ตอนที่
697 ทดสอบ
ผิงเสี่ยวซานไม่พูด
แม้เมื่อถังเทียนจะใช้ไหมทองมัดมือเขาไขว้หลังและโยงมาถึงคอของเขาเหมือนกับลูกซาลาเปาเวลาที่ทั้งสองฝ่ายผลัดกันเคลื่อนไหวสั้นมาก แต่ในการลองกำลังนั้น
เขาเจ็บตัวจากการทุบตี
เขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่าย
และรู้ว่าพลังของอีกฝ่ายเหนือเขาห่างไกล
อยู่ต่อหน้าคู่ต่อสู้เช่นนั้น
ขืนเล่นลูกไม้มีแต่หาเรื่องให้ตนเองอับอาย
‘ถ้าเขาต้องการฆ่าข้า ข้าคงไม่มีชีวิตไปแล้ว’
ถ้าเป็นจากมุมมองของเขา
อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องมัดเขา
เขาเองก็ไม่สามารถหลบหนีได้
แต่ทัศนคติจริงจังของอีกฝ่ายทำให้เขาเลือกที่จะเงียบ
‘เขาดูอายุเยาว์มาก...’
ผิงเสี่ยวซานประหลาดใจมาก เขาลอบประเมินถังเทียน
คาดเดาเบื้องหลังของเขา ‘หรือว่ามียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ในตระกูลเซวีย? ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเขามาก่อน
แม่เฒ่าเจ้าเล่ห์ในตระกูลเซวียถูกขโมยมาก็หลายครั้งแล้ว’ ในเมืองจื่อจวน
ไม่ใช่เพียงตระกูลเดียวที่ต้องการจะขโมยของจากตระกูลเซวีย ‘นักสู้แข็งแกร่งและอายุเยาว์อย่างนั้น เขาต้องมาจากตระกูลใหญ่แน่
ไม่เพียงแต่เขาต้องมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำคนอื่น
แต่เขาต้องใช้แหล่งทรัพยากรธรรมชาติมากมายเช่นกัน’
‘เป็นไปได้ไหมว่าตระกูลเซวียจับร่องรอยบางอย่างได้และขอให้คนที่แข็งแกร่งมาช่วยสนับสนุนพวกเขาจากที่ใดที่หนึ่ง?’
‘นั่นคือการคาดเดาที่สมเหตุผลที่สุด
ไหมทองมีราคาเป็นเงินมากมาย ถ้าแม่เฒ่าเซวียใช้เป็นไพ่ต่อรอง
ก็จะมีตระกูลใหญ่หลายตระกูลยินดีจะช่วย
แม้ว่าทุกคนในแดนบาปจะผิดหวังกันหมด
แต่พวกเขาก็ยังมีประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองของพวกเขาและกลยุทธในทางการเมืองของพวกเขาก็ดีเช่นกัน การร่วมมือ
การประนีประนอมและการสู้รบจึงเกิดขึ้นถี่มาก’
ผิงเสี่ยวซานคิดอย่างรวดเร็ว และประการแรก
ถูกกำจัดไปจากเมืองจื่อจวน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนอ่อนแอ
แต่พวกเขาไม่ใช่ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนบาป ผิงเสี่ยวซานรู้จักตระกูลนักสู้ผู้แข็งแกร่งทุกคนของเมืองจื่อจวน
‘อย่างนั้นมันเป็นใคร?’
