วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2561

ยอดยุทธไร้เทียมทาน ตอนที่ 520 กระบี่ศุภลักษณ์และกระบี่เซียนปราบสมุทร

ตอนที่  520  กระบี่ศุภลักษณ์และกระบี่เซียนปราบสมุทร
อุปกรณ์สมบัติสื่อสารในมือของโจนส์ถูกพังกระจายเป็นชิ้น
ผู้บริหารระดับสูงใช้น้ำเสียงจริงจังขอให้กองพลใบไม้แดงกลับมาและจะต้องถูกลงโทษกับการเคลื่อนกองทัพของเขา  การตายของฝูอิงก่อให้เกิดความวุ่นวายในสมาพันธ์ชาวยุทธ  และความวุ่นวายนี้กระจายตัวอย่างรุนแรงสร้างความโกลาหลให้กับสมาพันธ์ชาวยุทธโดยไม่ทันตั้งตัว  แนวหน้าพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องและพวกเขาไม่มีทางเลือกได้แต่ต้องบังคับให้กองทัพยันเอาไว้

สมาพันธ์ชาวยุทธจำเป็นต้องมองหาแพะรับบาป  ฝูอิงตายไปแล้ว  ดังนั้นผู้ที่เหมาะจะถูกตำหนิรับโทษแทนก็คือกองพลใบไม้แดง
เมื่อเห็นการกระทำของโจนส์แล้ว  สีหน้าของนายทหารผู้ช่วยถึงกับเปลี่ยน  “นายท่าน...”
โจนส์ยังคงนิ่งเงียบ  “ถ้าเราจะกลับไปแบบนี้  เราจะต้องถูกลงโทษและนั่นคือจุดจบของเราและกองพลใบไม้แดง  ตัวข้าเองไม่มีอะไรอยู่แล้ว ข้ารับได้  แต่พวกเจ้าทุกคนเล่า?  พวกเจ้าต้องการกลับไปถูกข่มเหงรังแกหรือ?  ถูกประหารชีวิตกันแบบนั้นหรือ?”
นายทหารผู้ช่วยสีหน้าเปลี่ยน
กำลังหลักของกองพลใบไม้แดงก็คือสาขาทองที่สิบ  กับนายทหารผู้ช่วยนั้นซึ่งเป็นนักสู้ชั้นทองจากสาขาทองที่สิบ  โจนส์รู้ว่านายทหารผู้ช่วยผู้นั้นจะยอมฟังคำสั่งของเขา  แต่ในช่วงเวลาที่วิกฤติ  เขาจะคิดถึงผลประโยชน์ของสาขาที่สิบตลอดไป
แต่นายทหารผู้ช่วยนั้นรู้ว่าโจนส์ไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย
อิทธิพลของฝูอิงกว้างขวางมาก  พวกเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่นอนเมื่อพวกเขากลับไป  นั่นคือวิธีที่สมาพันธ์ชาวยุทธใช้กัน  พวกเขาไม่เคยมีความเมตตา  สมาพันธ์ชาวยุทธจำเป็นต้องระงับความโกรธของคนส่วนใหญ่  การลงโทษพวกเขาจะเข้มงวดมาก  กองพลใบไม้แดงอาจจะถึงกาลอวสาน
เรื่องหนักขนาดถูกประหารชีวิต เขาไม่รู้สึกประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย
นายทหารผู้ช่วยเงียบอยู่ชั่วขณะ  จากนั้นถาม  “ท่านตั้งใจจะทำอะไรต่อไป?”
 “ตรงไปเมืองหานกู่”  โจนตอบอย่างใจเย็น  “ข้าคิดไว้แล้วว่า ทำไมกองทัพของกลุ่มดาวหมีใหญ่ถึงเข้ามาในกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ และข้าก็ได้คำตอบเดี๋ยวนี้เอง  เพราะเป้าหมายของกลุ่มดาวหมีใหญ่ก็คือกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์  พวกเขามีคนอยู่ในเมืองหานกู่”
นายทหารผู้ช่วยถามอีกครั้ง  “แล้วนั่นจะเป็นยังไง?”
