เล่มที่ 8
เดินทางไกลหมื่นกิโลเมตร – ตอนที่ 19 ค้นหาและคร่ากุม
รับตำแหน่งเจ้าเมืองสองปีจากนี้น่ะหรือ? ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงสองปีนี้? ภายใต้การปกครองของท่านหญิงเว็ดคีนจะอดทนผ่านสองปีไปได้ยังไง?
“ข้าคิดว่าข้ามีความสามารถเท่าที่จำเป็นแล้ว”
คีนกล่าวอย่างหนักแน่น
หน้าของท่านหญิงเว็ดเคร่งขรึมเล็กน้อย “คีน, ใจเย็นๆ เจ้ายังเป็นแค่เพียงเด็กคนหนึ่ง หัวเมืองเซียร์มีพลเมืองหลายแสนคนต้องดูแล
ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถรับหน้าที่หนักหน่วงขนาดนี้ได้”
ถึงตอนนี้เจนน์ซึ่งอยู่ข้างๆ
คีนกล่าว “ท่านป้า,
ราชกฤษฎีกาไม่มีข้อกำหนดบอกไว้ว่าผู้รับตำแหน่งจะต้องมีอายุเป็นผู้ใหญ่ก่อนจะรับตำแหน่งเจ้าเมือง”
ท่านหญิงเว็ดมองดูเจนน์
เจนน์ไม่อ่อนข้อนางจ้องท่านหญิงเว็ดกลับ สตรีทั้งสองคนอายุต่างกันต่างจ้องมองกันและกัน
“ก็จริง”
ท่านหญิงเว็ดหัวเราะ
“ตามราชกฤษฎีกาไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าผู้รับตำแหน่งจะต้องอายุถึงก่อนรับตำแหน่งเจ้าเมือง อย่างไรก็ตาม...”
ท่านหญิงเว็ดทำท่าเศร้าเล็กน้อย “เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากบิดาของเจ้าจากไป
เมื่อทางตระกูลได้ทราบข่าวนี้ เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะให้พี่ชายของเจ้ารับตำแหน่งเจ้าเมือง
แต่อนิจจา ลูกที่น่าสงสารของข้า...”
“หลังจากพวกเขารู้ว่าคีนอายุเพียงสิบสี่ปี
ทางตระกูลออกคำสั่งมาว่าเมืองเซียร์คือหนึ่งในเมืองปกครองสำคัญของมณฑลพายัพและตั้งอยู่ติดกับเมืองหลวงเบซิล การจัดการเมืองเซียร์เป็นเรื่องสำคัญ ทางตระกูลสั่งมาว่าคีนต้องมีอายุครบก่อนจึงจะรับตำแหน่งเจ้าเมืองได้”
“ตระกูล?”
เจนกับคีนตะลึงกันทั้งสองคน
เมื่อได้ยินคำสั่งนี้จาก
“ตระกูล” ทั้งเจนน์และคีนเลิกตั้งป้อม ในฐานะลูกหลานตระกูลชาร์ค
เจนน์กับคีนรู้ความหมายเมื่อตระกูลเป็นฝ่ายออกคำสั่ง
“ท่านป้า, ตระกูลได้ตรากฎนี้ขึ้นมาจริงหรือ?” เจนน์จ้องมองท่านหญิงเว็ด
ท่านหญิงเว็ดขมวดคิ้วขณะจ้องมองเจนน์ “เจนน์ เจ้าคิดว่าข้ากล้าปลอมคำสั่งในนามของตระกูลหรือ? อืมม.. ก่อนที่คีนจะได้รับตำแหน่งเจ้าเมือง
เรื่องทั้งหมดในเมืองปกครองเป็นหน้าที่ของข้า”
“ในฐานะว่าที่เจ้าเมือง
ข้ามีสิทธิ์จะเลือกผู้ดูแลส่วนตัวของข้าเอง” คีนร่ำร้องออกมาอย่างไม่สบายใจ
ท่านหญิงเว็ดจ้องมองคีนอย่างเย็นชา
ตอนนี้ลินลี่ย์ซึ่งเงียบมาตลอดเวลา
พูดขึ้นทันที “ท่านหญิงเว็ด
ตระกูลที่ท่านอ้างไม่ได้ออกคำสั่งให้ท่านเป็นผู้ดูแลเมืองในนามของเจ้าเมืองใช่ไหม?”