‘เขาใช้หมัด ตระกูลยิ่งใหญ่ในแดนบาปที่เชี่ยวชาญวิชาหมัดหมายก็คือตระกูลเลี่ย
มีเพลงหมัดพิฆาต
ตระกูลชี่เล่อมีเพลงหมัดดนตรีและตระกูลมู่ก็มีเพลงหมัดของตระกูลมู่เอง กฎธรรมชาติของหมัดพิฆาตเองมีพลังที่เข้มแข็งและรุนแรง
เป็นวิชาที่เดินหน้าฆ่ามันลูกเดียว ถ้าไม่ฆ่าก็ต้องเป็นฝ่ายถูกฆ่า
หมัดดนตรีของตระกูลชีเล่อเดินตามแนวกฎดนตรีมีรูปแบบที่ลึกซึ้ง วิชาหมัดตระกูลมู่ลึกลับมากที่สุด กฎธรรมชาติที่พวกเขามีไม่มีใครกล้ายืนยัน’
เมื่อคิดถึงหมัดที่เรียบง่ายแต่สั่นสะท้านใจ
ผิงเสี่ยวซานรู้สึกว่าเขาอาจจะมาจากตระกูลมู่ได้
ไม่ว่าจะเป็นหมัดพิฆาตหรือหมัดดนตรี กฎธรรมชาติชัดเจนมาก
และหมัดของถังเทียนยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้
ถ้าตระกูลเซวียพบผู้หนุนหลังในตระกูลมู่
อย่างนั้นคงไม่มีใครกล้าแตะต้องธุรกิจของตระกูลเซวียแน่
แม่เฒ่าในตระกูลเซวียมีไม้ตายซ่อนอยู่ในแขนเสื้อจริงๆ
โดยไม่มีใครรู้นางพบหนทางเชื่อมโยงกับตระกูลมู่ได้
ถังเทียนไม่รู้ว่าผิงเสี่ยวซานกำลังคิดไปไกล ทั้งสองฝ่ายปะทะฝีมือกันในช่วงเวลาสั้นๆ
แต่เมื่อได้แลกความแข็งแกร่งกันนับเป็นเรื่องดีเยี่ยม และความแข็งแรงทางร่างกายของเขาก็ยังต่ำ เขางุ่มง่ามมัดผิงเสี่ยวซาน
จากนั้นนั่งลงกับพื้นและหอบหายใจ
เขาเพิ่งจะก้าวเข้าไปในอาณาจักรกฎธรรมชาติและรู้เรื่องเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงไม่คุ้นกับการเผชิญหน้ากันมากเท่าใดนัก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งรู้แจ้ง
บวกกับการรับรู้ที่แหลมคมและความแข็งแรงที่ไม่ธรรมดา เขาคงไม่สามารถจับผิงเสี่ยวซานได้
ศึกแรกในแดนบาปก็ทำให้ถังเทียนรู้สึกกลัวเสียแล้ว ในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์
เรือรบครองอวกาศที่เต็มไปด้วยพลังหนาแน่น
แนวโจมตีซึ่งลงมานั้นเป็นภาพที่งดงาม
แต่ในแดนบาปแค่เพียงความแตกต่างกันของกฎพลังธรรมชาตินิ้วเดียวก็อันตรายมากขึ้น คาดการณ์ไม่ได้และหยั่งไม่ได้ ถ้าไม่เตรียมตัวให้ดี อาจจะนำไปสู่ความตายทันทีได้
ผิงเสี่ยวซานเองสังเกตว่าถังเทียนถึงกับอ้าปากหอบหายใจและหลั่งเหงื่อทั่วตัว
ก็ถอนหายใจโล่งอก แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เขาสามารถรับได้
“เจ้าชื่ออะไร?”
ถังเทียนปาดเหงื่อและถาม ในการต่อสู้,
กฎธรรมชาติของถังเทียนครอบคลุมทั่วคลังสินค้า และไม่มีเสียงปรากฏ ถังเทียนเข้าใจขึ้นมาบ้าง ถ้าพลังงานเป็นของแข็ง อย่างนั้นกฎธรรมชาติก็เหมือนหลักนามธรรม
เป็นเหมือนมือที่มองไม่เห็น
มือที่มองไม่เห็นนี้ไม่เพียงแต่ควบคุมพลังงานได้เท่านั้น แต่สามารถควบคุมอากาศ เสียง แสงและความมืด ฯลฯ
‘มิน่าเล่ากฎธรรมชาติระดับสูงถึงได้แข็งแกร่ง แม้ว่าจะไม่มีชื่อเสียงเท่ากับวิชาจิตวิญญาณ แต่ความผันแปรของมันไม่อาจหยั่งได้’
“ผิงเสี่ยวซาน” ผิงเสี่ยวซานตอบตามตรง
“เจ้ามาขโมยไหมทองใช่ไหม?” ถังเทียนถาม
“ใช่” ผิงเสี่ยวซานยอมรับ
ถังเทียนลูบหัวตัวเอง
เขาไม่รู้จะสอบสวนต่อไปยังไง
เรื่องแบบนั้นมักปล่อยให้เป็นความคิดของปิงผู้มีความละเอียดและเจ้าเล่ห์
การพยายามหลอกล่อและโกหกต่อหน้าเขาเท่ากับหาเรื่องลำบาก
‘ข้าไม่รู้จะถามอะไรดี..
