วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ยอดยุทธไร้เทียมทาน ตอนที่ 481 สำนักมวยชางหยาง



ตอนที่  481  สำนักมวยชางหยาง
ตลอดเส้นทางถังเทียนพยายามอย่างหนักและต่อเนื่องในการสื่อสารกับเสี่ยวเอ้อ  เขาอยากได้สนามพลังวิญญาณแทบแย่  มีสนามพลังวิญญาณก็หมายความว่าเขามีความก้าวหน้า นอกจากนั้นถังเทียนยังไม่มีความคิดอย่างอื่น

ร่างกายพลังเป็นศูนย์ของเขาไม่มีทางที่จะก้าวหน้าได้  จิตวิญญาณยุทธของเขาบริสุทธิ์มากจนกลายสภาพเป็นเสี่ยวเอ้อ  เขาไม่รู้ว่าควรจะฝึกและแสวงหาความก้าวหน้าต่อไปได้ยังไง
เสี่ยวเอ้อกลายเป็นของเล่นของถังเทียนในช่วงที่ผ่านมาสองสามวัน
โชคดีสำหรับถังเทียนที่เสี่ยวเอ้อโง่มาก ดังนั้นไม่ว่าถังเทียนจะแกล้งมันยังไงมันก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมาก น่าเสียดายที่เขาไม่มีความคืบหน้ามากนัก  แต่เขาทำการปรับแต่งได้สองสามอย่าง
เสี่ยวเอ้อเชี่ยวชาญในการควบคุมพลังงาน มันเกิดมาพร้อมกับความสามารถดึงดูดรั้งพลังมารวมกัน  ตัวอย่างเช่น เมื่อถังเทียนทำลายหินดวงดาว  เสี่ยวเอ้อสามารถควบคุมพลังงานที่ถูกปล่อยออกมาได้  การควบคุมพลังระดับละเอียดของเสี่ยวเอ้อมีอยู่เหนือพลังงานทำให้ถังเทียนประหลาดใจ   มันสามารถดึงดูดพลังเลียนแบบเส้นชีพจรและตันเถียนของถังเทียนได้ เมื่อถังเทียนต่อย มันสามารถเลียนแบบรังสีหมัดได้
แน่นอนว่าภาพย่อมเป็นของปลอมและไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก
ถังเทียนเล่นกับมันอยู่ชั่วขณะก่อนจะเลิกสนใจและเริ่มสอนวิชาอื่นให้เสี่ยวเอ้อ  เสี่ยวเอ้อโง่จริงๆ เหมือนกับท่อนไม้ทำให้ถังเทียนรู้สึกจนใจ  ถังเทียนมักจะมีความคิดหลายอย่างและชอบโพล่งคำพูดออกมา  แต่เสี่ยวเอ้อก็แค่มองเขาอย่างว่างเปล่า ไม่เข้าใจอะไรอย่างสิ้นเชิง
นอกจากเสี่ยวเอ้อแล้ว ร่างพลังเป็นศูนย์ยังคงมีประโยชน์อยู่สองสามอย่าง  นอกจากร่างกายของเขาจะทรงพลังมาก การควบความของถังเทียนก็ทำได้ราบรื่นมาก
 “เฮ้ ลุง, รีบดู  รีบดู!
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของถังเทียนเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง  ในพริบตาเขาเปลี่ยนรูปหน้าดูแปลกๆ
ปิงมองดูและพ่นควัน  เขาชม “เป็นผลข้างเคียงของวิชาที่มีประโยชน์  แต่ความอัปลักษณ์ของเจ้ามันซึมลึกเข้ากระดูกดำจริงๆ”
อย่างน้อยบนเส้นทางก็ไม่เปลี่ยวเหงา  ดังนั้นเวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเฉินหวี่และถังเทียนและปิงมาถึง  เขาตกตะลึงและรีบสอบถามทันที  “ฝ่าบาท, ทำไมท่านกับใต้เท้าปิงถึงมาที่นี่ก่อน? แล้วคนที่เหลืออยู่ที่ไหน?”
