เล่มที่ 9
สร้างชื่อสะท้านโลก – ตอนที่ 35 เป้าหมาย : แดนอนารยชน
สายลมแผ่วพัดไล้เส้นผมของลินลี่ย์ขณะที่เขานั่งสงบอยู่ในท่าทำสมาธิกับพื้น ดวงตาปิด วิญญาณของเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับแผ่นดินและสายลม
“ครืนนน...”
ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ถึงความร้อนของแม็กมาร้อนแรงที่อยู่ลึกในพื้นโลก
“วิ้ววว...”
ลินลี่ย์สามารถรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงความเร็วในสายลม ชั้นบรรยากาศตอนบนลมแรงมาก แต่ลมภายในบ้านเรือนต่างๆ
ในเมืองหลวงนั้นอ่อนมาก
ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงในสายลมทั้งหมด
เขาเพลิดเพลินกับความรู้สึกในการฝึกฝน แต่ละครั้งเขาจะได้รับความรู้ใหม่และแต่ละครั้งเขาจะมีความก้าวหน้า เขารู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขายกระดับและมีการเปลี่ยนแปลง
นี่คือเหตุการณ์ที่ปลาบปลื้มทำให้ใจของเขาสั่นไหวในแต่ละครั้ง
“คำพูดของเทพสงครามอาจจะถูกต้องก็ได้
เป็นการดีที่ผู้ฝึกให้ความสนใจในเส้นทางฝึกฝนทางเดียว กฎแห่งธาตุดินกว้างขวางและไร้ขอบเขต ขณะที่ ‘การเต้นของชีพจรโลก’ นี่ค่อนข้างลึกซึ้ง ส่วนย่อยของกฎเหล่านั้นก็ลึกเช่นกัน” ลินลี่ย์รู้สึกได้เช่นนี้
แม้ว่าเขากับเฮนด์เซนจะศึกษากฎธาตุดินทั้งคู่ แต่พวกเขาก็มีเส้นทางที่แตกต่างกัน
พลังโจมตีคลื่นสั่นสะเทือนของเขาเอง
มีระดับที่สูงกว่าเฮนด์เซนอย่างเห็นได้ชัด!
“ตึกๆ”
“ตึกๆ”
จังหวะที่เฉพาะและจังหวะของชีพจรแผ่นดินดึงดูดความสนใจของลินลี่ย์ไปหมด
ลินลี่ย์ปล่อยให้ตนเองจมดิ่งกับความสนใจและพยายามอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจความลับที่ลึกซึ้งซึ่งซ่อนอยู่ในนั้น
นับตั้งแต่ที่ได้สู้กับเฮนด์เซน ลินลี่ย์จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะสุดยอดฝีมือผู้ทรงพลังคนหนึ่งในทวีปยูลาน เขาถูกพูดถึงว่าอยู่ในระดับเดียวกับเฮนด์เซน,
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และประมุขลัทธิมืด
ในนครหลวงแชนน์ สถานะของตระกูลบาลุคก็พิเศษกว่าธรรมดาเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่า
แม้ว่าเขาจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่มีใครกล้ามารบกวนลินลี่ย์อีกต่อไป
“ด้วยการรู้แจ้งใหม่
ข้ามีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป”
ลินลี่ย์ลืมตา มีรอยยิ้มที่มิอาจซ่อนเร้นไว้ในใบหน้าได้ ลินลี่ย์ถอนหายใจด้วยความรู้สึกทึ่ง
“แม้ว่าการเต้นของชีพจรโลกจะแฝงไปด้วยความลับที่ลึกลับและลึกซึ้ง