 “เรามีแต่จำเป็นต้องสู้เบิกทางไปยังเมืองหานกู่ เราจะได้รู้ว่าเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่”  โจนส์ตอบอย่างใจเย็น  “ตราบใดที่เราสามารถเปิดเผยแผนการต่อสมาพันธ์ชาวยุทธได้ เราก็สามารถกำจัดข้อกล่าวหาได้”
ผู้ช่วยนายทหารมีแววตาเป็นประกาย  โจนส์พูดถูก
การยอมรับข้อกล่าวหาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของพวกเขาให้ดีขึ้น  ทำไมไม่ทุ่มเทกำลังสู้แทน  ผู้บริหารระดับสูงไม่พอใจเกี่ยวกับสถานการณ์และจงใจห้ามพวกเขาไม่ให้ตอบโต้ล้างแค้น  ถ้าพวกเขาหาหลักฐานได้สักเล็กน้อยและพิสูจน์ได้ว่าเมืองหานกู่มีแผนต่อต้านสมาพันธ์ชาวยุทธ  อย่างนั้นระดับสูงก็อาจจะคิดหาทางตอบโต้พวกเขา  ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าทุกอย่างเป็น  แผนการกำจัดสมาพันธ์ชาวยุทธ
ถ้าพวกเขาหาข้อพิสูจน์ได้อย่างนั้นกองพลใบไม้แดงไม่จำเป็นต้องถูกลงโทษ  แต่จะได้รับความดีความชอบแทน
นั่นคือโอกาสที่จะทะยานขึ้นมาอีกครั้ง
 “เมืองหานกู่ในตอนนี้อยู่ในสภาพอ่อนแอเป็นที่สุด”  โจนส์แสดงความคิดเห็น  “เซียนทุกคนถูกทำราวกับว่าเป็นกระสุนโล่มนุษย์และข้าเข้าใจนายท่านฝูอิงเช่นกัน  เพราะพวกเขาฆ่านายท่านฝูอิง  พวกเขาก็ต้องเสียสละไปมากเช่นกัน  ดังนั้นปัจจุบันนี้เมืองหานกู่ต้องอ่อนแออย่างแน่นอน”
 “ใช่แล้ว”  นายทหารผู้ช่วยไม่ลังเลอีกต่อไป และเริ่มสรรเสริญและแสดงความรู้สึก  “ท่านก็ฉลาดมากเช่นกัน”
ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นว่า ถ้าเขาสามารถยึดเมืองหานกู่ แม้ว่าเขาจะไม่พบหลักฐาน พวกเขาก็สามารถสร้างขึ้นเองก็ได้  ผู้บริหารเบื้องสูงไม่มีข้อพิสูจน์อะไรอยู่แล้ว  แต่สถานการณ์จะมีจุดเปลี่ยน  เมื่อพวกเขาพบจุดเปลี่ยนนี้ สมาพันธ์ชาวยุทธก็จะสามารถช่วยกันผลักดัน  แม้แต่สิ่งผิดก็กลายเป็นเรื่องจริงได้
เขามีความรู้สึกนับถือโจนส์มากที่สามารถคิดหาวิธีให้พวกเขาได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น  เขาเป็นคนฉลาดมาก
ทุกคนในกองกำลังใบไม้แดงกังวลกับคำสั่งจากเบื้องบน  รวมทั้งนายทหารผู้ช่วย  ทุกคนล้วนสูญเสียความหวัง  และตกอยู่ในอาการสิ้นหวัง  มีแต่เพียงโจนส์ที่สามารถสงบอยู่ได้
โจนส์พูดขึ้น  “นี่คือโอกาสเพียงอย่างเดียวของเรา  โอกาสสุดท้ายของเรา  จงไปปลอบขวัญเพิ่มกำลังใจให้พวกเขา  การต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการสู้เพื่อตัวเราเอง  เราต้องชนะเท่านั้น  แพ้ก็หมายถึงตาย”
 “ผู้น้อยจะปฏิบัติตามเดี๋ยวนี้!  นายทหารผู้ช่วยพูดโดยไม่ลังเล  ไม่มีอะไรสร้างแรงบันดาลใจได้มากกว่าการได้เห็นความหวังในสภาพสิ้นหวัง
เมื่อเห็นนายทหารผู้ช่วยวิ่งออกไปเอง  โจนส์ก็ยังรู้สึกงง
ฝูอิง  ข้าจะล้างแค้นให้เจ้า!  สายตาของเขาแฝงประกายอำหิตลึก