 “มีแต่เราสองคนเท่านั้น”  ถังเทียนมองดูเฉินหวี่ จากนั้นหยุดและจ้องมองเขา  “ท่านคิดว่าเราทำไม่ได้หรือ?”
ปิงยืนพ่นควันอยู่ข้างๆ ราศีเขาหมองลง
เฉินหวี่ถึงกับขนสันหลังตั้งชัน และตอบตามเหตุผลทันที  “ข้าน้อยหมายถึง ฝ่าบาทมากับใต้เท้าปิงเท่านั้นหรือ! เพราะท่านทั้งสองมาพร้อมกันก็ยิ่งมีหลักประกันเพิ่มขึ้นทวีคูณ!
ล่วงเกินผู้นำที่ใหญ่ที่สุด เป็นเรื่องโง่ที่ข้าเฉินหวี่จะไม่ทำแน่
 “ฮ่าฮ่า เป็นไปตามคาด ท่านช่างมีสายตายาวไกลจริง”  ถังเทียนยกย่องเฉินหวี่เสียงดัง
 “อธิบายสถานการณ์ให้เราฟังด้วย”  ปิงพ่นควันและกล่าวซึ่งทำให้เฉินหวี่หายความรู้สึกเสียวสันหลัง และเขาถอนหายใจโล่งอก เขาพบว่าเป็นเรื่องแปลก พลังของใต้เท้าปิงธรรมดามาก ทำไมถึงทำให้เขากระวนกระวายได้?
ติงตังมองดูพวกเขาเงียบงัน  นางคุ้นกับมารยาทที่เอาแน่นอนไม่ได้ของถังเทียนเสียแล้ว นางเคยเห็นสถานการณ์ที่แย่กว่านี้มาแล้ว
 “สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน”  ติงตังพูดอย่างมืออาชีพเมื่อถึงเวลาเป็นงานเป็นการนางจะใช้รูปแบบการพูดที่นางฝึกฝนมาทันที  “ดวงตาเซกซ์แทนส์อยู่ในมือของเจ้าสำนักชางหยางหวี่เจ้าของสำนักชางหยาง และเป็นหนึ่งในของสะสมของเขา  สำนักชางหยางเป็นสำนักฝึกยุทธที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ และธุรกิจของชางหยางหวี่มีข้อมูลน้อยมาก  ไม่มีใครรู้พลังความแข็งแกร่งของเขา ในด้านนี้ให้ท่านเฉินพูดจะเหมาะกว่า”
เฉินหวี่พูดเสียงทุ้ม  “ปกติจะมีการต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างสำนักยุทธ  การเอาชนะสำนักยุทธอื่นได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่ไม่มีใครกล้าต่อสู้กับสำนักชางหยาง สำนักยุทธชางหยางจึงได้รับการยกย่องให้เป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์แน่นอน เพราะชางหยางหวี่มีศิษย์สามคนที่มีชื่อเสียงมาก  ศิษย์คนโตชื่อฟู่จงซาน  คนรองคือหยางเฮ่าหลาน และคนสุดท้ายคือ หลีรั่ว  เป็นระดับเซียนกันทุกคน”
 “เป็นระดับเซียนกันทุกคนหรือ?  แข็งแกร่งมากหรือ?”  ถังเทียนเบิกตากว้าง  เขาประหลาดใจ