แล้วกฎแห่งธาตุดินมีความกว้างขวางไร้ขอบเขตเพียงใดกันแน่”
มิน่าเล่า...การเป็นระดับเทพถึงได้ยากนัก
และแม้แต่บุคคลที่มีความสามารถที่เหลือเชื่ออย่างเทพสงครามยังเป็นได้แค่เทพระดับต้นทั้งที่ผ่านมานานถึงห้าพันปีแล้ว
“พี่ใหญ่!” วอร์ตันและพี่น้องบาร์เกอร์วิ่งเข้ามาหา
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้ากำลังมา” ลินลี่ย์หัวเราะและลุกขึ้นยืน เมื่อเขาปรับตัวเข้ากับโลก ลินลี่ย์รู้สึกว่าวอร์ตันและคนอื่นๆ
กำลังเดินเข้ามา
หลังจากทุกคนทานอาหารกลางวันเสร็จ
“ท่านซาสเลอร์”
ลินลี่ย์ลุกขึ้นยืนและยิ้มขณะที่เขาทำท่าบอกซาสเลอร์ เขาพาซาสเลอร์เข้ามาในลานฝึกของเขาเอง ทั้งสองคนนั่งลงหันหน้าเข้าหากัน
“ใต้เท้าลินลี่ย์ ท่านต้องการอะไรหรือ?” ซาสเลอร์พูดอย่างสงสัย
ความรู้สึกซับซ้อนปรากฏอยู่บนใบหน้าของลินลี่ย์ เขาถอนหายใจ
“ท่านซาสเลอร์ ท่านก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลบาลุคของข้า” ซาสเลอร์อยู่ที่นี่มานานแล้วในตอนนี้ เป็นธรรมดาที่เขาได้เรียนรู้ แน่นอนว่าเขารู้ทุกอย่าง ซานเลอร์พยักหน้าทันที
ลินลี่ย์พูดอย่างใจเย็น
“พ่อแม่ข้าตายไปแล้วทั้งคู่และตัวการหลักก็คือศาสนจักรเจิดจรัส ในอดีต เมื่อข้าออกจากเมืองเฮส
ข้าสาบานว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะล้มล้างและขุดรากถอนโคนศาสนจักรเจิดจรัส”
ซาสเลอร์รู้เรื่องเป้าหมายนี้ของลินลี่ย์ดี
ลินลี่ย์มองดูซาสเลอร์ “ข้ารู้ว่าตอนนี้
พลังของข้ายังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ มีบีบี แฮรุและพี่น้องบาร์เกอร์..
ข้ามั่นใจในความสามารถของตัวเองว่าจะรับมือกับศาสนจักรเจิดจรัสได้
ข้ากำลังเตรียมตัวเริ่มลงมือกับศาสนจักรเจิดจรัส!”
“เจ้าจะเริ่มแล้วหรือ?” ซาสเลอร์ตกใจ
ลินลี่ย์กำลังวางแผนลงมือกับศาสนจักรเจิดจรัสโดยเปิดเผยอย่างนั้นหรือ?
“ลินลี่ย์,
แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงที่ว่าพลังของเราในตอนนี้น่ากลัว
แต่รากเหง้าของศาสนจักรเจิดจรัสก็หยั่งไว้ลึกมากเช่นกัน...” ซาสเลอร์พยายามปรามเขา แม้แต่เขาก็เช่นกัน ต้องการจะทำลายศาสนจักรเจิดจรัส พวกเขาต้องฉลาดรอบคอบในเรื่องนี้
ลินลี่ย์ยิ้มและโบกมือ “ไม่, ข้าไม่ได้ไปสู้กับพวกเขาโดยตรง”
“ครั้งล่าสุด
ข้าได้ยินท่านพูดถึงดินแดนอนารยชน
ท่านบอกว่าศาสนจักรเจิดจรัสให้คุณค่าพื้นที่นี้สูงมากไม่ใช่หรือ และนั่นก็มีพลังอำนาจอยู่ที่นั่นอีกมากใช่ไหม?” ลินลี่ย์ถาม
ซาสเลอร์อายุเกินแปดร้อยปีแล้ว และเขาใช้ชีวิตที่ดินแดนอนารยชนมาหลายปี
“แน่นอน พวกเขาให้คุณค่ามัน”
ซาสเลอร์อธิบายรายละเอียด “ลินลี่ย์!