ถ้าไม่อย่างนั้น... ดูเหมือนข้าจะล้มเหลวในงานรักษาความปลอดภัยเสียแล้ว?’
ถังเทียนเค้นสมองและในที่สุดก็ได้ความคิดอย่างหนึ่ง “เมื่อครู่นี้เจ้าพยายามใช้วิชาอะไรหลบหนี?”
ผิงเสี่ยวซานตกใจ “วิชาพรางตัวของตระกูลผิงของข้า”
“วิชาพรางตัวตระกูลผิง?” ถังเทียนลอบระบายลมหายใจ และยิ้ม
“มันไม่ใช่ชื่อเฉพาะอย่างนั้น แต่มันสามารถใช้กฎอวกาศได้ มันทรงพลังมาก
เจ้าสอนให้ข้าได้ไหม?”
ผิงเสี่ยวซานมองดูสีหน้ากระตือรือร้นของถังเทียนแล้วพูดไม่ออก
‘เจ้าผู้นี้...กำลังคิดอะไร?’
เมื่อเห็นว่าผิงเสี่ยวซานไม่พูดอะไร ถังเทียนเสริมทันที “ถ้าเจ้ายินดีสอนข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป แน่นอนว่าเจ้าไม่อาจกลับมาขโมยไหมทองในอนาคตอีก”
ผิงเสี่ยวซานมองดูถังเทียนอย่างเหลือเชื่อ เขาคงไม่พ่ายแพ้โดยมอบวิชาพรางตัว
แม้ว่าวิชาพรางตัวตระกูลผิงจะเป็นวิชาเฉพาะ แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนจากตระกูลมู่ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน สิ่งที่ทำให้เขาสับสนก็คือว่า ถ้าอีกฝ่ายต้องการวิชาลับ
เขาสามารถทรมานและเค้นเอาจากเขาได้
เงื่อนไขที่มีเปรียบเช่นนั้นทำให้ผิงเสี่ยวซานสงสัย
ถังเทียนตบอกตัวเอง “ข้าคือลูกผู้ชายตัวจริง พูดคำไหนคำนั้น!”
ผิงเสี่ยวซานเงียบอยู่ชั่วครู่ “จะ..จริงหรือ?”
“จริง
จริงสิ!”
เมื่อเห็นว่าผิงเสี่ยวซานสนใจ
ถังเทียนยิ่งดีใจและกล่าว
“ทำไมข้าต้องโกหกเจ้าด้วยเล่า?”
ผิงเสี่ยวซานรู้สึกเหมือนกัน ว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องโกหกเขา ‘ก็ได้, ต่อให้เขาหลอกข้า,
ข้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว,
ชีวิตของข้าอยู่ในเงื้อมมือของเขาแล้ว’ เมื่อคิดได้ดังนั้นผิงเสี่ยวซานพยักหน้า “ก็ได้”
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
ผิงเสี่ยวซานมองดูร่างที่กระพริบอยู่รอบๆ
ตัวเขาอย่างตกตะลึง ร่างนั้นเดี๋ยวหาย เดี๋ยวปรากฏ ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ถังเทียนก็ใช้วิชาพรางตัวของตระกูลผิงได้อย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าจะมีจุดบกพร่องอยู่หลายแห่ง แต่เขาใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง
ผิงเสี่ยวซานจำได้ว่าเมื่อเขาฝึกวิชาพรางตัวเมื่อตอนยังเด็ก
เมื่อเขายังเด็กต้องลำบากอยู่นานก่อนจะทำได้ดีขึ้น
‘เขาเรียนแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมง...’
‘ช่างเถอะ
ถ้าเขาเป็นศิษย์ตระกูลมู่
ก็ไม่มีอะไรแปลก..’
“อะไรนะ? เจ้าแซ่ถังหรือ?” ผิงเสี่ยวซานตะลึง ‘ไม่ใช่แซ่มู่ เขาไม่ได้มาจากตระกูลมู่!’