ความจริงต้องบอกว่าถังเทียนลงมือเพราะได้ผู้ช่วยที่ดีมากต่างหาก  ผลกระทบจากแผนการของมอนตาถือว่าน้อย  แต่สมาพันธ์ชาวยุทธไม่สามารถรบกวนกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ได้อีกต่อไป  สงครามเข้มข้นรุนแรงทำให้ทุกคนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล
การได้พักผ่อนหลังจากศึกใหญ่นั้นน่าพอใจที่สุด
แต่ถังเทียนยังมีสีหน้าอมทุกข์
ชนะก็คือชนะ  แต่เย่เฉาเกอได้ทุบมือของเขาเสียแล้ว  เดิมทีถังเทียนวางแผนจะใช้เย่เฉาเกอเรียกค่าไถ่ก้อนโตจากสมาพันธ์ชาวยุทธ  แต่ตอนนี้พวกเขาได้ฆ่าฝูอิงไปแล้ว  ข้อตกลงไม่บรรลุผล
ร้อยพันล้านเหรียญดาว เขาจะไม่รู้สึกเสียใจได้ยังไง?
แต่ความเสียใจก็เป็นเรื่องของความเสียใจ  ผลเก็บเกี่ยวจากการต่อสู้ก็ยังทำให้ถังเทียนมีความสุข  โดยเฉพาะอย่างยิ่งตู้เก็บของอควาเรียสบนตัวฝูอิง  แม้ว่าจะไม่มีเหรียญดาวมากนัก  แต่ก็มีของดีๆ อยู่มากมาย  ฝูอิงเข้าสู่สงครามในทุกที่ซึ่งเขาต่อสู้และฆ่าคนไปนับไม่ถ้วน สมบัติที่ริบมาในการต่อสู้เหล่านี้มีมากมายนับไม่ถ้วน  และของที่เขาเก็บไว้นั้นล้วนแต่มีคุณภาพเยี่ยมทั้งนั้น
มีสมบัติสองสามชิ้นที่เตรียมเอาไว้เมื่อฝูอิงเป็นเซียนระดับเงิน
ตามปกติ ความคาดหมายของเซียนระดับเงินจะต้องมีค่าพลังวิญญาณถึง 200 จุดในวิชาจิตวิญญาณสำหรับรุก  ค่าพลังวิญญาณ 200 จุดสำหรับวิชาจิตวิญญาณที่ใช้บิน และค่าพลังวิญญาณ 200 จุดสำหรับวิชาวิญญาณที่ใช้ป้องกัน
นั่นก็หมายความว่าขอเพียงมีค่าพลังวิญญาณ 600 จึงจะสามารถได้รับการยกย่องว่าเป็นเซียนเงิน  ฝูอิงมีแต่พลังรุกเท่านั้นซึ่งเป็นระดับเงิน  จึงยังไม่ได้เป็นเซียนระดับเงิน
นั่นคือระยะห่างที่ต้องปิดเอาไว้  ผู้ใต้บังคับบัญชาของถังเทียน ค่าพลังวิญญาณสูงสุด 160 จุด และถังเทียนมีเพียง 80 จุด
เกี่ยวกับค่าวิญญาณ 200 จุด ในช่วงการศึกษาและสังเกตอย่างยาวนาน  พวกเซียนพบว่าวิชาจิตวิญญาณใดๆ ที่มีค่าพลังวิญญาณเช่นนั้น เมื่อค่าของพลังจิตวิญญาณเกิน 200 จุดแล้ว  วิชาจิตวิญญาณก็จะมีคุณภาพอย่างก้าวกระโดด พลังจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ถังเทียนชื่นชมของสะสมที่มีค่าของฝูอิง
มีเม็ดลูกปัดหยินหยางเปื้อนเลือดอยู่ลูกหนึ่ง กะโหลกทองที่สมบูรณ์, กู่ฉิน (พิณจีนเล็ก) และการ์ดวิชาจิตวิญญาณอีกหนึ่งใบ
ถังเทียนให้ความสนใจการ์ดวิชาจิตวิญญาณก่อน ซึ่งนี่ไม่ใช่การ์ดวิชาจิตวิญญาณของสมาพันธ์ชาวยุทธ  การ์ดวิชาจิตวิญญาณไม่มีการระบุถึงคุณภาพ  มีแต่ตัวหนังสือสีดำเขียนเอาไว้ กระบี่ศุภลักษณ์
ค่าพลังวิญญาณเริ่มต้นก็ทำให้ถังเทียนกลัวเสียแล้ว 40 จุด! นั่นยังคงหมายความว่าถ้าจะเรียนรู้ก็ต้องมีพื้นที่สำหรับค่าพลังวิญญาณอย่างน้อย 40 จุด  ท่านต้องจำได้ว่า แสงสางซึ่งเป็นวิชาจิตวิญญาณอันดับหนึ่งของสมาพันธ์ชาวยุทธ  ค่าพลังวิญญาณเริ่มต้นเพียง 20 จุด  แค่นั้นนับว่าสูงสุดสำหรับวิชาจิตวิญญาณชั้นบรอนซ์แล้ว
หรือว่านี่คือวิชาจิตวิญญาณชั้นเงิน?