เกี่ยวกับความเข้าใจของศาสนจักรเจิดจรัสตามความคิดเห็นของข้า นอกจากบูชายัญวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับมหาเทพเจิดจรัสแล้ว มหาเทพเจิดจรัสยังต้องการสาวกอย่างเพียงพอ! ยิ่งพวกเขามีคนนับถือมากขึ้น
มีศรัทธามากขึ้น
ศาสนจักรเจิดจรัสก็จะเผยแพร่ให้แสงแห่งเทพเจ้าไปได้ทั่วโลก นี่คือเป้าหมายโดยตรงของพวกเขา”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
ซาสเลอร์ดีดเล็บ “ลินลี่ย์ ในทั่วทั้งทวีป
พื้นที่ซึ่งวุ่นวายปั่นป่วนที่สุดก็คือทุ่งราบใหญ่ตะวันออกไกล แดนอนารยชนและแปดแคว้นอิสระตอนเหนือ!”
“ที่นั่นแหละ
แปดแคว้นอิสระทางตอนเหนือมีส่วนร่วมทำสงครามอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มนักรบบนหลังม้าแห่งทุ่งราบใหญ่ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดร้าย
ความกระหายเลือดมันเข้ากระดูกพวกเขาเสียแล้ว เป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะเทิดทูนบูชามหาเทพเจิดจรัส?
จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่นักรบบนหลังม้าไม่ถูกศาสนจักรเจิดจรัสเกลี้ยกล่อมเป็นพวกได้สำเร็จ” ซาสเลอร์พูดช้าๆ “ขณะที่แปดแคว้นอิสระตอนเหนือ
พวกแปดแคว้นอิสระตอนเหนือบูชาเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งอยู่แล้ว”
“เจ้าแม่หิมะน้ำแข็ง?”
ลินลี่ย์ไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแปดแคว้นอิสระทางตอนเหนือมากนัก
“ถูกแล้ว” ซาสเลอร์พยักหน้า
“แม้ว่าแปดแคว้นอิสระทางตอนเหนือจะทำสงครามกันเองต่อเนื่อง
แต่เทวาลัยของเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งก็มีอำนาจอยู่ในกลุ่มของแว่นแคว้นทั้งแปดแน่นอน และความลับของเทวาลัย (ตำหนักเทพ)
ของเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งก็มีมากเหลือคณานับ
และนอกจากนี้เทวาลัยเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งไม่มีความทะเยอทะยานทั้งยังอยู่ภายในแปดแคว้นอิสระตอนเหนือมาตลอดเวลา จึงเป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง
ที่ศาสนจักรเจิดจรัสไม่ต้องการไปตอแยพวกเขา และสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งทรงอำนาจ”
ลินลี่ย์หัวเราะ
ลินลี่ย์มักประหลาดใจเรื่องนี้เสมอมา
แปดแคว้นอิสระตอนเหนือตั้งอยู่ใกล้ทิศเหนือของไพรทมิฬ
มีพรมแดนตามธรรมชาติก็คือ จักรวรรดิโอเบรียนและพื้นที่ครอบคลุมประมาณมณฑลหนึ่ง
ด้วยอำนาจของจักรวรรดิโอเบรียน จะครอบครองน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ทำไมพวกเขาไม่ทำ?
ตอนนี้ลินลี่ย์เข้าใจแล้วว่านี่ต้องเกี่ยวกับเทวาลัยของเจ้าแม่หิมะน้ำแข็ง
“เนื่องจากสองที่เหล่านี้ไม่เป็นที่ต้องการ ก็มีแต่เพียงที่เดียวซึ่งเหลืออยู่ก็คือดินแดนอนารยชน!” ซาสเลอร์ถอนหายใจ “ดินแดนอนารยชนวุ่นวายหนัก วุ่นวายจนน่ากลัว”
“วุ่นวาย?
ทำไมเป็นเช่นนั้น?”
ซาสเลอร์ถอนหายใจอย่างมีอารมณ์ “ประการแรก ในอดีตที่ผ่านมาตามที่คำนวณไว้ มีแคว้นอิสระ 48 แคว้น
แต่เขตแดนในดินแดนอนารยชนเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง
ทุกๆ สองสามปีแคว้นอิสระจำนวนหนึ่งจะเปลี่ยนไป บางทีก็มีห้าสิบ หรือบางทีก็มีสี่สิบ นั่นยากจะพูด
นี่คือเหตุผลประการแรกที่ทำให้มีความวุ่นวาย”
“เหตุผลประการที่สองที่ทำให้วุ่นวายเป็นเพราะเขตแดนของพวกเขา พวกเขาอยู่ถัดจากจักรวรรดิโอเบรียน,
จักรวรรดิโรฮอลท์และเผ่าของทุ่งราบใหญ่ตะวันออกไกล กลุ่มอำนาจทั้งสามส่งผลต่อพวกเขา!”