ท่านหญิงเว็ดตะลึง
ไม่ว่านางจะกล้าเพียงไหน นางไม่กล้าอ้างคำสั่งจากตระกูลเป็นแน่
เจนน์และคีนทั้งสองคนเป็นสมาชิกของตระกูลชาร์คโดยสายเลือด
ขณะที่ตระกูลชาร์คเองเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลอำนาจรุ่งเรืองอยู่ในจักรวรรดิโอเบรียน
ทั่วทั้งมณฑลพายัพ
หนึ่งในเจ็ดมณฑลใหญ่ของจักรวรรดิโอเบรียนตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลชาร์ค
บิดาของเจนน์และคีน
เว็ด ชาร์คเป็นลูกหลานของตระกูลชาร์ค
ไม่เพียงแต่เป็นลูกหลานสืบสายตระกูลเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะได้รับการสนับสนุนของตระกูลชาร์ค คนขี้ขลาดอย่างเว็ด
ชาร์คจะได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองได้ยังไง?
แต่ตอนนี้
เว็ดตายแล้ว
ในสายตาของตระกูลชาร์ค
เมืองปกครองเซียร์จะต้องตกอยู่ในอารักขาและในการจัดการของตระกูลชาร์คเป็นธรรมดา
แม้ว่าท่านหญิงเว็ดจะแต่งงานกับเว็ด
ชาร์ค แต่นางเองก็ไม่ใช่ผู้สืบสายเลือดตระกูลชาร์คแต่อย่างใดเลย
ไม่มีแนวโน้มว่าตระกูลชาร์คจะยอมให้ท่านหญิงเว็ดรับตำแหน่งผู้ดูแลจัดการเมืองเซียร์
“ฮึ่ม...
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกหัวโบราณในตระกูล...”
ท่านหญิงเว็ดรู้สึกเกลียดชังอยู่ในใจ
ไม่ว่าท่านหญิงเว็ดจะน่ากลัวเพียงไหน
ก็ไม่มีทางที่นางจะสามารถต้านทานตระกูลได้
แค่พวกเขาพูดคำเดียวก็สามารถเปลี่ยนสถานะนางสตรีผู้สูงศักดิ์ให้กลายเป็นขอทานได้
“ข้าอายุยังไม่เป็นผู้ใหญ่ก็จริง แต่พี่สาวของข้าใช่ ข้าจะส่งคนไปยังเมืองหลวงมณฑลเบซิล
ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสตระกูลจะยอมให้พี่สาวข้าเป็นผู้ดูแลเมืองแทนท่าน”
คีนพูดอย่างเข้มแข็ง
ไม่มีทางที่ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเจนน์,
คีนและท่านหญิงเว็ดจะสามารถคลี่คลายได้
แค่เพียงไม่กี่คำก็เผยให้ทุกคนเห็นในงานเลี้ยงดินเนอร์ในครั้งนี้
ที่สำคัญมารดาของคีนและเจนน์ถูกไล่ล่าจนตายเพราะท่านหญิงเว็ด เจนน์กับคีนก็เช่นกันกลายเป็นเหยื่อลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าตามคำสั่งของท่านหญิงเว็ดในการเดินทางครั้งนี้
“ก็ได้ ก็ได้
ถ้าพวกเจ้ามีความสามารถจะทำเช่นนั้น เชิญไปบอกตระกูลได้เลย
ข้าอยากจะเห็นด้วยตัวเองจริงๆว่าทางตระกูลจะมอบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองเซียร์ไว้ในมือเด็กผู้หญิงอายุสิบแปดปี” ท่านหญิงเว็ดเชิดหน้าพูดอย่างถือดี
หน้าของคีนก็เต็มไปด้วยความถือดีเช่นกัน
เด็กอายุสิบสี่ปีเป็นวัยที่ดื้อรั้นเป็นที่สุด ยิ่งท่านหญิงเว็ดทำท่าถือดีใส่
คีนจะตอบโต้นางมากเท่านั้น
คีนเชื่อว่าตระกูลจะยืนอยู่ข้างเขาแน่นอน ที่สำคัญคือ
เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูล
หลังจากงานเลี้ยงดินเนอร์
ลินลี่ย์ เจนน์
แลมเบิร์ตและคีนอยู่ด้วยกันทั้งหมด
หลังจากซักถามข้อสงสัยสองสามข้อ
ในที่สุดลินลี่ย์ก็ตระหนักได้ว่าตระกูลชาร์คของเจนน์และคีนมีอิทธิพลอำนาจมากมายขนาดไหน
และบิดาของพวกเขา
เว็ด ชาร์คไม่มีอะไรมากไปกว่าลูกหลานสายหนึ่งและไม่ใช่ส่วนของสายปกครองหลัก
สาขาสายอำนาจปกครองของตระกูลที่แท้จริงมีอำนาจอย่างน่าทึ่ง
ทั่วทั้งมณพลพายัพอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลนี้ และนอกจากนั้นยังเป็นการควบคุมโดยสืบสายตระกูล ตระกูลชาร์คควบคุมจัดการมณฑลพายัพมาราวๆ
พันปีแล้ว
“ราชวงศ์ของจักรวรรดิโอเบรียนมีความมั่นใจมากจริงๆ
ถึงได้ยอมให้ตระกูลเดียวควบคุมมณฑลแคว้นแห่งนี้มาเป็นพันปี”
ลินลี่ย์ถอนหายใจด้วยความทึ่ง
อาณาเขตปกครองโดยรวมยังมีขนาดใหญ่มากกว่าอาณาเขตรวมของอาณาจักรเฟนไลสียอีก
การให้ตระกูลเดียวจัดการดูแลมณฑลแห่งหนึ่งมาเป็นเวลานานทำให้ตระกูลหนึ่งสั่งสมอำนาจได้มากอย่างน่าทึ่ง
นี่คือเหตุผลทั่วไปที่ทำให้เกิดการกบฎและทำให้จักรวรรดิล่มสลาย
แต่ราชวงศ์ของจักรวรรดิโอเบรียนมีความมั่นใจมาก
เพราะ...