ถังเทียนประหลาดใจ  แต่ไม่มีอะไรพิเศษอยู่บนตัวการ์ด
เขาพึมพำ  “การ์ดนี้คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม? ถ้าไม่อย่างนั้นทำไมฝูอิงถึงไม่ยอมใช้เล่า?”
ทันใดนั้นเสี่ยวเอ้อที่อยู่ข้างๆ เขาร้องขึ้นว่า  “ข้าต้องการการ์ดใบนี้!
ถังเทียนหันหน้ามาดู  เขามีความสุข  แม้ว่าเสี่ยวเอ้อจะพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมตนเองให้สงบลงได้  แต่ความตื่นเต้นในดวงตาของเขากลับเผยความคิดของเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีหน้าของเขาที่พยายามข่มความตื่นเต้น พอปรากฏกับเด็กที่อายุราวๆ สามขวบ กลับดูน่ารักมาก
เสี่ยวเอ้อมีส่วนร่วมในครั้งนี้มากและถังเทียนโยนวิชากระบี่ศุภลักษณ์ให้เขาโดยไม่ลังเล  แต่เขาอดพูดไม่ได้  “สำหรับเจ้า ใจเย็นๆ ล่ะใครจะรู้ได้ว่าการ์ดใบนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่...”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขามองดูเสี่ยวเอ้ออย่างทึ่งขณะที่เสี่ยวเอ้อใช้ความเร็วสูงสุดกินวิชากระบี่ศุภลักษณ์ราวกับกินขนมกรุบกรอบ  กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ และแล้วก็หายไป
เสี่ยวเอ้อกินเสร็จแล้วก็หลับตาและลอยขึ้นในอากาศ
ทันใดนั้นเสี่ยวเอ้อลืมตาเผยให้เห็นแสงสว่างเจิดจ้า  เขายกมือน้อยๆ ทำเหมือนว่ากำลังถือกระบี่ และฟันลงเป็นแนวตรง
แสงตรงสายหนึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา
เสี่ยวเอ้อไม่ได้พูดสักคำ  ร่างของเขาปลดปล่อยพลังปราณที่มิอาจอธิบายได้  เขาแช่ตัวอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยมขนานไปกับตัวกระบี่  เขาเริ่มวาดลายเส้นของลำแสงกระบี่  ลำแสงกระบี่เหล่านี้ล้วนมีแนวตัดกันไปมาจนเป็นรูปตาข่ายแสงขนาดใหญ่
ถังเทียนจ้องมองจนกระทั่งตาของเขาว่างเปล่า
เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปสัมผัสลำแสงข้างหน้าเขาโดยไม่รู้ตัว  แต่ความรู้สึกทั้งหมดก็คืออากาศ  พวกนี้คืออะไร?