“เหตุผลของความวุ่นวายประการที่สามก็คือ
เพราะทั้งศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาต้องการมีอิทธิพลเหนือดินแดนอนารยชน
ในแผ่นดินเหล่านี้ทั้งสองลัทธิศาสนามีอำนาจและอิทธิพลมาก ทั้งสองลัทธิศาสนาต่างต่อต้านกันอย่างรุนแรงและการต่อสู้ระหว่างพวกเขายังคงมีอยู่ต่อไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ลินลี่ย์อดถอนหายใจไม่ได้ ถ้าเพราะเงื่อนไขเหล่านี้
ดินแดนอนารยชนยังจะไม่มีความวุ่นวาย นั่นคงจะไม่สมเหตุผลเลยแม้แต่น้อย
“ยังมีเหตุผลของความวุ่นวายประการที่สี่อยู่อีก!” ซาสเลอร์ถอนหายใจอย่างไม่เกรงใจ “สำหรับแดนอนารยชนตอนเหนือก็คือไพรทมิฬที่กว้างขวาง
ไพรทมิฬมีอสูรเวทมากมายไม่น้อยไปกว่าเทือกเขาอสูรศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ ยี่สิบหรือสามสิบปี หรืออาจจะทุกๆ สิบปีจะมีคลื่นอสูรเวท..
อสูรเวทนับไม่ถ้วนมาจากไพรทมิฬบุกโจมตีใส่ดินแดนอนารยชน
และนี่ไม่ใช่ภัยพิบัติธรรมดา!”
ลินลี่ย์สีหน้าเปลี่ยน
คลื่นโจมตีของอสูรเวทน่ะหรือ?
หลังจากได้มีประสบการณ์วันมหาวิบัติของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
ลินลี่ย์รู้ดีว่าคลื่นโจมตีของอสูรเวทนั้นน่ากลัวเพียงไหน นั่นคือวันพิพากษาโลกโดยแท้
“แน่นอนว่า แม้ว่าจะอธิบายด้วยคำว่าคลื่นอสูรเวท
แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับ ‘วันมหาวิบัติ’
ในเรื่องของความน่ากลัว” ซาสเลอร์หัวเราะ “อสูรเวทเกือบทั้งหมดที่มาจากไพรทมิฬจะเป็นอสูรเวทระดับกลางหรือไม่ก็ระดับต่ำ
มีน้อยมากที่จะมีอสูรเวทระดับสูงออกมาด้วย
และแม้ว่าพวกมันจะมีจำนวนมาก
ในช่วงเวลานั้นเจ้าแคว้นอิสระในดินแดนอนารยชนจะพร้อมใจร่วมมือกันกำจัดอสูรเวททั้งหมด”
ตอนนี้ลินลี่ย์เข้าใจแล้ว
ถ้ามีอสูรเวทระดับสูงไม่กี่ตัว
ความเสียหายที่คลื่นอสูรเวทเหล่านี้ก่อขึ้นจะน้อยมากกว่า นอกจากนี้
จำนวนก็ยังไม่มากเท่ากับเมื่อครั้งที่สหภาพศักดิ์สิทธิ์ถูกรุกราน
เป็นธรรมดาอยู่เองที่ปริมาณความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมีอย่างจำกัด
“ลินลี่ย์,
แต่ว่าความแตกต่างระหว่างคลื่นอสูรเวทนี้และสิ่งที่เกิดขึ้นในสหภาพศักดิ์สิทธิ์ก็คือ
คลื่นอสูรเวทที่มาจากไพรทมิฬไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว
มันเกิดขึ้นทุกสิบปีหรือยี่สิบถึงสามสิบปี และเป็นผลให้แดนอนารยชนไม่เคยสงบลงได้อย่างแท้จริง” ซาสเลอร์ถอนหายใจ
ลินลี่ย์ก็ลอบถอนหายใจเช่นกัน
เนื่องจากสี่เหตุผลเหล่านี้
จึงเป็นความจริงที่แดนอนารยชนวุ่นวายอยู่ตลอดกาล
“แม้ว่าแคว้นอิสระจะเล็ก แต่ 48 แคว้นอิสระทั้งหมดพอรวมกันก็มีพื้นที่ใหญ่โตมหาศาล
ดินแดนอนารยชนมีอยู่ครึ่งหนึ่งที่ต่อต้านจักรวรรดิโอเบรียน
ความจริงพื้นที่ของดินแดนอนารยชนครอบคลุมอยู่ในขนาดใกล้เคียงสหภาพศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน”
ลินลี่ย์พยักหน้าเช่นกัน
หลังจากวันมหาวิบัติ
