เล่ม
14
อสูร – ตอนที่ 15 อสูรรอยัลวิง
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย!” เสียงตะโกนดังลั่น
แต่กลุ่มของลินลี่ย์ไม่สนใจเขา
ยังคงเดินหน้าต่อไป
“มีคนน่าโมโหอยู่ทั่วทุกที่ ดีที่สุดอย่าไปยุ่งกับคนแบบนี้เลย” เดเลียใช้สำนึกเทพคุยกับลินลี่ย์
“ข้าเข้าใจ”
ลินลี่ย์ไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับแคลมป์ตันผู้นี้ เขาต้องการไปจากปราสาทอสูรทันที
เขาต้องการจากไป แต่มีคนไม่ยอมปล่อยเขาไป
“ควั่บ!”
ร่างของแคลมป์ตันปรากฏอยู่ต่อหน้าลินลี่ย์
และขวางทางลินลี่ย์ไว้
ลินลี่ย์
เดเลีย และบีบีต่างมีสีหน้าไม่พอใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบีบี
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าลินลี่ย์ใช้พลังเชื่อมโยงวิญญาณตะโกนบอกเขา
บีบีคงระเบิดอารมณ์ไปแล้ว
“แคลมป์ตัน!
พวกเขาเรียกเจ้าว่าสวะ
เจ้าจะทำยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?”
คนที่อยู่ใกล้ๆ พอใจกับการก่อให้เกิดความโกลาหล ขณะที่บางคนก็พูดและหัวเราะอยู่ข้างๆ เขา บางคนก็พูดคุยหยอกล้อ หน้าของแคลมป์ตันยิ่งบิดเบี้ยวน่าเกลียดมากขึ้น
“เจ้าพวกนี้!” ยูนะที่อยู่หลังเคาน์เตอร์มีแววกังวล
พวกอสูรที่อยู่รอบด้านต่างถือแก้วเหล้า
หรือไม่บ้างก็หยอกล้อกันเอง พวกเขาทุกคนมองดูแคลมป์ตันเหมือนกับเป็นคนมีน้ำใจยิ่งใหญ่, แต่ภายในแวดวงเพื่อนฝูง
เขาค่อนข้างจะมีสถานะต่ำ ทั้งนี้เป็นเพราะแคลมป์ตันเป็นเทพชั้นสูงที่ผ่านการหลอมรวมกับประกายเทพ
แม้ว่าเขาจะเป็นเทพชั้นสูง
แต่เนื่องจากเขาหลอมรวมกับประกายเทพ
เขาจึงไม่ได้หลอมรวมเคล็ดความรู้ลึกลับ
ดังนั้นจึงเป็นเทพชั้นสูงที่อ่อนแอที่สุด
ที่สำคัญ
หลายปีมานี้เขายังคงอยู่ในระดับอสูรสามดาว
กล่าวโดยทั่วไป
เทพชั้นสูงสามารถกลายเป็นอสูรสี่ดาวได้
เขายังเป็นอสูรสามดาว... และแค่นี้เพียงเรื่องเดียวทำให้เขาตกเป็นเป้าล้อเลียน แคลมป์ตันมีพลังอ่อนแอ ปกติเขาจะไม่กล้าทำหยิ่งต่อหน้ามิตรสหายของเขา
ดังนั้นความโกรธที่เก็บกดมานานจึงต้องไประบายลงกับคนที่อ่อนแอกว่าเขาเป็นครั้งคราว
ล้อว่าอ่อนแอคือสิ่งที่แคลมป์ตันกระทำบ่อยๆ
“เจ้าเรียกข้าว่าสวะ!”
แคลมป์ตันจ้องมองลินลี่ย์ นัยน์ตาเขาแดงจาง ลมหายใจของเขาหนักหน่วงเต็มไปด้วยความโกรธ ราวกับวัวกระทิงที่เตรียมระเบิดความโกรธรุนแรงออกมา
สหายของเขาเองล้อเลียนเขา
แต่ก็ทำให้เขาพูดเพียงไม่กี่คำ
แต่เจ้าเทียมเทพผู้นี้
เจ้าเทียมเทพผู้นี้บังอาจเถียงเขากลับว่าเป็นสวะ! แน่นอนว่าแคลมป์ตันโกรธเกรี้ยว
“เจ้า, เป็นแค่เพียงเทียมเทพ ต่ำต้อยน่ารังเกียจแล้วยังกล้าดูถูกข้าหรือ” แคลมป์ตันโกรธจัด เขาต้องการโจมตี แต่เนื่องจากเขาคิดถึงบทบัญญัติของเมืองรอยัลวิง...
