เล่ม
14 อสูร – ตอนที่ 19 หมอกชมพู
ลินลี่ย์ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับแคลมป์ตัน
แต่ไม่ว่ายังไงทั้งสามคนก็ต้องออกจากอสูรโลหะ นี่เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ แทบจะทันทีที่กลุ่มของลินลี่ย์เดินผ่านออกมา แคลมป์ตันก็เห็นพวกเขาโดยบังเอิญ
ลินลี่ย์มองแคลมป์ตันด้วยหางตาอย่างระมัดระวังเช่นกัน
ขณะนี้เอง
ลินลี่ย์อยู่ที่ทางออก ขณะที่แคลมป์ตันยืนอยู่ในท่ามกลางต้นหญ้าสูง แต่ตอนนั้นเอง...
ทั้งสองคนสบสายตากัน!
“แย่แล้ว!” ลินลี่ย์สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
หน้าของลินลี่ย์ตอนนี้บิดเบี้ยว แต่หน้าของแคลมป์ตันมีรอยยิ้ม
“ตอนนี้ข้าไม่ต้องการพัวพันกับเจ้าหัวล้านนั่น ถ้าเขายังต้องการจะหาเรื่อง
ทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือทุ่มกำลังสู้”
ลินลี่ย์ไม่มีทางเลือกอื่นในตอนนี้
ทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้คือเข้าไปในกลุ่มกับผู้เข้าสอบเป็นอสูรที่เหลือ ทุกคนบินลงมาจากอสูรโลหะรวมกลุ่มอยู่ที่พื้นซึ่งมีต้นไม้งอกงาม
“เฮ้..พวก..ดูสิ” แคลมป์ตันสะกิดใครบางคนที่อยู่ใกล้ จากนั้นส่งสายตาไปทางข้างหน้า
“นั่นคือเจ้าเด็กแสบที่หักหน้าข้าที่เมืองรอยัลวิง”
“เฮ้, เป็นสามคนนั่นจริงๆ ด้วย” อสูรที่อยู่ข้างแคลมป์ตันยังคงมองมาทางลินลี่ย์อย่างประหลาดใจ หนึ่งในนั้นเริ่มหัวเราะ “แคลมป์ตัน, เจ้าโชคดีจริง,
ดูเหมือนว่าเจ้ามีโอกาสแก้แค้นแล้ว”
แคลมป์ตันหัวเราะน่ากลัว
“แต่เดิมข้าคิดว่าคงไม่มีโอกาส
แต่ใครจะคาดคิดกันว่าเขาจะถูกส่งมาอยู่ต่อหน้าข้า?” แคลมป์ตันไม่พลาดโอกาส
ในไม่ช้าผู้เข้าสอบเป็นอสูรทั้งหนึ่งพันก็ออกจากยานพาหนะทั้งหมด
พวกของลินลี่ย์อยู่ในกลางกลุ่มผู้เข้าสอบนี้
“ลินลี่ย์?”
เรจิน่านั้นทักทายกลุ่มของลินลี่ย์
แต่พวกเขาเพียงแต่ยอมรับนางตามปกติ ไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ เรจินาหงุดหงิด นางอดงงไม่ได้ แต่นางจะรู้ได้ยังไงว่าทั้งสามกังวลเรื่องแคลมป์ตัน?
“พี่ใหญ่แคลมป์ตันกำลังเดินมาหา” บีบีพูดทันที
ลินลี่ย์ก็มองดูเช่นกัน
แคลมป์ตันแค่นเสียงเย็นชาขณะเดินเข้ามา
“ถอยไป!” ลินลี่ย์และอีกสองคนถอยหลังทันที เมื่อเห็นเช่นนี้ แคลมป์ตันคำรามทันที “เจ้าคิดจะหนีหรือ?” ความเร็วของแคลมป์ตันเพิ่มขึ้นทันที
เขาไม่พยายามจะปกปิดต่อไปพุ่งเข้าหากลุ่มของลินลี่ย์ด้วยใบหน้าที่ดุร้าย
“เมื่อเจ้ายังเป็นเทียมเทพ เจ้าบังอาจสบถด่าใส่ข้า!”