“ใช่แล้ว”
ถังเทียนโอบไหล่ของผิงเสี่ยวซาน เหมือนกับว่าพวกเขาคุ้นเคยกันและกัน “เจ้าสอนวิชาพรางตัวให้กับข้า
จากนี้ไปเจ้าเป็นพี่น้องที่ดีของข้า
ถ้ามีอะไร แค่พูดชื่อของข้า...”
ทันใดนั้นถังเทียนจำได้ทันทีว่าเขาไม่ได้อยู่ในทวีปซางโจวหรือกลุ่มดาวหมีใหญ่ เขาเปลี่ยนคำพูดทันที “ก็แค่มาหาข้า”
‘หาเจ้า...’
ผิงเสี่ยวซานมองดูถังเทียนอย่างว่างเปล่า เขารู้สึกว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเขาดูเหมือนสมองจะมีปัญหา ‘เราเป็นศัตรูกัน เราเพิ่งจะสู้กันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
และเจ้า.. โอว,, ข้ายังถูกมัดอยู่เลย’
ถังเทียนมองตามสายตาของผิงเสี่ยวซาน
และสังเกตได้ว่าผิงเสี่ยวซานยังถูกมัดอยู่
เขาหัวเราะทันที “โอว ข้าลืมไปสนิทเลย”
ผิงเสี่ยวซานมองดูถังเทียนแก้เชือกให้อย่างว่างเปล่า
ความตื่นเต้นของถังเทียนทำให้เขารู้สึกสับสน ‘เจ้านี่...
ไม่ปกติ!’
ผิงเสี่ยวซานไม่พูดอะไรออกมา แต่เขารู้สึกอึดอัดใจมาก
“ข้าไปได้แล้วใช่ไหม?” ผิงเสี่ยวซานถามอย่างระมัดระวัง
“ใช่..ไปได้เลย” ถังเทียนพูดเหมือนเป็นจริงเป็นจัง “จำเอาไว้,
ถ้าเจ้ามีเรื่องอะไร
เจ้ามาหาข้าได้”
ผิงเสี่ยวซานถามด้วยสีหน้ามึนงง “เจ้าชื่ออะไร?”
“ถังเทียน!” ถังเทียนเอามือแปะอกอย่างมีความสุข “เจ้าเรียกข้าว่าหนุ่มชาวฟ้าได้เช่นกัน”
‘หนุ่มชาวฟ้า...’
หน้าของผิงเสี่ยวซานบิดเบี้ยว
เขารู้สึกสับสนอย่างหนักกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ‘ชีวิตก็คงเป็นแบบนั้น
คาดเดาไม่ได้และสับสน แต่ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าบ้านี่’
แต่เพราะเหตุผลบางอย่างหมัดที่ดูเรียบง่ายของถังเทียนกลับผุดขึ้นมาในใจของเขา มันดูเหมือนจะฝังแน่นอยู่ในใจของเขา เขาจ้องมองถังเทียน ก็ไม่สามารถมองทะลุเขาได้ เป็นไปได้ยังไงเจ้าคนสติไม่ดีนี่ปล่อยพลังหมัดอย่างนั้นได้?
และยังใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง
เขาก็ใช้วิชาพรางตัวของตระกูลผิงได้
พรสวรรค์ขนาดนั้นสูงล้ำน่าประหลาดใจ
‘หลอกลวง!
เขาต้องหลอกอำกันแน่ๆ!’
ใจของผิงเสี่ยวซานตื่นตัว
การกระทำที่ไร้สมองของถังเทียน หลังจากตีความแล้ว
เขาถึงกับเคร่งเครียด ‘เจ้าผู้นี้กำลังวางแผนใหญ่บางอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นวิชาพรางตัวตระกูลผิง ต้องเป็นความตั้งใจของเขาแน่
เขาต้องวางแผนเอาไว้ก่อนอย่างแน่นอน
นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่ฆ่าข้า
ทำไมเขาไม่ฆ่าข้า?
เป็นเพราะเขามีแผนอยู่ในมือ!’