พวกเขามีเทพสงคราม และมีนักสู้ที่แข็งแกร่งทรงพลังมากมายจากวิทยาลัยสงคราม นอกจากนี้
มณฑลปกครองสองแห่งที่สำคัญที่สุดในจักรวรรดิโอเบรียน คือมณฑลกลางและมณฑลโอเบรียนอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์
“ตราบใดที่เทพสงครามยังอยู่
จะไม่มีตระกูลใดกล้าก่อกบฏ
ต่อให้เทพสงครามไม่เข้ามาก้าวก่ายก็ตาม
ศิษย์จากวิทยาลัยสงครามของเขาได้รับการยอมรับมาเป็นพันๆ
ปีแล้วว่ามีพลังที่น่ากลัวและน่าทึ่ง”
ลินลี่ย์เข้าใจ
เมื่อเผชิญหน้ากับพลานุภาพเช่นนั้น
กองทัพเหล่านั้นเป็นแค่ตัวตลก
กองทัพเพียงแค่ไว้ใช้อวดพลังกับคนทั่วไป
มีแต่นักสู้ระดับเซียนจึงจะสามารถกำหนดชะตากรรมของประเทศได้อย่างแท้จริง
“ตระกูลชาร์คต้องมีอิทธิพลอำนาจมากถึงได้ควบคุมมณฑลพายัพได้มาเป็นพันปี”
ลินลี่ย์บอกตัวเอง
“ฮึ่ม.. สตรีอสรพิษนั่น
ข้าไม่อยากเชื่อว่าตระกูลจะสนับสนุนนาง” คีนพูดอย่างโมโห
แลมเบิร์ตหัวเราะเบาๆ
“คุณชาย ไม่ต้องกังวลไป
ถ้าตระกูลมีแนวโน้มจะหนุนหลังนาง
นางคงไม่กล้าหาทางลงมือในคืนนี้แน่”
แน่นอน
ตอนนี้
ท่านหญิงเว็ดทั้งโกรธและผิดหวังมาก
“สองพี่น้องบ้านนอกกล้าดียังไง ถึงได้ไร้มารยาทและอวดดีนัก?
น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ส่งคนไปฆ่าพวกมันเมื่อหลายปีที่แล้ว ถ้าทำอย่างนั้น
ข้าคงไม่ต้องมีปัญหาให้ปวดหัวหลายเรื่องอย่างในวันนี้”
ในอดีตท่านหญิงเว็ดเชื่อว่าบุตรชายของนางเองจะได้เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองเซียร์คนต่อไปอย่างแน่นอน
แต่นางคาดไม่ถึงเลยว่าบุตรชายของนางจะตายเร็วนัก
“โฮลเมอร์เจ้าโง่นั่น มีอายุสามร้อยปีเสียเปล่าๆ
แต่โง่” ตาของท่านหญิงเว็ดเป็นประกายเยือกเย็นวูบ “ช่วงเวลาเกินสามร้อยปี
โฮลเมอร์คงต้องสั่งสมความมั่งคั่งเอาไว้ไม่ใช่น้อย”
….