ถ้าเขาโจมตี ผลกระทบที่ตามมาเกินกว่าเขาจะทนได้
“พอได้แล้ว”
ทันใดนั้นอสูรผมยาวสีเงินผู้นั่งอยู่ห่างๆ
ออกไปพูดอย่างสงบ “แคลมป์ตัน,
ลืมมันเสียเถอะ เจ้าเองก็ทำตัวไม่ถูก
หยุดเอาเรื่องเอาราวเรื่องนี้เสียที”
“ข้าน่ะหรือทำไม่ถูก?” แคลมป์ตันจ้อง ชี้มาที่ลินลี่ย์
จากนั้นก็ชี้ไปที่เด็กหนุ่มผมดำ
“ดูเจ้าสองคนนี่สิ, คนหนึ่งเป็นแค่เทียมเทพ ขณะที่อีกคน..
เขาสอบคัดเลือกตกสองครั้งติดต่อกัน
แต่ก็โชคดีรอดชีวิตมาได้
อ่อนแอราวกับไม่มีกระดูกสันหลังอย่างนี้ยังคิดจะสอบเป็นอสูรอีก เจ้าบอกข้าทีทำไมข้าถึงพูดเรื่องพวกมันไม่ได้?”
เด็กหนุ่มผมดำอันจิข่มอารมณ์โกรธมาตลอดเวลา
เขาคิดว่าแคลมป์ตันจะพูดแค่คำสองคำแล้วก็หยุด ใครจะคิดกันว่าแคลมป์ตันยังคงพูดต่อไม่ยอมหยุด
และยังชี้หน้าเขาขณะที่พูดว่าเขาไม่มีกระดูกสันหลัง?
“นี่คือเมืองรอยัลวิง มีอะไรที่ข้าต้องกลัวด้วยเล่า?” เด็กหนุ่มผมดำขบฟันกรอด
“อ่อนแอราวกับไม่มีกระดูกสันหลังหรือ?” เด็กหนุ่มผมดำเชิดหน้าจ้องมองแคลมป์ตัน “เจ้าเรียกข้าว่าไม่มีกระดูกสันหลัง?”
“ถ้าไม่ใช่เจ้า แล้วจะเป็นใครอื่นไปเล่า?” แคลมป์ตันไม่ให้โอกาสอันจิ
ตาของเขาเต็มไปด้วยแววเหยียดหยาม
อันจิเด็กหนุ่มผมดำเค้นเสียงที่ค่อนข้างสั่นสะท้าน “เจ้าบอกว่าข้าอ่อนแอใช่ไหม? อย่างนั้นข้าอยากถามเจ้า ถ้าเจ้าล้มเหลวในการสอบคัดเลือกเป็นอสูรสองครั้งและเกือบตายสองครั้ง
เจ้าจะมีความกล้าเข้าร่วมทดสอบเป็นอสูรครั้งที่สามหรือไม่?
เจ้ากล้าไหม?"
แคลมป์ตันตะลึง
เขาจะกล้าไหม?
เขาคงไม่กล้า!
“นั่นไม่ใช่ความกล้า นั่นเป็นความโง่”
แคลมป์ตันไม่พอใจกับวิธีที่เด็กหนุ่มผมดำมองดูเขา “และเจ้าผู้นี้ เจ้าโง่นี่
เขาเป็นแค่เทียมเทพ
แต่เขาต้องการจะร่วมสอบเป็นอสูร” แคลมป์ตันหันไปมองลินลี่ย์อีกครั้ง
“บีบี, เดเลีย ไปกันเถอะ”
ลินลี่ย์ไม่พอใจ แต่เขาไม่ต้องการเสียเวลากับคนแบบนี้ต่อไป เขารู้...ว่าตอนนี้แคลมป์ตันเต็มไปด้วยความโกรธ
แต่ไม่สามารถโจมตีได้
ทั้งหมดที่เขาทำได้คือระบายออกมาทางคำพูด
“สหายของข้า, ดูสิ,
ข้ากล้าพนันได้ว่าถ้าเจ้าผู้นี้ร่วมสอบคัดเป็นอสูร เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน” แคลมป์ตันยังคงพูด ขณะที่สหายที่อยู่ข้างๆ เขาแค่นเสียง “จะพนันทำไม?