หน้าของเฉินหวี่เขียวคล้ำขณะเขาพยักหน้า  “ตระกูลหนึ่งกับสามเซียน โดยพื้นฐานไม่มีสำนักยุทธแห่งไหนกล้าต่อสู้กับสำนักยุทธชางหยาง  มีสามเซียนคอยสนับสนุนอยู่ใครจะกล้าเล่า?  ไม่ใช่แค่เพียงสำนักเท่านั้น  ทั่วกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์มีสามเซียนตั้งแต่แรกก็ไม่มีโจรปล้น และเมื่อใดก็ตามที่มีนักสู้จากถิ่นอื่นเข้ามา  พวกเขาจะไม่กล้าเหิมเกริมจนเกินไป  ดังนั้นสำนักชางหยางจึงมีชื่อเสียงในกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์  กฎของสำนักชางหยางก็เข้มงวดที่สุดเช่นกัน เมื่อศิษย์มีการล่อลวงหรือข่มขืนก็จะถูกฟู่จงซานตัดหัวต่อหน้าสาธารณชน”
 “โหดร้ายมาก!  ถังเทียนอ้าปากกว้าง  หน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
 “ไม่ใช่แค่นั้น” ติงตังกล่าว  “เมื่อเรากำลังสืบสวนดู  เราพบว่าสำนักชางหยางแข็งแกร่งมากกว่าที่เราคิด  นอกจากจะมีสามเซียนแล้วสำนักชางหยางยังมีนักสู้ระดับทองราวๆ สิบหกคน  ด้วยพลังขนาดนั้นพวกเขาจึงแข็งแกร่งมากกว่าตำหนักระนาบกลางหลายแห่งเลยทีเดียว”
 “เมื่อเราสืบลึกลงไป ชางหยางหวี่ก็ยิ่งยากจากหยั่งถึง”  ติงตังชำเลืองมองถังเทียน  “และเราพบคนอาชีพเดียวกันเป็นจำนวนมาก”
 “อาชีพเดียวกัน? หมายความว่าไง?”  ถังเทียนไม่เข้าใจ
 “ผู้คนที่กำลังสืบค้นเหมือนอย่างพวกเรา”  ติงตังหน้าเขียวคล้ำยิ่งขึ้น  “มีทั้งองค์การวิญญาณมืดและสมาพันธ์ชาวยุทธ เป้าหมายของพวกเขามีแนวโน้มว่าจะเป็นดวงตาแห่งเซกซ์แทนเหมือนกัน เพราะเร็วๆ นี้ใครบางคนได้ยินเรื่องราวของมัน  ถ้าไม่เพราะท่านเฉิน  เราคงไม่สามารถได้ข้อมูลเหล่านี้”
เฉินหวี่ตอบทันที “ข้าน้อยมีรายงานอยู่สองสามอย่าง แต่ไม่กล้ายืนยัน  ข้อมูลมีน้อยมาก  เรารู้แต่เพียงว่าชางหยางหวี่มีดวงตาเซกซ์แทนส์  แต่เราไม่สามารถค้นพบได้ว่าใช้ทำอะไร  และมีเรื่องหนึ่งที่แปลกมาก คือทุกครึ่งเดือนสำนักยุทธชางหยางจะปล่อยคลื่นที่แปลกประหลาดมาก”
 “ระลอกคลื่นที่แปลกมาก?”  ปิงหันควับทันที
 “ถูกแล้ว” เฉินหวี่อธิบาย  “เริ่มขึ้นราวๆ สี่เดือนที่แล้ว ใต้เท้าก็คงรู้เช่นกัน กลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ผลิตสมบัติดวงดาวหลายชนิดที่สามารถใช้ตรวจสอบและใช้อ่านได้ และหลายๆ คนได้ตรวจสอบระลอกนี้  แต่ทุกคนคิดว่าอาจเป็นไปได้ว่าใครบางคนในสำนักชางหยางจะบรรลุระดับเซียน  แต่หลังจากนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นและหลังจากนั้นทุกกึ่งเดือนก็จะมีระลอกออกมาอีกครั้ง ข้าน้อยกำลังคิดว่า  เป็นไปได้ไหมที่ระลอกประหลาดนั่นมาจากดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์  มันอาจปล่อยออกมาก็ได้?”