ในพริบตาเดียวร่างของเสี่ยวเอ้อก็คลุมไปด้วยตาข่ายแสง
ทันใดนั้นเสี่ยวเอ้อชี้ไปที่รอยตัดของตาข่ายแสง ซี่..... รอยสานนั้นสว่างมากขึ้นกลายเป็นจุดสว่างขนาดเหรียญกษาปณ์  ปราณเริ่มหนาแน่นอย่างเลือนรางอยู่ตรงหว่างคิ้วของถังเทียนทันที
ถังเทียนตะลึง
ดวงตาของเสี่ยวเอ้อเต็มไปด้วยสีสันมากมาย  ในทุกนิ้วจะมีจุดสว่างจุดหนึ่งขยับชี้นิ้วเหมือนกับว่าเขากำลังเดินตัวเบี้ยหมากรุก
ถังเทียนตกตะลึง  จุดแสงทั้งหมดเป็นปราณรูปแบบต่างๆ กัน มีทั้งรูปแบบที่กดขี่, นุ่มนวล, แหลมคม, ง่าย แต่สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าก็คือปราณที่แตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ มีการแปรสภาพเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วน แสงรังสีเดี๋ยวหมอง เดี๋ยวเจิดจ้า ปราณสังเกตได้อย่างเลือนลางและรู้สึกได้ยาก
ถังเทียนตกใจ หรือว่านี่จะเป็นกระบี่ศุภลักษณ์
ปราณแสงที่อยู่ต่อหน้าต่อตาของเขาทรงพลังมากเมื่อเทียบกับแสงสางของเย่เฉาเกอ
ถังเทียนมีความรู้สึกแปลกที่เขาไม่สามารถสลัดให้เป็นอิสระได้หรือคล้ายกับว่าเขาไม่รู้วิธีขยับ  ตัวจุดแสงนั้นไม่ปรากฏว่ามีอันตรายแต่อย่างใด  การผสมผสานปราณคล้ายจริง คล้ายเท็จ
เสี่ยวเอ้อดูเหมือนจะลืมเลือนทุกสิ่งอย่างเห็นได้ชัด  ใบหน้าที่น่ารักของเขาดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลทันที
กระบี่ที่เกิดขึ้นจากนิ้วของเขาหายไป มือน้อยๆ นั้นไข่วคว้าอากาศ
ซี่ ซี่ ซี่!
กระบี่ที่มีเพลิงดำไหลเวียนรอบค่อยๆ ถูกดึงออกมาจากที่ว่าง
นัยน์ตาของถังเทียนเบิกกว้างตกตะลึง  นั่นมัน.... กระบี่เซียนปราบสมุทร (ขอเปลี่ยนชื่อกักสมุทรเป็นปราบสมุทรนะครับ)
นั่นคือกระบี่เซียนปราบสมุทร กระบี่ปราบสมุทรที่ดูชั่วร้ายกลับมาอยู่ในมือของเสี่ยวเอ้อ  ความรู้สึกที่เหมือนไอปีศาจหนาแน่นชัดเจน เป็นความรู้สึกที่โดดเด่นมาก
เสี่ยวเอ้อหลับตา ใบหน้าเคร่งขรึมเฉยชา
เมื่อกวัดแกว่งกระบี่เซียนปราบสมุทรในมือ ควั่บ กระบี่ปราบสมุทรดูเหมือนจะละลายหายกลายสภาพเป็นเปลวเพลิงดำกลายเป็นลำแสงดำที่ตรง
ทันทีที่เพลิงดำมิติว่างถูกลำแสงสว่างเหมือนน้ำที่หยดลงบนเชือก  เพลิงดำนั้นก็ไหลไปตามลำแสง
ตาข่ายแสงสว่างเจิดจ้ามองเห็นด้วยตาเปล่า กลายเป็นสีดำสนิท
จุดสว่างที่มีอยู่แต่เดิมกลายเป็นจุดดำเหมือนกับจุดหมึกที่แขวนอยู่บนตาข่ายสีดำ
ปราณว่างที่กว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมไปทั้งพื้นที่  ถังเทียนรู้สึกเหมือนกับว่าเขาโฉบเข้าไปในพื้นที่ว่างและจุดดำนั้นก็มีปราณอันตรายสายหนึ่งทันที
เสี่ยวเอ้อ....
หน้าของถังเทียนถูกความตกใจครอบงำ

4 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เหมือนโดนหลอก

Unknown กล่าวว่า...

กำลังสนุกเลย

มีตน กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุนคับ

แสดงความคิดเห็น