ในเวลาดึก
เมืองเซียร์เงียบสงบ
ที่พักของโฮลเมอร์ตั้งอยู่ในเขตตะวันออกของเมืองเซียร์
กินพื้นที่กว้างใหญ่และมีหญิงรับใช้งดงามอยู่หลายคน โฮลเมอร์เป็นบุรุษที่มักมากในกามคุณ
ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวดังขึ้น
ยามเฝ้าประตูที่พักของโฮลเมอร์มองดูข้างนอกด้วยความสงสัย หน้าของพวกเขาซีดทันที ทหารประจำเมืองสวมเกราะจำนวนมากรายล้อมประตูใหญ่ไว้
“เปิดประตู”
อัศวินร่างใหญ่ท่าทางยโสสวมเกราะโลหะสีขาวและขี่ม้าย่างเหยาะร้องเรียกเสียงดังลั่น
ท่านหญิงเว็ดและพี่ชายทั้งสองของนางก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน พวกเขายิ้มขณะมองดู ตระกูลของโฮลเมอร์ไม่มียอดฝีมืออยู่เลย พอเขาตายตระกูลของเขาก็กลายเป็นชิ้นเนื้อสดที่ใครๆ
จะหยิบเอาไปก็ได้
ประตูใหญ่ค่อยๆ
เปิดออก
“ใต้เท้า
ทำไมพวกท่านถึงได้มาที่นี่ดึกดื่นป่านนี้?”
บุรุษวัยกลางคนวิ่งออกมาในสภาพยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย เขาเพิ่งลุกวิ่งออกมาจากเตียงของเขา
“เคาน์เตส”
ทันใดนั้นเขามองเห็นท่านหญิงเว็ดอยู่ที่นี่ด้วย และหัวใจเขาสั่นสะท้านทันที
ท่านหญิงเว็ดกล่าวอย่างเย็นชา
“จากหลักฐานที่เราได้
โฮลเมอร์ต้องสงสัยว่าพยายามฆ่าคีน ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองเซียร์ สมาชิกทุกคนของตระกูลโฮลเมอร์ต้องถูกจับกุม
และทรัพย์สินในตระกูลจะต้องถูกตรวจยึด”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ บุรุษผู้นั้นขาอ่อนอย่างช่วยไม่ได้ และคุกเข่าลงทันที
“ไม่นะ ท่านเคาน์เตส” บุรุษวัยกลางคนรีบกล่าว “ท่านปู่ข้าถูกพี่ชายของท่านเชิญไปต่างหาก...”
“เจ้ากล้าใส่ร้ายตระกูลขุนนางหรือ?
ระดับความผิดของเจ้าต้องเพิ่มขึ้นไปอีก
ประหารเขา”
หน้าของท่านหญิงเว็ดเย็นชา
อัศวินที่นำหน้าพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับทวนของเขาเหมือนกับอสรพิษออกจากโพรง
เสียงควับดังขึ้น ทวนเสียบเข้าที่คอของบุรุษวัยกลางคนนั้น
พี่ชายคนโตของท่านหญิงเว็ดค่อยแสดงความกล้าออกมา
เขาร้องดังๆ “ทุกคน เร็วเข้า!”
ทหารประจำเมืองเหล่านั้นพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์ทันทีเหมือนกับฝูงหมาป่าและพยัคฆ์หิวโหย งานที่ทหารประจำเมืองนี้ชอบทำที่สุดก็คือตรวจค้นยึดทรัพย์ เพราะเมื่อพวกเขาดำเนินงานเหล่านี้
พวกเขามักจะแอบยักยอกของสองสามชิ้นไว้กับตัวเอง
แต่แน่นอนพวกเขาไม่กล้าเก็บมากเกินไป
เนื่องจากหลายคนกำลังจับตามอง
“พวกท่านจะทำอะไร? พวกท่านจะทำอะไร?”
บุรุษคนหนึ่งและสตรีอีกคนแต่งตัวลวกๆ
วิ่งออกมาตะโกนลั่น ยามประจำคฤหาสน์บางคนถืออาวุธออกมาแต่ไม่มีใครกล้าลงมือ
เพราะ...พวกเขาสามารถบอกได้ว่าคนเหล่านี้เป็นทหารประจำเมือง
ยามเฝ้าบ้านส่วนบุคคลจะกล้าดิ้นรนต่อสู้กับทหารประจำเมืองได้อย่างไร?