 “อาจเป็นไปได้”  ปิงพยักหน้าช้าๆ ประกายแปลกประหลาดฉายวูบในดวงตาเขา
 “เราควรลอบเข้าไปในกลางคืนไหม?”  ถังเทียนตื่นเต้นที่ได้เบาะแสหลายอย่างในวันแรก  ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีจริงๆ
เฉินหวี่มีสีหน้าซับซ้อน
 “มีปัญหาหรือ?”  ปิงสังเกตสีหน้าของเฉินหวี่ จึงเคาะเถ้าบุหรี่ออก  เขาถามตามตรง
 “ใต้เท้าสำนักชางหยางมีการคุ้มกันเข้มงวด และจากที่ข้ารู้  พวกเขามีคนอยู่สองสามคนที่มีสมบัติที่สามารถตรวจได้ เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เรายังคงเตรียมตัวลอบเข้าอยู่ด้านนอก มีคนสอดแนมจากองค์การวิญญาณมืดคนหนึ่งลอบเข้าไป เมื่อมีคนขององค์การวิญญาณมืดลอบเข้าไป ในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงเขาก็ถูกฆ่า” เฉินหวี่คิดเรื่องคืนนั้นแล้ว เขาหนาวสะท้านในหัวใจ
 “นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี”  ติงตังพูดและเสนอความเห็นทันที  “มีคนสังเกตการณ์อยู่ที่นั่นมาก  ทันทีที่มีความเคลื่อนไหว  เราจะถูกเปิดเผย  และคู่ต่อสู้มีสามเซียน และยังไม่รู้ว่าชางหยางหวี่แข็งแกร่งขนาดไหนอีก และยังมีนักสู้ระดับทองอีกจำนวนหนึ่ง  ถ้าเราลงมือเคลื่อนไหว  เราจะไม่ได้เปรียบอะไร”
 “ถูกแล้ว, ฝ่าบาท ทำไมไม่ให้ข้าส่งศิษย์ลอบเข้าไปในสำนักมวยชางหยางล่ะ”  เฉินหวี่เสนอทันที  “ทุกๆ ปีเวลานี้ สำนักมวยชางหยางจะเปิดคัดเลือกศิษย์  เรื่องดีสำหรับสำนักมวยชางหยางก็คือพวกเขาไม่ปฏิเสธศิษย์สำนักมวยอื่นให้เข้าร่วม  สำหรับสำนักมวยอย่างเรา ทุกๆ ปีเราจะได้รับโควตาแนะนำแน่นอน  นั่นยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการรับศิษย์  โควตาเหล่านี้มีมูลค่าเป็นเงินมหาศาล”
ติงตังเสริม  “สำนักมวยชางหยางใช้วิธีนั้นและขยายการควบคุมสำนักมวยอื่น และควบคุมกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์”
 “เป็นวิธีที่ฉลาด”  ปิงยกย่อง
 “เราไม่จำเป็นต้องใช้ใครอื่น  ข้าจะไปเอง!  ถังเทียนกล่าวโดยไม่ลังเล
สีหน้าเฉินหวี่ชะงักค้าง หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เขาค่อยพูดออกมาอย่างยากลำบาก  “ฝ่าบาทกำลังล้อเล่นอยู่แน่ สถานะฝ่าบาทสูงส่ง...”
 “ข้าไม่ได้ล้อเล่น”  ถังเทียนส่ายศีรษะ  “พวกเขาคัดเลือกศิษย์ปีละกี่ครั้ง?”
 “ครั้งเดียว” เฉินหวี่ตอบ
 “ดังนั้น ถ้าเราล้มเหลวครั้งนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปใช่ไหม?”  ถังเทียนส่ายศีรษะรัว  “ไม่ล่ะ,  ข้าจะไปเอง!
 “แต่...” เฉินหวี่ยังคงพยายามแนะนำเขา
 “ให้เขาไปเถอะ!  ปิงพูดทันที  “เขามีวิธีปกป้องตัวเองได้”
 “และ ข้าสามารถเปลี่ยนหน้าได้”  กล้ามเนื้อใบหน้าของถังเทียนเริ่มดิ้น และเปลี่ยนแปลงจนใบหน้าแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง  ไม่มีตำหนิอะไร
พลังงานที่น่าพอใจยังคงเพิ่มอยู่ลึกๆ ในไขกระดูกของเขา
******************

ในขณะเดียวกันกับที่ถังเทียนเตรียมแทรกซึมเข้าสำนักมวยชางหยาง  หลิงซิ่วกำลังตระเวณค้นหาอยู่ในป่าอย่างขมขื่น
 “ดูเหมือนน่าจะอยู่ที่นี่?”  เขาไม่มั่นใจ
มองดูรอบๆ หนึ่งต้น สองต้น สาม สาม สาม....
