลุมพวกมันทั้งหมด  ทันใดนั้นมัสตีฟขนทองทุกตัวรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่พวกมันไม่เคยรู้สึกมาก่อน  กลิ่นอายที่หวาดหวั่นน่ากลัวนี้มีพลังน่ากลัวมากกว่าอสูรเวทระดับเซียนมากมายนัก ภายใต้กลิ่นอายที่กดดันและน่ากลัวนี้ มัสตีฟขนทองทุกตัวรู้สึกเหมือนกับว่าขาทั้งสี่ของพวกมันไม่อยู่ในความควบคุมของพวกมัน  ตัวแล้วตัวเล่าคุกเข่าด้วยความหวาดกลัวขณะที่พวกมันไม่อาจเชิดหัวด้วยความภาคภูมิใจได้อีก
 “เลือด... เลือด...”
ลินลี่ย์กำลังพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาสภาพใจให้ปลอดโปร่ง  แต่เขารู้สึกได้ถึงความปรารถนารุนแรงต้องการดื่มเลือดของเทพกระบี่เลือดม่วง  หลังจากรังสีที่น่ากลัวภายในกระบี่เลือดม่วงถูกเร่งเร้า กระบี่เลือดม่วงยิ่งต้องการดื่มเลือดให้มากเพียงพอ
 “ควั่บ”
กระบี่เลือดม่วงเปลี่ยนสภาพเป็นลำแสงสีม่วงวูบผ่านลำคอของมัสตีฟขนทอง หัวของมัสตีฟขนทองขนาดหนึ่งเมตรปลิวกระเด็น
ความเร็วของลินลี่ย์รวดเร็วมาก
ที่ถูกควรบอกว่า ความเร็วในการสังหารของกระบี่เลือดม่วงเร็วเกินไป หลังจากตัดศีรษะมัสตีฟขนทองแปดตัวแรกปลิวกระเด็น  ตอนนี้เหลือแต่เพียงมัสตีฟขนทองที่คุกเข่าด้วยความหวาดหวั่นทั้งหมดค่อยรู้สึกตัว
 “โฮกกกก..” ใกล้ๆ นั้นเอง มัสตีฟขนทองตัวใหญ่ที่สุดฝืนตนเองยืนขึ้น  จากนั้นเชิดหัวและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว  แต่ขาของมันยังคงสั่นอยู่และตาของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตาม สติปัญญาของพวกมันยังนับว่าสูงมาก
มัสตีฟขนทองทุกตัวรู้ว่ามนุษย์ผู้นี้ปล่อยกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นนี้กำลังจะฆ่าพวกมันทุกตัว  แม้ว่าพวกมันจะกลัว  แต่พวกมันต้องต่อต้าน
พอได้ดื่มเลือดมาก กระบี่เลือดม่วงส่งเสียงยินดี
 “ตาย! ตาย!  ยิ่งเขาฆ่ามากขึ้น  ลินลี่ย์ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าความต้องการฆ่ากำลังกลืนกินเขาตอนนี้ความปรารถนาอย่างเดียวของเขาก็คือ ฆ่า
มัสตีฟขนทองที่เหลือราวๆ ร้อยตัวไม่กล้าเผชิญหน้าลินลี่ย์โดยตรง ทุกตัวหันหลังวิ่งหนี
 “ควั่บ!  กระบี่เลือดม่วงของลินลี่ย์ตัดหัวของมัสตีฟขนทองอีกตัว
เมื่อรู้ว่ามันไม่สามารถหนีได้  มัสตีฟขนทาองตัวนี้หันกลับมาอ้าปากของมันและงับลินลี่ย์พร้อมกันนั้นก็พ่นไฟจากปาก  สัญชาตญาณของลินลี่ย์ทำงาน ร่างของเขาปกคลุมด้วยปราณมังกรสีดำซึ่งป้องกันไฟที่พ่นออกมาจากปากของมัสตีฟขนทอง