ถ้าเทียมเทพเข้าร่วมสอบเป็นอสูร
เขาจะต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว
ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี”
“พี่ใหญ่, สักวัน
ข้าจะทำให้เจ้าบ้านี่ต้องชดใช้”
บีบีพูดในใจ
“อย่าไปใส่ใจเขาเลย” ลินลี่ย์พูดอย่างใจเย็น
ทันใดนั้นลินลี่ย์จ้องมองที่นอกปราสาทอสูรอย่างตกใจ จากขอบฟ้าระยะไกล
เขาเห็นร่างเลือนรางหลายร่างบินในท้องฟ้าตรงมาที่ประตูปราสาทอสูร ความเร็วในการบินที่พวกเขาใช้มาถึงนี่เร็วอย่างน่าตกใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ...
พวกเขากล้าบิน!
“บินในเมืองรอยัลวิง? พวกเขากล้าทำแบบนี้ได้ยังไง?” ลินลี่ย์ตะลึง
หลังจากอยู่ในเมืองรอยัลวิงมาได้ช่วงหนึ่ง
พวกเขาเห็นคนมากมายในเมืองรอยัลวิงและมีเทพชั้นสูงอยู่หลายคนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าบิน ทุกคนเดินกับพื้น
พวกเขาอาจใช้เคล็ดวิชาให้เดินได้เร็วมากขึ้น แต่ทุกคนก็ยังเดินกับพื้นอยู่ดี
ร่างทั้งสี่บินลงที่ประตูใหญ่ทางเข้าของปราสาทอสูร คนผู้หนึ่งเดินนำหน้า อีกสามคนเดินตามหลัง
ผู้นำมีผมทองยาวเป็นลอน เขาสวมชุดทองยาว
สิ่งที่แปลกก็คือคิ้วของเขาสีขาว ดวงตาของเขาสีทอง
คิ้วขาว
ตาทอง!
แค่ยืนอยู่กับที่
เขาก็เปล่งกลิ่นอายที่รุนแรง
หลังจากก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของปราสาทอสูร
บุรุษวัยกลางคนผมทองกวาดสายตามองดูทุกคน
ทุกคนที่ถูกมองล้วนสั่นสะท้านวิญญาณ
ยอดฝีมือแน่นอน!
แคลมป์ตันกำลังหันหน้าให้ลินลี่ย์กับอันจิ
ดังนั้นเขาไม่สังเกตเห็นผู้มาใหม่เป็นธรรมดา เขายังคงพูดจาโผงผาง
“ไม่ใช่แค่ไอ้เด็กหัวน้ำตาลนี่เท่านั้น, เจ้าอันจินั่นด้วย ถ้าพวกมันเข้าร่วมสอบเป็นอสูร พวกมันจะต้องตายแน่นอน”
อย่างไรก็ตาม
หลายคนในปราสาทอสูรสังเกตเห็นผู้มาใหม่แล้ว
ทันใดนั้นคนในกลุ่มนั้นสิบคนรวมทั้งยูนะแสดงความเคารพและพูดอย่างนอบน้อมทันที “คารวะท่านเจ้าเมือง!”
เจ้าเมือง?