ความโกรธในใจของแคลมตันป์ที่ข่มเอาไว้สามสิบกว่าปีระเบิดออกมาในตอนนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพวกเขาอยู่ในเมืองรอยัลวิง, เขาคงลงมือไปนานแล้ว
“เดเลีย เจ้าถอยไปห่างๆ ทันทีและใช้มิติลมของเจ้าจำกัดเขาและชะลอความเร็วของเขา” ลินลี่ย์พูดผ่านสำนึกเทพ “บีบี, เราทั้งสองคนเตรียมตัวสู้” สายตาของลินลี่ย์เปลี่ยนเป็นเย็นชา
เนื่องจากแคลมป์ตันกำลังจะก่อเรื่อง...
อย่างนั้นก็ได้เวลาทุ่มกำลังสู้!
“ฆ่าไอ้เจ้าหัวล้านนั่น!”
ตาของเขาบีบีทอประกายแวววาวเช่นกัน
“ฮึ่ม...”
แคลมป์ตันคำรามอย่างเย็นชา
และจากนั้นการเคลื่อนไหวของเขาชะงัก
ขณะที่ในกลุ่มของลินลี่ย์ เดเลียถอยอย่างรวดเร็ว แต่ลินลี่ย์กับบีบีไม่ถอย กลับชะลอช้าลงรอให้แคลมป์ตันเข้ามาหา
“เจ้ากำลังทำอะไร!” เสียงตะโกนเย็นชาสั่นสะท้านใจของแคลมป์ตัน
ขณะเดียวกัน
ร่างหนึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าของแคลมป์ตัน
แม้ว่าใจของแคลมป์ตันจะคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ แต่เมื่อเขาเห็นคนผู้นี้ เขามีความรู้สึกกลัวทันที เขาพูดด้วยความเคารพ “ท่านโลซูส, ข้า...ข้า...”
“หือ?”
กลุ่มของลินลี่ย์มารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งมองดูด้วยความสับสน
จู่ๆ
อสูรคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าของแคลปม์ตันขวางหน้าเขาไว้ อยู่ต่อหน้าอสูรผู้นี้
แคลมป์ตันแสดงท่าทางกลัวมาก
“เขาเป็นใคร?”
ลินลี่ย์มองดูอสูรผู้นี้ด้วยความสับสน
อสูรผู้นี้ไว้ผมสีน้ำตาลยาวสยายไม่ได้มัดไว้ แต่สายตาของเขาเยือกเย็นและดุร้าย
“แคลมป์ตัน,
เจ้าต้องการฆ่าทั้งสามคนนี่หรือ?”
โลซูสมองแคลมป์ตันอย่างเย็นชา
“ข้า...”
แคลมป์ตันต้องการพูด
แต่เขาไม่รู้ว่าควรอธิบายยังไง
โลซูส
อสูรห้าด้าว
ในเส้นทางสู่ทะเลสาบจันทรานี้
ผู้นำอสูรในปฏิบัติการนี้ก็คือโลซูสผู้นี้และคู่หูของเขาอีกสองคน เป็นอสูรห้าดาวทั้งคู่ ทั้งหมดมีสามคน! นี่คือกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่มอสูร
“ฮึ่ม,
ข้าไม่สนใจว่าเจ้าคิดจะทำอะไร”
โลซูสพูดเย็นชา
“อย่างไรก็ตามการสู้รบจะเริ่มขึ้นอยู่แล้ว
ถ้าเพราะแค่เจ้าฆ่าเทพแท้สามคน
เจ้าจะสร้างระลอกพลังที่ดึงดูดความสนใจของเจ้าปราสาททะเลสาบจันทรา
จนทำให้เขาหนีไปโดยไม่ได้สู้ ภารกิจของเราก็จะล้มเหลว
ถ้าเกิดเรื่องนั้นขึ้นอย่าตำหนิข้าว่าไร้เมตตาก็แล้วกัน!”
“ได้ ได้, ข้าเข้าใจ!” หัวใจของแคลมป์ตันสะท้าน
ในใจของเขา
เขาคิดอย่างเสียใจ
“ข้าหลงลืมไปได้อย่างไรกัน!” ระลอกพลังงานที่เกิดจากการสู้รบของพวกเทพเป็นที่ประจักษ์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเทพชั้นสูงต้องสู้กับเทพแท้สามคน...