“โฮลเมอร์ต้องสงสัยว่าพยายามลอบสังหารท่านคีน
สมาชิกทุกคนของตระกูลโฮลเมอร์จะต้องถูกจับกุม พวกที่ต่อต้านฆ่าให้หมด” หัวหน้าอัศวินพูดอย่างเย็นชา เมื่อสมาชิกของตระกูลโฮลเมอร์ได้ยิน พวกเขายืนตะลึงกันหมด
เมื่อเผชิญหน้ากับการบุกรุกโดยทหารเมืองที่ห้าวหาญ หลายๆ คนถูกจับโดยไม่ดิ้นรนต่อสู้
แต่มีคนอยู่จำนวนหนึ่งไม่ยอมจำนนและพวกเขาหันหลังวิ่งหนี พวกทหารของเมืองไล่ตามจับได้ทีละคนๆ
“นังแพศยาเว็ด” ชายชราผมขาวโพลนคนหนึ่งกล่าว “นางขอให้ปู่ช่วยนาง ตอนนี้พอท่านปู่ตายแล้ว
นางกลับมาไล่ล่าที่คฤหาสน์ของเรา นังงูพิษ”
ชายชราผมขาวออกมาจากห้องลับ
ในมือถือการ์ดแก้วเครดิตเวทสามใบ
โฮลเมอร์มีอายุสามร้อยปี บุตรชายของเขามีอยู่สองคนที่ยังมีชีวิต คนอื่นๆ แก่ตายหมดแล้ว สองคนที่เหลืออยู่เป็นลูกคนท้ายๆ
สำหรับหลานชายของเขา สำหรับหลานคนที่อายุมากสุดคืออายุสองร้อยปี
ขณะที่หลานคนเล็กสุดอายุราวสามสิบปี
“หยุด!”
ทหารเมืองสังเกตเห็นชายชราได้ทันที
ชายชราซัดผงออกไปกำมือหนึ่ง
“อืออออ” หน้าของทหารเปลี่ยนเป็นสีฟ้าทันที เขาคว้าคอตนเอง ส่งเสียงด้วยความเจ็บปวด
จากนั้นล้มลงเสียชีวิต
ชายชราส่งเสียงคำราม
วิ่งไปตามซอกซอยเล็กอย่างคล่องแคล่ว
“หยุดก่อน” เสียงดังมาจากที่ไกล
ชายชราไม่ให้ความสนใจแต่อย่างใด
กลับเร่งความเร็วหนี
“ควั่บ”
ธนูดอกหนึ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วน่าทึ่งเสียบเข้าที่หลังของชายชรา
อัศวินผมทองใบหน้าหล่อเหลาลดธนูลง
เขาหัวเราะเสียงเยือกเย็นกล่าว “เจ้าคิดว่าจะหนีพ้นหรือ? ฝันไปเถอะ
ไปค้นตัวเขาและดูว่าเขามีการ์ดแก้วเครดิตหรือไม่”
“ขอรับ ใต้เท้า”
….
ไม่เพียงแต่คฤหาสน์จะเต็มไปด้วยคนในบ้านเท่านั้น แต่วงล้อมรอบคฤหาสน์ก็มีเช่นกัน
ไม่มีสมาชิกของตระกูลโฮลเมอร์คนใดที่หนีไปได้
แม้ว่าจะมีสมาชิกบางส่วนของตระกูลรู้วิธีใช้พิษ แต่พวกเขายังด้อยกว่าโฮลเมอร์มาก
ภายในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์โฮลเมอร์
ท่านหญิงเว็ดและพี่ชายทั้งสองของนางกำลังจ้องมองสมบัติและการ์ดเครดิตเวท
“ความสามารถในการหาเงินของตาแก่นี่น่าประทับใจจริงๆ” ตาของพี่ชายท่านหญิงเว็ดเป็นประกาย
ท่านหญิงเว็ดหัวเราะอย่างเยือกเย็น “พวกท่านทั้งสองไม่ควรหลงระเริงกับสมบัติเล็กน้อยเท่านี้ เมื่อเราควบคุมตำแหน่งเจ้าเมืองได้
ความมั่งคั่งของเราจะมีมากกว่านี้เยอะ”
ในอากาศสูงเหนือคฤหาสน์โฮลเมอร์
ลินลี่ย์มีปีกโปร่งแสงอยู่บนหลังของเขา
เขากำลังบินอยู่ในอากาศมองดูฉากภาพปล้นยึดทรัพย์ข้างล่างในคฤหาสน์ของโฮลเมอร์
“ท่านหญิงเว็ดเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ โฮลเมอร์ผู้นี้ค่อนข้างโชคร้าย”
ลินลี่ย์อยู่ในกลางอากาศหัวเราะอย่างใจเย็นขณะมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างล่างทั้งหมด
4 ความคิดเห็น:
ชอบเลยคับมาบ่อยๆเรื่องนี้ขอบคุนมากคับสนุกมาก
+1เมนต์บน
ขอบคุณมากค่ะ💗💗
พระเอก สวมมาดฉลาดสุดๆหลัง3ปี55
แสดงความคิดเห็น