เมื่อได้ยินเช่นนี้
ลินลี่ย์และอีกสองคนตกใจเช่นกัน
แคลมป์ตันที่กำลังหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำนี้ถึงกับตกใจอย่างหนัก เขาหันควับทันที เมื่อเห็นบุรุษตาทองคิ้วขาว
เขาไม่รู้ว่าผู้นี้เป็นใคร แต่เขาได้ยินเสียงเรียกว่า ‘เจ้าเมือง’
“คารวะท่านเจ้าเมือง” ทุกคนที่ยืนอยู่คำนับทันที
“ขอคารวะท่านเจ้าเมือง” ถึงตอนนี้แคลมป์ตันเข้าใจดีแล้ว
และรีบคำนับทันที
ขณะเดียวกัน
ตาของอสูรเหล่านี้ฉายแสงทันที
พวกเขาลอบชายตามองเห็นบุรุษวัยกลางคนมีคิ้วขาวนัยน์ตาทอง
คนผู้นี้คือเจ้าเมืองผู้ปกครองเมืองรอยัลวิงหรือ?
ความภาคภูมิใจของทั่วทั้งเมืองรอยัลวิง อสูรเจ็ดดาว เจ้าเมืองรอยัลวิง?
อสูรแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับ
ระดังสูงที่สุดคือระดับเจ็ดดาว
ซึ่งเป็นยอดฝีมือที่ทรงพลังในแดนนรกอย่างมิต้องสงสัย อสูรเจ็ดดาวทุกคนจะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง
หนึ่งในนั้นก็คืออสูรรอยัลวิง
ฉายาของเขาคือรอยัลวิง (ปีกหลวง)
ชื่อเสียงของอสูรชื่อ
‘รอยัลวิง’ เลื่องลือไปทั่วแดนนรกนานแล้ว บางทีเขาอาจไม่มีชื่อเสียงเท่ากับ ‘เลือดม่วง’ และ ‘จันทร์เงิน’ ที่มีชื่อเสียงผ่านการฆ่าสังหาร
แต่ในแง่พลังของอสูรเจ็ดดาว
แทบไม่แตกต่างกันมากนัก
“อสูรเจ็ดดาว!”
อันจิมองดูคนที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างตื่นเต้น เขาฝันว่าสักวันหนึ่ง
เขาจะกลายเป็นอสูรเจ็ดดาวให้ได้
“น่ากลัวจริงๆ
เขาไม่ได้อ่อนแอกว่าบลูไฟร์แน่นอน”
เมื่อลินลี่ย์เห็นรอยัลวิง
เพราะเหตุผลบางอย่างเขามีความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน...
คนผู้นั้นแค่เพียงกวาดตามองก็ทำให้วิญญาณของเขาสั่นสะท้านได้ พลังขนาดนั้นน่าทึ่งจริงๆ
รอยัลวิงผู้มีคิ้วขาวตาทองมองดูแคลมป์ตันที่อยู่ข้างๆ
“เจ้าเพิ่งพูดถึงคนอื่นที่จะร่วมสอบเป็นอสูรจะต้องตายแน่ใช่ไหม?”
แคลมป์ตันสั่นไปทั้งตัว
นักสู้อสูรที่อยู่โดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียง แคลมป์ตันหวาดกลัวรีบพูดขึ้น “ท่านเจ้าเมือง! ข้า
ข้าแค่บอกว่าเจ้าเด็กหัวน้ำตาลนี้และเจ้าเด็กหัวดำที่เคาน์เตอร์ ถ้าพวกเขาเข้าร่วมสอบ พวกเขาจะต้องตายแน่” ขณะที่เขาพูดคำนี้
แคลมป์ตันไม่มีความมั่นใจอยู่ในน้ำเสียงเลย
“เหรอ? ทำไมเจ้าพูดแบบนั้นเล่า?” รอยัลวิงดูเหมือนจะแปลกใจ
“นี่..ทั้งนี้เพราะเจ้าเด็กหัวน้ำตาลยังเป็นแค่เทียมเทพ ถ้าเทียมเทพเข้าร่วมสอบคัดเลือกเป็นอสูร เขาจะต้องตายแน่นอน” แคลมป์ตันไม่รู้ว่าอสูรเจ็ดดาวน่ากลัวมาก
แค่สายตาของรอยัลวิงก็ทำให้เขาสั่นสะท้านได้แล้ว
พวกเขาทั้งสองเป็นเทพชั้นสูง แต่ความแตกต่างระหว่างพวกเขามากมายเหลือเกิน
“โอว,
ระดับเทียมเทพจะเข้าร่วมสอบเป็นอสูรเหรอ?”