เหมือนกับว่าผิงเสี่ยวซานติดตาข่ายที่มองไม่เห็นซึ่งแผ่คลุมทั่วทั้งตระกูลเซวียอย่างเงียบงัน
ทำให้เขาสั่นสะท้าน
รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและไม่มีอันตรายของถังเทียนกลายเป็นน่ากลัวในสายตาของเขา
สีหน้าของผิงเสี่ยวซานเริ่มสงบลงและเขายิ่งคิดมาก
จนเขาลืมไปว่าเขาอยู่ที่ไหน
“เอ.. เจ้ายังจะไม่ไปอีกหรือ?” ถังเทียนสังเกตว่าผิงเสี่ยวซานยังยืนงงอยู่ที่จึงรู้สึกประหลาดใจ
ผิงเสี่ยวซานสะดุ้ง
เรียกสติกลับคืนมาและตอบทันที
“ข้ากำลังจะไปแล้ว!”
เพียงแค่นั้น
เขาก็หลบหนีไปโดยไม่ลังเล
ถังเทียนมองดูร่างที่น่าสงสารของผิงเสี่ยวซาน และอดเตือนเขาไม่ได้ “เฮ้, เจ้ากำลังไปผิดทาง!”
ผิงเสี่ยวซาน “.....”
หลังจากผิงเสี่ยวซานจากไป ถังเทียนยังคงฝึกต่อไป หลังจากต่อสู้แล้ว เขาได้รู้แจ้งแล้ว เกรงว่าเมื่อเวลาผ่านไป เขาจะลืม ดังนั้นเขาทบทวนฝึกฝนอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนเช้า
กลุ่มของสตรีก็วิ่งเข้ามาในเรือนคลัง
“พี่หมิงจู,
แม่นายผู้เฒ่าพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ?
โอวตายแล้ว, นี่เป็นเรื่องดีจริงๆ!”
“เรื่องอะไรกัน?
คุณนายผู้เฒ่ายังไม่ได้สอบสวนเสร็จเลยไม่ใช่หรือ? เขาแข็งแกร่งมากและกล้าหาญไม่กลัวใคร บางทีท่านอาจจะชอบเขาก็ได้”
“ข้าเกรงว่าเขาหยาบกร้านเกินไป สำหรับตระกูลเซวียของเรายังเป็นตระกูลเก่าที่มีสถานะ
จะเป็นเรื่องสะดวกสบายได้อย่างไร?
ท่านยายทำเกินไปหน่อยในครั้งนี้...”
หมิงจูทนไม่ได้อีกต่อไปและตวาด “พวกเจ้าทุกคน เงียบเลยนะ! เรื่องการตัดสินใจของท่านยายต้องให้พวกเจ้ามาคอยวิจารณ์ตั้งแต่เมื่อใด?”
กลุ่มสตรีเหล่านั้นยังคงเงียบอย่างว่าง่าย แต่มีสองสามคนที่มีท่าทางไม่สบายใจ
“การป้องกันที่คลังสินค้าเมื่อคืนนี้ยากมาก
และยิ่งกว่านั้นเรือนคลังสินค้ายังเต็มไปด้วยไหมทอง ราคาของไหมทองใครๆ ก็รู้ว่าค่าควรเมือง ปล่อยให้เขาเฝ้าดูแลอย่างนั้น
ก็ยังคงเป็นการทดสอบนิสัยของเขา”
หมิงจูมองไปรอบๆ เห็นว่าสตรีอื่นๆ กำลังคิดเลยเถิด นางแค่นเสียง “พวกเจ้าจะมองเห็นความรอบคอบของนายผู้หญิงได้ยังไง? การขอให้เขาเฝ้าดูแลสองสามคืน เราจะสามารถมองเห็นนิสัยของเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
กลุ่มสตรีพยักหน้าเห็นด้วย
“เมื่อเราไปดู
เราจะไม่รู้ทุกอย่างหรอกหรือ?”
หมิงจูกล่าว
พอดีพวกนางมาถึงหน้าประตูคลังสินค้า หมิงจูผลักเปิดประตู และข้างในสว่างด้วยแสงแดด
คลังสินค้ายุ่งเหยิง ไหมทองเกลื่อนไปทุกที่
มีร่างหนึ่งนอนกรนเสียงดังสนั่น เสียงกรนของเขาราวกะฟ้าคำราม
6 ความคิดเห็น:
ขอบคุณครับ ซ้อมหนักไปหน่อยของเลยกระจายเกลื่อนเลย
ยับ 5555
ขอบคุณครับ
ขอบใจจ้า
ขอบคุณมากครับ
ตอนจับโจรเสียไปเส้น ตอนฝึกซ้อมไปทั้งโรง
แสดงความคิดเห็น