สหภาพศักดิ์สิทธิ์เหลือพื้นที่ขนาดสองในสามจากที่เคยมีครั้งก่อน และแน่นอน
จักรวรรดิโอเบรียนเป็นจักรวรรดิที่กว้างใหญ่ไพศาลมาแต่แรกด้วย
ทำให้มีความรู้สึกว่าดินแดนอนารยชนมีขนาดครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิโอเบรียนจึงมีขนาดพอๆ
กับสหภาพศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน
“ดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นจึงดึงดูดความสนใจจากศาสนจักรเจิดจรัสเป็นธรรมดา
ศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาทั้งสองฝ่ายมียอดฝีมืออยู่มากและหยั่งรากเง่าไว้ลึก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ลินลี่ย์หัวเราะ
ศาสนจักรเจิดจรัสจะส่งคนไปดินแดนซึ่งมีขนาดเท่ากับสหภาพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้กี่คนกัน?
“ถ้าศาสนจักรเจิดจรัสมีเซียนสักยี่สิบหรือสามสิบคน อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องส่งเซียนไปที่นั่นห้าคน
หก หรืออาจจะเจ็ดคน” ลินลี่ย์พูดกับตัวเอง
เกาะศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ซึ่งยอดฝีมือของศาสนจักรเจิดจรัสทั้งหมดรวมกันอยู่
พวกเซียนที่ส่งไปที่แดนอนารยชนมีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่ยอดฝีมือที่ทรงพลังที่สุดที่ศาสนจักรเจิดจรัสมี
“หลังจากน้องชายของข้าแต่งงานแล้ว เราจะมุ่งหน้าไปยังดินแดนอนารยชนกัน” ลินลี่ย์มองดูซาสเลอร์และยิ้ม “เราจะทำสงครามกับกลุ่มศาสนจักรเจิดจรัสในดินแดนอนารยชน”
ขุดรากถอนโคนศาสนจักรเจิดจรัสซึ่งหยั่งรากในแดนอนารยชนมาเป็นพันปี
คงทำให้พวกศาสนจักรเจิดจรัสโกรธจนแทบคลั่งแน่นอน
“ดินแดนอนารยชนน่ะหรือ?” ซาสเลอร์นัยน์ตาเป็นประกาย “ยอดเยี่ยม!”
ลินลี่ย์ยิ้ม
การทำลายอิทธิพลซึ่งศาสนจักรเจิดจรัสสั่งสมอยู่ที่นั่นมาเกินกว่าพันปีไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ภายในปีสองปี
“ข้าจะแบ่งเวลาสำหรับฝึกส่วนหนึ่ง ขณะที่เวลาที่เหลือใช้จัดการกับพวกมัน
หลังจากทำลายอำนาจของพวกมันในดินแดนอนารยชนแล้ว
ข้าน่าจะบรรลุถึงระดับเซียนในร่างมนุษย์ได้ ถึงตอนนั้นความรู้แจ้ง ‘จังหวะเต้นชีพจรโลก’ ก็น่าจะอยู่ในระดับสูงมากเช่นกัน
ถึงตอนนั้นเราจะร่วมกันสู้กับศาสนจักรเจิดจรัสได้โดยตรง”
ลินลี่ย์วางแผนเป็นชุดต่อเนื่องในใจอย่างชัดเจน
พวกเขาจะดำเนินการตามแผนการเหล่านี้ พวกเขาจะไม่ใจร้อนเร่งรีบ ไปทีละก้าว
พวกเขาจะขุดรากถอนโคนของศาสนจักรเจิดจรัส
ก่อนนั้นวอร์ตันเคยพูดความในใจไว้ก่อนลินลี่ย์ประลองกับเฮนด์เซนว่าถ้าไม่มีเรื่องยุ่งยากเกินไปเขาจะจัดงานแต่งงานกับนีน่า ตอนนี้พวกเขากำหนดวันแต่งงานแล้ว 15 กันยายน
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาต้นเดือนกันยายน
ทางด้านคฤหาสน์ท่านเคานท์และราชตระกูลกำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานมงคลสมรส
งานฉลองแต่งงานยังจะสำคัญยิ่งกว่างานฉลองการหมั้น
ที่พักของลินลี่ย์ ในคฤหาสน์ของเคานท์วอร์ตัน
“ลินลี่ย์!