รอยัลวิงพยักหน้าเล็กน้อย
“แล้วอีกคนเล่า?”
“เจ้าเด็กผมดำพยายามเข้าสอบเป็นอสูรไปสองครั้งแล้ว แต่สอบตกทั้งสองครั้ง เขาโชคดีที่รักษาชีวิตรอดมาได้ แต่เขาต้องการเข้าสอบคัดเลือกอีกครั้ง...” แคลมป์ตันกล่าวจากนั้นไม่กล้าส่งเสียงต่อ
แต่รอยัลวิงเพียงแต่เหลียวมองเด็กหนุ่มชื่ออันจิ
และจากนั้นเขาหันไปมองแคลมป์ตัน “เจ้าชื่ออะไร?”
“คะ..แคลมป์ตันขอรับ” แคลมป์ตันตะกุกตะกักกล่าว
“เจ้าเป็นเทพชั้นสูงคนหนึ่ง แต่เจ้าเป็นเทพระดับสูงผ่านการหลอมรวมกับประกายเทพ” รอยัลวิงหัวเราะอย่างใจเย็น
“ขอรับ”
แคลมตันรีบพยักหน้า
รอยัลวิงยังคงพูดต่อ “ถ้าความรู้สึกของข้าถูกต้อง เจ้าน่าจะยังเป็นอสูรสามดาวอยู่!”
มองอย่างผิวเผินไม่ว่าจะเป็นหนึ่งดาวหรือเจ็ดดาวไม่สามารถระบุแยกจากกันได้
จะระบุความแตกต่างกันได้ก็โดยใช้วิธีการพิเศษ
รอยัลวิงสามารถบอกได้แค่เพียงเหลียวมอง นี่นับว่าน่าประหลาดใจแน่นอน
“ถะ..ถูกแล้วข้าเป็นเพียงอสูรสามดาว” แคลมป์ตันพยักหน้า
“เทพชั้นสูงผู้เป็นเพียงอสูรสามดาว
นับว่ายังระดับต่ำอยู่”
รอยัลวิงพูดอย่างสงบ
แคลมป์ตันรู้สึกอายอย่างเหลือเชื่อ
เป็นเรื่องที่น่าอับอายมากที่เทพชั้นสูงยังเป็นอสูรสามดาว จะไม่ให้น่าอับอายได้ยังไง เพราะเจ้าเมืองรอยัลวิงเป็นคนระบุเอง?
“เจ้าเด็กผมดำผู้นี้สอบตกถึงสองครั้งครา
แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะใจร้อนไปสักเล็กน้อย
แต่ความตั้งใจและความกล้าหาญของเขาน่าชื่นชม... ถ้าเจ้าสามารถเรียนรู้และใส่ใจกับเรื่องนี้
เจ้าคงเป็นอสูรสี่ดาวไปนานแล้ว”
รอยัลวิงพูดอย่างใจเย็น
แคลมป์ตันได้แต่ทำเสียงยอมรับ
ต่อให้ใต้เท้ารอยัลวิงดุด่าเขา ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือยอมรับ
จากนั้นรอยัลวิงหันและเดินมาทางลินลี่ย์ เขาหัวเราะอย่างใจเย็นและกล่าว “เจ้าก็ตั้งใจจะร่วมสอบเป็นอสูรด้วยหรือ?”