เมื่อกระบี่เลือดม่วงเฉียดเข้ามาใกล้หัวของมัสตีฟขนทอง  มัสตีฟขนทองสามารถรู้สึกได้ชัดถึงรังสีที่น่ากลัว  กระบี่เลือดม่วงนี้กำลังปลดปล่อยรังสีที่กล้าแข็งมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า  ความหวาดกลัวนี้เป็นสิ่งที่พวกมันไม่เคยเผชิญมาก่อนทำให้ขาของพวกมันอ่อน  แม้แต่พลังจะกระตุ้นแก่นเวทในตัวของพวกมันก็หยุดชะงักและมันได้แต่ยืนอยู่กับที่ปล่อยให้กระบี่เลือดม่วงตัดหัวของมัน
รอบๆ รัศมีที่น่ากลัวซึ่งครอบครองร่างหลักไว้ ลินลี่ย์ยังคงไล่ล่าและสังหารมัสตีฟขนทองตัวแล้วตัวเล่า
มัสตีฟขนทองเจ้าถิ่นประจำที่นี่ในตอนนี้แตกตื่นอย่างแท้จริง พวกมันไม่รู้ว่าเทพอำมหิตนี้มาจากที่ใด  รังสีกลิ่นอายที่น่ากลัวนั้นตอนนี้กล้าแข็งมากจนร่างกายของพวกมันได้รับผลกระทบไปด้วย  แม้ว่าพวกมันต้องการจะสู้  แต่ร่างกายของพวกมันไม่อยู่ภายใต้บังคับของพวกมันเองต่อไป
โลหิตฉีดกระจายไปทั่วทุกที่
ชิ้นส่วนขาและศีรษะถูกตัดปลิวกระเด็นไปทุกที่...
ในพริบตาเดียว มัสตีพขนทองสามสิบตัวก็ตายอยู่ในที่นั้นนั่นเอง
 “เจ้านาย,  เจ้านาย!  บีบีร้องเรียกอย่างเร่งร้อน
บีบีรู้สึกได้ถึงสภาวะเป็นอยู่ในปัจจุบันของลินลี่ย์ มันกลัวว่าในอนาคตลินลี่ย์จะเปลี่ยนไปกลายเป็นเพชฌฆาตที่คลั่งฆ่าคนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นลินลี่ย์ค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง
 “บีบี, ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”  เสียงของลินลี่ย์ดังขึ้นในใจของบีบี
บีบีวิ่งเข้ามาทันที  บีบีเห็นร่างท่อนบนที่เปลือยของลินลี่ย์ชัดเจน  หน้าผากของเขามีเหงื่อเกาะพราวไปหมด และชั้นผิวสีแดงเลือนราง  แต่ตอนนี้ลินลี่ย์หลับตา  อกของเขาสะท้อนขึ้นลงเหมือนสูบลมของช่างตีเหล็ก
 “เฮ้อ...”
ลินลี่ย์ถอนหายใจยาวและลืมตาขึ้นในที่สุด  ตาของลินลี่ย์กลับมาคมชัดเป็นปกติ
 “เจ้านาย, ท่าน.... เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?”  บีบีกล่าวอย่างกังวลใจ
มีร่องรอยความกลัวขณะที่ลินลี่ย์มองดูกระบี่เลือดม่วงในมือของเขา  ตอนนี้ลินลี่ย์มั่นใจมากว่ากระบี่เลือดม่วงเล่มนี้เป็นกระบี่เพชฌฆาตและได้ฆ่าคนมากมายเป็นพิเศษ  ลินลี่ย์สงสัยว่าทะเลโลหิตไร้ขอบเขตและซากศพที่เขารู้สึกได้ก่อนหน้านั้นเกิดจากฝีมือของกระบี่เลือดม่วงทั้งหมด
แต่ซากศพเหล่านั้น... ลินลี่ย์ไม่รู้จักเป็นส่วนใหญ่  หรือว่าพวกมันเป็นคนจากเผ่าพันธุ์ไหน
 “มีเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีหัววัวด้วยหรือ?  เป็นไปได้ไหมว่าพวกนี้จะเป็นไมโนทอร์จากแผ่นดินอื่น?”  ลินลี่ย์คิดทบทวนด้วยความสงสัย  จากหนังสือของเขา ลินลี่ย์เคยเห็นการอ้างอิงถึงไมโนทอร์มาก่อน  แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตแบบนั้นในทวีปยูลาน