เรือและลูกเรือของเรากำลังจะเดินทางกลับจักรวรรดิยูลานแล้ว
ข้าต้องกลับไปพร้อมกับอาจารย์”
เดเลียมองลินลี่ย์ ริมฝีปากของนางโค้งลงขณะที่นางกล่าว ลินลี่ย์ที่ก่อนหน้านั้นยังยิ้มอยู่ ถึงกับยิ้มค้าง
เมื่อรู้ว่าเดเลียกำลังจะจากไป ลินลี่ย์รู้สึกใจหายวูบอย่างช่วยไม่ได้
สองสามเดือนที่ผ่านมาที่เขาใช้เวลากับเดเลีย
เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุดในช่วงชีวิตสิบปีที่ผ่านมาของลินลี่ย์
ทุกวันเขาจะมีแต่รอยยิ้ม
“เจ้าจะไปหรือ?” ลินลี่ย์ฝืนยิ้ม
“อย่างนั้นข้าขออวยพรให้เจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ”
เดเลียตอนแรกยังยิ้ม
นางสามารถบอกได้ว่าลินลี่ย์ไม่อยากจะแยกจากนาง “อย่างไรก็ตาม...
ข้าบอกอาจารย์ไว้ว่าเขาสามารถกลับได้ก่อน และข้าจะพักอยู่ที่นี่เป็นการส่วนตัว”
“หา?” ลินลี่ย์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้
“เจ้าไม่พอใจหรือ?” เดเลียขมวดคิ้ว
“พอใจ
พอใจสิ” ลินลี่ย์รีบพูด
แต่จากนั้นเขามองเดเลียอย่างเคร่งขรึม
“เดเลีย
มีบางอย่างที่ข้าต้องบอกเจ้า”
“อะไร?”
เดเลียมองลินลี่ย์อย่างคาดหวัง
“หลังจากน้องชายข้าแต่งงานแล้ว ข้ามีแนวโน้มว่าจะต้องไปดินแดนอนารยชน” ลินลี่ย์ตอบ
“โอว, อย่างนั้นข้าก็จะไปด้วย” เดเลียไม่ลังเลใจสักนิด
แต่ขณะนั้นเอง เสียงตะโกนดีใจต่อเนื่องดังจนได้ยิน
ขณะที่ร่างมนุษย์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาในที่พักลินลี่ย์ด้วยความเร็วสูง จากด้านนอกถึงประตู เสียงตะโกนของเกทส์ดังลั่น “ใต้เท้า,
พี่สี่ของข้าบรรลุเป็นนักรบระดับเก้าแล้ว!”
ห้าพี่น้องบาร์เกอร์
ตอนนี้มีสี่คนที่มีพลังระดับเซียน
“ยังมีเซียนอีกคนหรือ?” ลินลี่ย์อดยิ้มไม่ได้
ห้าพี่น้องเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนประหลาดใจได้เรื่อย จริงๆ
13 ความคิดเห็น:
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากคับ
ขอบคุณครับผม
ขอบคุณค่า เตรียมลุยดินแดนใหม่กันแล้ว
ขอบคุณครับ
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ได้เวลาประกาศให้โลกรู้แล้ว
ขอบคุนคับ
เอาเรื่องไหมละ นางเอกจะไปด้วย
ชีวิตน่าจะมีสีสันขึ้น น้ำแข็งในใจละลายมาบ้าง
เย้ๆๆๆ
แสดงความคิดเห็น