 “เอ่.. ทางออกไปทางไหนหว่า?”  หลิงซิ่วพึมพำ  “มันออกไปได้ยังไง ข้ายังไม่ทันได้แทงมันเลย”
วิเวียนอยู่บนหลังของเขามีผ้ายัดปากไว้ นางมีสีหน้าประหลาด
พี่หลิงก็งี่เง่าจริงๆ ประสาทแยกแยะเส้นทางของเขาต่ำจนน่าสงสาร...
ตำแหน่งที่หลิงซิ่วได้สู้กับเจ้าเมืองมิซาร์ก่อนนั้นมีคนยืนอยู่ตรงนั้นสองคน  เจ้าเมืองมิซาร์ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเห็นได้ชัด  ชุดของเขาชุ่มเลือดใบหน้าซีดขาว
 “เมื่อหอกของเขาสามารถทำร้ายเจ้าได้  พลังของเจ้าเด็กนี่ไม่ได้อ่อนแอเลย”  คนที่พูดคือเจ้าเมืองอาเลียธ เขาดูราวกับอายุ 30 ปี  มีผิวขาวท่าทางเรียบง่าย สบายๆ ปากของเขามีรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
แววโกรธฉายอยู่ในดวงตาของเจ้าเมืองมิซาร์  ขณะที่เขาตอบอย่างเย็นชา  “เจ้าจะรู้เมื่อเจ้าลองดู”
 “เอ่..จากร่องรอย, เขาจะกลับมาหรือ?”  เจ้าเมืองอาเลียธประหลาดใจ
 “น่าจะวางใจได้”  เจ้าเมืองมิซาร์พูดเย็นชา  “เขายังคงบาดเจ็บและคงจะเสียเวลาบ้าง”
เจ้าเมืองอาเลียธหัวเราะลั่น  “ดูเหมือนสถานการณ์ของเขาก็ไม่ดีเหมือนกัน ใช้แผนตื้นๆ และโง่เขลาก็สนุกดีเหมือนกัน  ข้ารู้สึกได้ว่าเขาอยู่ที่ปลายเส้นทางเขาแล้ว”
 “หยุดพูดไร้สาระ  รีบไล่ตามไปได้แล้ว!  เจ้าเมืองมิซาร์พูดเย็นชา
ทั้งสองคนเหินออกไปเหมือนควันจาง  พวกเขามุ่งตรงไปยังเทือกเขาพญาหมีอย่างเร็วที่สุด
หลิงซิ่วไม่รู้สึกเหนื่อยล้า  แต่เขารู้สึกว่าจะหลงทางเสียแล้ว  เขาโกรธหนักและตะโกนลั่นป่า จนหมู่นกหวาดกลัวบินเตลิด
 “เฮ้, พวกเจ้าอยู่ไหน!
 “ออกมาสิเว้ย! มาสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง!
 “ขี้ขลาด, ไม่กล้านี่หว่า, สวะแท้ๆ”
 “พวกเจ้าไม่ไล่ล่าข้าอีกแล้วหรือไง?  ข้าอยู่นี่  ข้าอยู่นี่  กุมารีศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่นี่ด้วย
 “ไอ้พวกบ้า!  ทำไมพวกเจ้าถึงได้โง่กันอย่างนี้นะ”
……

หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน  เขาก็ยังรู้สึกว่าลมที่พัดใส่เขาก็ยังเป็นลมในป่าแห่งเดิม  นกกาก็ยังคงเป็นนกกาชุดเดิม หลิงซิ่วตะลึง
วิเวียนหลับตาตลอดเวลาช่วงนี้  นางสิ้นหวัง และสงสัยขึ้นมาทันทีว่าจะสามารถกลับไปยังเทือกเขาพญาหมีได้หรือไม่?

2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

555.ยังจะด่าเขาว่าโง้อีก ตกบงใครโง่หว่า

neng2006 กล่าวว่า...

555 อ่านกี่ทีๆก้อยังสนุกเหมือนเดิม ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น