ลินลี่ย์คาดไม่ถึงว่ารอยัลวิงผู้นี้จะมาพูดคุยกับเขา บุรุษที่เป็นอสูรเจ็ดดาว
เจ้าเมืองปกครองเมืองรอยัลวิง
“วันนี้ข้าแค่มาดูไว้ก่อน
ข้าเพียงตั้งใจจะเข้าทดสอบคัดเลือดในอีกไม่กี่สิบปีจากนี้” ลินลี่ย์ตอบด้วยความเคารพ
“ไม่กี่สิบปีหรือ?” รอยัลวิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี จากนั้นกล่าว
“พ่อหนุ่ม,
ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่เทียมเทพต้องการจะเข้าร่วมสอบเป็นอสูร ในอดีตเมื่อข้ายังเป็นเทียมเทพ ข้าก็เคยเข้าร่วมสอบเป็นอสูรด้วยตัวเองเหมือนกัน”
อสูรหลายคนที่อยู่ใกล้รีบเข้ามาใกล้และตั้งใจฟังอย่างดี
พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าเจ้าเมืองรอยัลวิงทำเรื่องเช่นนั้นมาก่อน
อย่างไรก็ตาม...เมืองรอยัลวิงสร้างมานานนับปีไม่ถ้วนแล้ว ใครๆ
ก็สามารถนึกคิดได้ว่ารอยัลวิงนั้นฝึกฝนมานานเพียงไหน
ลินลี่ย์ประหลาดใจเงยหน้าขึ้นมองรอยัลวิง
“แต่แน่นอน, ข้าสอบตก โชคดี ข้าสามารถรอดชีวิตได้
และจากนั้นเมื่อข้าถึงระดับเทพแท้ ข้าจึงลองเข้าสอบเป็นอสูรอีกครั้ง”
รอยัลวิงพูดพลางหัวเราะพลาง “พ่อหนุ่ม!
ดีที่สุดก็คือเจ้าควรรอให้ถึงระดับเทพแท้เสียก่อนแล้วค่อยเข้าร่วมสอบเป็นอสูร การเข้าสอบเป็นอสูรนั้นก็คือส่วนยากของภารกิจหนึ่งดาว กล่าวโดยทั่วไป
ต่อให้เป็นเทพแท้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ระดับเทียมเทพ
โอกาจจะทำภารกิจนั้นให้สำเร็จได้นั้นต่ำมาก
ต่ำเอามากๆ”
ลินลี่ย์รู้สึกขอบคุณเจ้าเมืองรอยัลวิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาผู้นี้ในใจ
อย่างน้อยเขาก็ยังให้คำแนะนำเขา
เจ้าเมืองรอยัลวิงมีศักดิ์ศรีฐานะสูงส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเอง ลินลี่ย์จะไม่รู้สึกซาบซึ้งใจได้อย่างไร?
จากนั้นรอยัลวิงมองดูลินลี่ย์จากไปไกลแล้ว
ก่อนเขาจะหันกลับและนำบริวารทั้งสามขึ้นบันได หลังจากเจ้าเมืองรอยัลวิงออกไปแล้ว
ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ก็มีเสียงจอแจดังกระหึ่ม อสูรทุกคนล้วนตื่นเต้น
“นั่นคือเจ้าเมืองรอยัลวิง!
ยอดฝีมือท่านนี้ข้าเทิดทูนบูชาจริงๆ”
อสูรหลายคนพูดถึงรอยัลวิงกันอย่างตื่นเต้น
พวกเขาไม่พูดถึงเรื่องลินลี่ย์กับอันจิอีกต่อไป ที่สำคัญลินลี่ย์และอันจิกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย
ที่ชั้นบนปราสาทอสูร
“วันนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจจริงๆ เด็กหนุ่มผมน้ำตาลมีกลิ่นอายของสี่ตระกูลเทพอสูรศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ในตัวเขา” รอยัลวิงถอนหายใจ
“สี่ตระกูลเทพอสูรศักดิ์สิทธิ์? ใต้เท้า! พวกเขาไม่ได้มาจากแคว้นอินดิโก
ทวีปบลัดริจไม่ใช่หรือ?
แล้วพวกเขามาปรากฏตัวในที่ของเราได้ยังไง?” หนึ่งในสามบริวารของรอยัลวิงถาม
รอยัลวิงหัวเราะอย่างสงบ
“สี่ตระกูลเทพอสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นตระกูลที่แพร่หลายกระจายตัวมาก ลูกหลานของพวกเขามีอยู่มากมาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่สมาชิกตระกูลพวกเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่” รอยัลวิงรู้สึกว่าน่าสนใจ ที่สำคัญคือ ลูกหลานตระกูลสี่เทพอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่คู่ควรทำให้เขาต้องกังวลใจ
7 ความคิดเห็น:
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็น