แต่ศพอื่นก็มีอยู่หลายศพ  ลินลี่ย์ไม่เคยเห็นหรือได้ยิน  แม้แต่ในหนังสือและบันทึกที่เขาเคยอ่าน
อย่างเช่นพวกยักษ์ที่สูงถึงสิบเมตร มีตัวปกคลุมไปด้วยเกล็ดหนาและมีเขางอกออกมาจากหน้าผากสองข้าง  กลิ่นอายที่ออกมาจากศพอย่างเดียวก็ทำให้ลินลี่ย์หวาดหวั่น  ลินลี่ย์รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมานั้นไม่ได้อ่อนแอกว่าพวกอสูรเวทระดับเซียนที่เขาเคยเห็นเลยแม้แต่น้อย
แต่มีจำนวนซากศพของอสูรยักษ์เหล่านั้นนับไม่ถ้วน
ต้องเป็นความจริง!  ศพของพวกอสุรกายเหล่านั้นไม่ได้อ่อนแอกว่าอสูรเวทชั้นเซียนเลย แต่กลับมีให้เห็นในทุกที่ในทะเลเลือดไร้ขอบเขต
 “เจ้าของกระบี่เลือดม่วงคนก่อนนี้เป็นใครกัน?  เขาฆ่าอสูรนักสู้ที่ทรงพลังเหล่านี้จริงๆ หรือเปล่า”  ลินลี่ย์ลอบตกใจ  ลินลี่ย์มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า กระบี่เล่มนี้จะต้องมาจากดินแดนระดับสูงแน่นอน  เพราะทวีปยูลานไม่เคยมีนักสู้ที่ทรงพลังมากมายขนาดนี้
ขณะที่เขานึกย้อนไปถึงเมื่อคราวที่เขาได้รับกระบี่เลือดม่วง  ลินลี่ย์เข้าใจบางอย่างเพิ่มขึ้น  เทพกระบี่เลือดม่วง ไม่ใช่ของดั้งเดิมที่มีอยู่ในทวีปยูลาน
ขณะที่คิด ลินลี่ย์เก็บกระบี่เลือดม่วงเข้าไปในไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติ
 “เฮ้อ.. เว้นแต่เป็นเรื่องจำเป็นอย่างแท้จริง ข้าจะไม่ยอมกระตุ้นรังสีที่ซ่อนอยู่ภายในกระบี่เลือดม่วงนี้อีกแน่”  ลินลี่ย์ตั้งใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว
ถึงตอนนี้เองบีบีกระโดดขึ้นมาอยู่บนไหล่ของลินลี่ย์
 “เจ้านาย  เกิดอะไรขึ้น?”  บีบีถาม
ลินลี่ย์หัวเราะพลางมองดูบีบี  “บีบี เจ้าจำได้ไหม เราค้นพบค่ายกลเวทเมื่อตอนที่เราอยู่ในหุบเขาสายหมอก? ตอนนั้นปู่เดลินบอกว่าค่ายกลเวทลึกลับเป็นค่ายกลเวทที่ลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่าเวทระดับเซียนเสียอีก  และกระบี่เลือดม่วงถูกใช้กับค่ายกลเวทลึกลับนั้น  ตอนนั้น เราสงสัยว่ากระบี่เลือดม่วงไม่ใช่กระบี่ธรรมดาเหมือนอย่างที่มันปรากฏ  และมันคงต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน”
บีบีฟังด้วยความตื่นตัวทันที
 “เทพกระบี่เลือดม่วงนี้มีแนวโน้มว่าจะต้องผ่านการเข่นฆ่าและสังหารมาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน  ทั้งยังต้องฆ่านักสู้ที่ทรงพลังอีกมาก  รวมทั้งพวกที่เป็นนักสู้ระดับเซียนหรือสูงกว่านั้นก็เป็นได้!  และเพราะเหตุนั้นภายในกระบี่เลือดม่วงนี้จึงมีรังสีที่ทรงพลังน่าหวาดหวั่น  ทันทีที่กระตุ้นการใช้งาน  แม้แต่พวกมัสตีฟขนทองเหล่านั้นก็ยังสั่นและคุกเข่าลงด้วยความกลัว และแม้ว่าจะมีผลดี  แต่ผลในเชิงลบก็มีเช่นกัน  เมื่อมันถูกกระตุ้นให้ใช้งาน กระบี่เลือดม่วงจะต้องการเลือด มิฉะนั้นกระบี่เลือดม่วงจะปฏิเสธที่จะเชื่อฟังความตั้งใจของข้าและไม่ยอมกลับเข้าไปในแหวนมิติเก็บสมบัติแต่โดยดี”