การสู้รบอย่างนั้นจะสร้างระลอกพลังอย่างแน่นอน
และทะเลสาบจันทราก็อยู่ห่างจากที่นี่ไม่กี่กิโลเมตร
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น จ้าวปราสาททะเลสาบจันทราก็จะสังเกตออก
ถ้าเจ้าปราสาทหนีไป
อย่างนั้นภารกิจของโลซูสและอสูรอื่นถือว่าล้มเหลว
“ฮึ่ม.”
โลซูสถลึงตามองและเดินจากไป
แคลมป์ตันถลึงตามองกลุ่มของลินลี่ย์อย่างหนักเช่นกัน เขารำพึงกับตัวเอง “ก็ได้, ถือว่าเจ้าโชคดีไป อย่างไรก็ตาม เมื่อการสู้รบเริ่มขึ้น ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งสามคนระบายความโกรธแน่นอน
ตอนนี้ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตยืนยาวอีกสักเล็กน้อย!”
หลังจากถูกโลซูสตำหนิ
ความโกรธที่แคลมป์ตันมีย่อมไประบายลงกับกลุ่มของลินลี่ย์เป็นธรรมดา
“ทุกคน,
เรารู้ว่าพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อรับการทดสอบเข้าเป็นอสูร” เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของผู้ร่วมทดสอบทั้งพันคนรวมทั้งลินลี่ย์ด้วย “เราต่างจากพวกเจ้า
ภารกิจของเราคือฆ่าเจ้าของปราสาททะเลสาบจันทรา ดังนั้นข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่บุ่มบ่ามใจร้อน
รอให้เราฆ่าเจ้าปราสาททะเลสาบจันทราก่อน แล้วพวกเจ้าค่อยเคลื่อนไหว”
ลินลี่ย์และคนอื่นทุกคนรู้สึกตกใจ
“สำนึกเทพซึ่งครอบคลุมทุกคนไว้มิดชิด? นี่ครอบคลุมพื้นที่อย่างน้อยหลายร้อยเมตร”
ในแดนนรก
การใช้สำนึกเทพพูดเป็นเรื่องที่ยากมาก
เมื่อลินลี่ย์อยู่ในสุสานเทพเจ้า
ทันทีที่เขาผ่านเข้าประตูมิติและเมื่ออยู่ในสุสานเทพเจ้า เขาตระหนักว่าพลังจิตระดับสูงสุดลดลงเหลือเพียงไม่กี่สิบเมตร
ขณะที่ในทวีปยูลานกลับแผ่พลังจิตควบคุมได้ในระยะเกินพันกิโลเมตร
ในแดนนรก
หนึ่งในพิภพระดับสูงข้อจำกัดยิ่งใหญ่มากกว่า
เมื่อลินลี่ย์มาถึงในแดนนรกตอนแรก เขาเป็นเพียงเทียมเทพ แม้ว่าวิญญาณของเขาจะค่อนข้างทรงพลัง แต่สำนึกเทพก็ยังครอบคลุมระยะเพียงสิบเมตรเท่านั้น
หลังจากดูดซับอะเมทิสต์ทั้งสิบเอ็ดชิ้นและบรรลุระดับเทพแท้
สำนึกเทพของลินลี่ย์ก็ยังครอบคลุมเพียงระยะร้อยเมตร
“สำนึกเทพชั้นสูงน่าจะครอบคลุมพื้นที่พันกิโลเมตร” นี่คือข้อสันนิษฐานของลินลี่ย์
โลซูสนั้นยังคงพูดผ่านสำนึกเทพต่อไป “ตอนนี้,
เรากำลังมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบจันทรา
พวกเจ้าทุกคนจงตามเรามา”
และจากนั้น
โลซูสและอสูรสามดาวอื่นๆ
นำไปข้างหน้าทันที
อสูรเกินยี่สิบคนบินขึ้นไปในอากาศทันทีตรงไปยังทะเลสาบจันทรา
ทันทีนั้น
ผู้เข้าร่วมสอบเป็นอสูรทั้งพันคนก็บินขึ้นในอากาศเช่นเดียวกัน
กลุ่มของลินลี่ย์รวมอยู่ในนั้นด้วย
พวกเขาทุกคนบินตรงมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบ
“แคลมป์ตันลำพังยังไม่น่ากลัว แต่ข้ากังวลเรื่องสหายของเขา” ลินลี่ย์รำพึงกับตนเอง “ที่ทะเลสาบจันทรา
ข้าคาดว่าสหายเหล่านั้นคงไม่ช่วยเขา เมื่อการต่อสู้ดำเนินไป”
ลินลี่ย์มั่นใจเรื่องนี้แน่นอน เนื่องจากพฤติกรรมของพวกเขาในปราสาทอสูร และวิธีที่สหายเหล่านั้นทำยังมีขอบเขต คงไม่มีใครสนิทกับแคลมป์ตัน
ทะเลสาบจันทรามีขนาดกว้างใหญ่มาก
ความกว้างเกือบสิบกิโลเมตร มีสายลมพัดเอื่อยทำให้เกิดระลอกบนผิวทะเลสาบ
ในใจกลางทะเลสาบมีปราสาทโบราณอยู่หลังหนึ่ง ปราสาทหลังนี้มีขนาดกว้างหลายกิโลเมตรเช่นกัน นับได้ว่าเป็นปราสาทขนาดใหญ่
อสูรเกินกว่ายี่สิบคนและผู้เข้าร่วมสอบคัดเลือกอยู่กลางทะเลสาบ
โลซูสและสหายของเขาสองคน
คนหนึ่งมีผมสีม่วงสวมชุดดำ
อีกคนหนึ่งมีผมสีฟ้าร่างกายกำยำ
พวกเขาบินขึ้นไปในอากาศตรงเข้าไปยังปราสาทด้วยความเร็วสูง และตามหลังพวกเขาเป็นพวกอสูร
“ไปกันเถอะ”
ลินลี่ย์และพวกที่เหลืออีกพันหนึ่งไม่ลังเล บินขึ้นไปในอากาศทันที
“ควั่บ!”
ร่างทั้งสามไปปรากฏอยู่เหนือปราสาททะเลสาบจันทรา เป็นโลซูสและสหายทั้งสองคน
“พวกเขามีชีวิตอยู่จนได้เป็นอสูรห้าดาว พวกเขาไวมาก”
แคลมป์ตันและอสูรคนอื่นถอนหายใจทึ่งอยู่ในใจ
โลซูสลอยตัวนิ่งอยู่กลางอากาศ
จ้องมองไปที่ปราสาท
“ข้าไม่ต้องการสู้ภายในปราสาท
น้องสาม ผ่าปราสาทออกครึ่งหนึ่ง”
“ได้เลยพี่ใหญ่” บุรุษร่างกำยำผมฟ้าพลิกมือ
ปรากฏดาบสีดำอยู่ในมือ ดาบโค้งยาวเป็นแผ่นหนาอย่างน้อยหนึ่งฟุต เปล่งรัศมีสีแดงอำมหิต เห็นได้ชัดว่าดื่มเลือดยอดฝีมือมาค่อนข้างน้อย
ขณะกวัดแกว่งดาบดำนี้
บุรุษหนุ่มร่างกำยำเคลื่อนไหวทันทีและเขาตวัดอาวุธของตัวเอง
“บึ้ม!”
เงาดาบสีดำมหึมาตัดผ่าใส่ปราสาท ที่ใดก็ตามที่เงาดาบผ่านไป พื้นที่จะแยกออกเป็นสองส่วน
สร้างระลอกคลื่นเหมือนกับแผ่นดินไหวพร้อมกับเกิดที่ว่างอากาศใต้เงากระบี่
น้ำในทะเลสาบแยกออกจากกันซึ่งเป็นผลมาจากระลอกพลัง จากนั้นพื้นน้ำแยกออกและหายไปโดยสิ้นเชิง
และจากนั้นน้ำจากทั่วทุกที่ในทะเลสาบจันทราไหลทะลักไปท่วมเติมเต็มช่องว่าง
“บึ้ม!”
เงาดาบขนาดใหญ่ตัดผ่านปราสาท กำแพงปราสาทเริ่มเปล่งแสงเป็นอักษรรูนสีดำที่ซับซ้อนปล่อยพลังเทพมหาศาลออกมา อักษรรูนวิเศษเปล่งประกายต่อเนื่อง ทำให้พลังโจมตีอ่อนลง
แม้ว่าจะทรงพลังแต่ปราสาทก็ทนรับไว้ได้
หน้าของโลซูสและอีกสองคนเปลี่ยนไป
“ใครคือเจ้าของปราสาทนี้กันแน่? ตัวของเขาเองได้เขียนวงเวทป้องกันไว้ หรือว่าเขาขอให้ใครบางคนมาช่วยทำให้?” โลซูสมีสีหน้ากังวล พลังโจมตีธาตุหยาบของน้องสามของเขาแข็งแกร่งที่สุดในสามคน
โลซูสรู้ว่าแรงฟันของดาบนั้นทรงพลังแค่ไหน สามารถป้องกันดาบนั้นได้...
วงเวทบนปราสาทเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในการจัดสร้าง
ถ้าเขาสามารถเชิญยอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญให้เข้ามาจัดสร้างได้
แสดงว่าเจ้าของปราสาทนี้ต้องร่ำรวยมั่งคั่งอย่างมิต้องสงสัย
ถ้าเขาติดตั้งด้วยตนเอง
อย่างนั้นภายในปราสาทนี้ก็คงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จะต้องมีอันตรายแฝงอยู่ภายในนับไม่ถ้วน
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นงานระดับหกดาว!” โลซูสขมวดคิ้ว
อสูรที่อยู่ด้านหลัง
และเทพอีกนับพัน จ้องมองอย่างสับสน
“ปราสาทแห่งนี้ดูเหมือนไม่ธรรมดา” บีบีพูดพลางเม้มปาก
“มันคล้ายกับวงเวทที่ใช้ปกป้องวิหารเจิดจรัสที่เราเคยพบมาก่อน”
“ทั้งสองนั้นเป็นวงเวทเหมือนกัน แต่วงเวทนี้มีพลังมากกว่าเป็นล้านเท่า”
ลินลี่ย์ยังคงรู้สึกว่าภารกิจนี้คงไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง
“ดูเหมือนว่าเป็นความจริงที่มีคนจำนวนน้อยจากพันคนจะมีชีวิตรอดไปได้”
ขณะนั้นเองหมอกชมพูจู่ๆ
ก็เริ่มปล่อยออกมาจากในปราสาท
หมอกชมพูนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก คลุมไปทั่วผิวน้ำของทะเลสาบจันทรา
รวมทั้งอสูรทุกคนและผู้เข้าร่วมสอบเป็นอสูร
“หือ?”
ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว
หมอกชมพูนี้หนาแน่นมาก
ลินลี่ย์มองเห็นในระยะไม่กี่สิบเมตรรอบตัวเขา
“ซวบ!” เสียงอาวุธแทงใส่ร่างของใครคนหนึ่ง
“บัดซบ ตายซะเถอะ!”
จากในระยะไกล
ระลอกพลังงานจากการต่อสู้จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น ทำให้กลุ่มของลินลี่ย์ตกใจ
ลินลี่ย์ต้องการใช้สำนึกเทพตรวจดู ที่สำคัญ
สำนึกเทพของลินลี่ย์สามารถแผ่ขยายออกไปได้เกือบร้อยเมตร
แต่ขณะที่ลินลี่ย์แผ่สำนึกเทพออกไปได้เล็กน้อย...
เขารู้สึกได้ทันทีได้ว่ารังสีอำมหิตในร่างของเขาเพิ่มขึ้นมาก และวิญญาณของเขาได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
เพียงแต่แสงสีฟ้าภายในทะเลจิตสำนึกของเขาเปล่งแสงขึ้น
“แย่แล้ว”
ลินลี่ย์ทำใจให้ว่างเปล่าทันที
“ทุกคน! อย่าใช้สำนึกเทพ และอย่าสูดเอาหมอกเข้าไปในร่างกาย” เสียงของโลซูสดังขึ้น
“หมอกชมพูนี้เป็นพิษที่ยอดฝีมือเทพระดับสูงผู้ฝึกมาทางวิถีมรณะสร้างขึ้น มันถูกออกแบบมาเพื่อให้ดึงความรู้สึกอำมหิตในใจของทุกคนออกมา ไม่ว่าพลังจิตวิญญาณของพวกเจ้าจะเป็นยังไง
อย่าได้สัมผัสกับหมอกชมพู
สำนึกเทพคืออะไร?
สำนึกเทพไม่มีอะไรมากไปกว่าพลังจิตซึ่งแผ่ออกมารอบตัว
เมื่อพลังจิตของยอดฝีมือแผ่ออกมาสัมผัสกับหมอกชมพู ก็จะได้รับผลทันที
8 ความคิดเห็น:
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น