บีบีพยักหน้า
 “เจ้านาย,  กระบี่เลือดม่วงน่ากลัวจริงๆ  ตอนนั้นกลิ่นอายที่น่ากลัวยังทำให้ข้าสั่นด้วยความกลัวแขนขาข้าก็พลอยสั่นไปด้วย  ในสถานการณ์ตอนนั้น แม้ว่าข้าจะเป็นอสูรเวทระดับเก้า แต่ข้าไม่อาจใช้พลังได้ถึงครึ่งหนึ่ง”  บีบีกล่าวตามตรง
สำหรับอสูรเวทระดับแปด เมื่อถูกข่มด้วยรังสีที่น่ากลัวนั้น  ทำให้พวกมันไม่สามารถใช้พลังได้ถึงหนึ่งในสิบของพลังที่มีอยู่
เมื่อรังสีพลังที่น่ากลัวภายในกระบี่เลือดม่วงถูกกระตุ้น  พลังของคู่ต่อสู้เองจะได้รับผลกระทบและลดลง  แม้แต่อสูรเวทระดับเก้าก็ยังได้รับผลกระทบมากมาย  คงจะนึกภาพได้ง่ายว่ากระบี่นี้ใช้ประโยชน์ได้ดีในการรบมากเพียงไหน
 “แต่ถูกพลังสังหารที่อำมหิต โหดร้ายป่าเถื่อนครอบงำนับเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีจริงๆ   ทันที่รังสีชั่วร้ายถูกกระตุ้น  ข้าคงต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนมากก่อนที่พลังสังหารที่ป่าเถื่อนโหดร้ายนั่นจะสงบลง”  ลินลี่ย์ได้ประสบกับการกระตุ้นพลังนั้นมาแล้ว  ดังนั้นเขารู้ดีว่ามันเหมือนกับสิ่งใด
เว้นแต่จำเป็นถึงที่สุด  ดีที่สุดแล้วไม่ควรไปกระตุ้นพลังรังสีที่น่ากลัวนั้น
 “ช่างเถอะ บีบี มาเก็บแก่นเวทแล้วไปกันต่อเถอะ”
 “แก่นเวท? ว้าว,  มากมายนัก”  บีบีเก็บรวบรวมแก่นเวทอย่างตื่นเต้น
หลังจากเก็บแก่นเวทมัสตีฟขนทองหลายสิบตัวแล้ว  ลินลี่ย์กับบีบีเดินทางกันต่อ ปล่อยซากศพมัสตีฟขนทองไว้ที่นั่น  ในเทือกเขาอสูรวิเศษ  ทันทีที่อสูรเวทตายต่อให้เป็นอสูรเวทที่ทรงพลังที่สุดก็ไม่ต่างอะไรจากอาหารสำหรับอสูรเวทอื่น
การค้นพบความลับที่อยู่ในกระบี่เลือดม่วงของพวกเขานี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเหตุการณ์ระหว่างทาง
ลินลี่ย์ยังคงใช้ชีวิตฝึกฝนต่อไป ทุกๆวัน เขาจะเดินทางราวๆ สิบกิโลเมตรใช้เวลาส่วนใหญ่กับการฝึกฝน  ยิ่งใช้ดาบหนักก็ยิ่งมีความเข้าใจมากขึ้น  เกือบทุกวันลินลี่ย์จะมีความเข้าใจใหม่ๆเพิ่มขึ้น  ลินลี่ย์หมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกที่พิเศษกับการฝึกและมีความก้าวหน้าเป็นส่วนใหญ่
 

3 ความคิดเห็น:

tho กล่าวว่า...

ขอบคุณคับ

Unknown กล่าวว่า...

เย้ ค้างอะ อยากอ่านอีก

Opajo กล่าวว่า...

เย้ มาบ่อยขึ้นแล้วขอบคุณมากครับ

แสดงความคิดเห็น