วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 879 การค้นคว้าที่ยิ่งใหญ่, ความคิดห่าม


ตอนที่  879  การค้นคว้าที่ยิ่งใหญ่, ความคิดห่าม
วังเทียนหลัว
สิ่งที่เย่ว์หยางคาดไม่ถึงก็คือวันนี้ฝ่าบาทเรียกเขาไปเข้าเฝ้า
 
ตามปกติในการขอเข้าเฝ้า เขามักจะถูกปฏิเสธเสมอ  วันนี้เกิดอะไรขึ้น?
เย่ว์หยางงุนงงสงสัยและตั้งตารอคอย  ที่สำคัญฝ่าบาทมักไม่อยากให้เขาเข้าเฝ้ามาตลอด  เมื่อนางกำนัลพาเขาเข้าไปในตำหนักชั้นใน นางถอยกลับออกมาอย่างเงียบๆ และออกไปทางประตูใหญ่นอกตำหนักเหมือนเคย  ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นทำกับเย่ว์หยางอย่างนี้ เขาไม่พังประตูวังก็คงเป็นเรื่องแปลกแน่นอน อย่างไรก็ตามเขาทำแบบนั้นไม่ได้  อยู่ที่นี่เขาจะต้องทำตัวเป็นเด็กดี
เขายังคงยิ้มต่อไป
เด็กหนุ่มจากโลกอื่นไม่ปฏิบัติตัวตามธรรมเนียมเหมือนคนอื่น
 “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับจุนอู๋โหย่ว, สุ่ยตงหลิว จัดสร้างกองกำลังอัศวินมังกรเพื่อยกระดับจิตวิญญาณนักสู้ของทวีปมังกรทะยานใช่ไหม?”  ฝ่าบาทถาม
 “จริงๆ แล้วข้าไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น...” เย่ว์หยางถ่อมตัวอย่างที่สุด  แต่ในใจของเขามีความภูมิใจมาก และเขาพยายามคิดอย่างดีที่สุด ถ้าไม่มีผลอะไรแม้แต่น้อย นั่นคงเป็นเรื่องแปลก!  เย่ว์หยางหยิบเอาหนังสือแผนงานออกมาและเดินออกมาก้าวใหญ่  ดูเหมือนว่าเขาจะต้องผลักเปิดประตู  แต่เขาไม่ใช้แค่ใช้พลังภายในเทเลพอร์ตส่งวัตถุเข้าไปภายในตำหนัก และกล่าวจริงจัง “ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกหลายท่านรวมทั้งผู้เฒ่าหนานกงคิดเหมือนกันว่า ถ้าทวีปมังกรทะยานต้องการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก็จะต้องรักษาฐานพลังในการแข่งขันเอาไว้ด้วยการค้นหานักสู้ผู้มีศักยภาพ  การก่อตั้งกลุ่มอัศวินมังกรเป็นการกระตุ้นบรรยากาศนักสู้ในก้าวแรก โดยใช้เกียรติยศเป็นแรงบันดาลใจขับเคลื่อนของนักสู้”
 “แผนงานในรายงานเล่มนี้จัดทำได้ดี  แต่ข้าไม่รู้ว่าจะใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้แค่ไหน? และอย่างไร?”   หลังจากนั่งดูเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่าจักรพรรดิจะอ่านแผนงานอย่างระมัดระวัง ในที่สุด เขายกประเด็นหนึ่งขึ้นพูด  “ในที่สุดเจ้าก็ยกแนวความความคิดจัดตั้งกองกำลังเลือดมังกร จุดตรงนี้ข้าเห็นด้วย  แต่ว่าเป็นไปไม่ได้แน่ที่ทุกคนจะเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงได้  บางคนมีความตั้งใจแน่วแน่  คนที่มีความสำคัญที่สุด ก็คือคนที่มีความภักดีสามารถสร้างโอกาสในการประสบความสำเร็จด้านต่างๆ เรื่องเช่นนี้มีผู้คิดจะทำหลายคนแต่ในท้ายที่สุดก็ไม่มีใครทำได้รวมทั้งจักรพรรดิอวี้  หากเจ้าตัดสินใจจะทำให้ได้จริงๆ ข้ายินดีสนับสนุนและหวังว่าเจ้าจะทำให้สำเร็จได้ และได้สิ่งที่ดีที่สุด”
 “ฝ่าบาทมีพระประสงค์ เด็กน้อยผู้นี้ย่อมจะทุ่มเทกำลังทำอย่างแน่นอน!  เย่ว์หยางยิ้มและคำนับ
 “แผนอัศวินมังกรและนักรบเลือดมังกร ข้าจะไม่เข้าไปก้าวก่ายด้วย”  จักรพรรดิตรัสต่อ “ด้วยความสามารถของเจ้าควบคู่ไปกับการร่วมมือของแต่ละคน แม้จะต้องใช้เวลานานแต่ข้าเชื่อว่าสามารถทำได้  อย่างไรก็ตามด้วยศักดิ์ศรีของเจ้าที่ต้องเป็นผู้นำหอทงเทียนยังลำบากแค่เพียงเล็กน้อย นำแต่ทวีปมังกรทะยานคงไม่ใช่เรื่องใหญ่”
 “ไม่ว่ายังไงฝ่าบาทอย่าเพิ่งทอดธุระ!” เย่ว์หยางกังวลอย่างมาก เขาหวังว่าจักรพรรดิจะช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่
 “ทางด้านนี้ราชันย์ฟ้าบูรพาและราชันย์ฟ้าประจิมจะร่วมมือกับเจ้า,  เอ่อ..ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้าจะส่งทูตพิเศษไปช่วยดูแลเรื่องนี้”  จักรพรรดิดูเหมือนตัดสินใจ
 “ท่านยุ่งทั้งวันเชียวหรือ? อยู่แต่ในฮาเร็มทุกวัน ไม่เบื่อบ้างหรือไง?”  เย่ว์หยางเหงื่อตก
 “มันเรื่องของข้า!  จักรพรรดิกริ้ว
 “ก็แค่ช่วยข้าสักนิดหน่อยเท่านั้น”  เย่ว์หยางรีบแสดงความเห็นที่จริงใจ
 “ข้ายุ่งมากจริงๆ ในอนาคตอันใกล้นี้แทบไม่มีเวลาว่างเลย!  จักรพรรดิตรัสเช่นนั้น ก็เป็นอันคาดได้ว่าไม่มีใครในทวีปมังกรทะยานจะยอมเชื่อว่าหัวซิ่วรี่จักรพรรดิแห่งเทียนหลัวเอาแต่สบายที่สุดในโลก  อยู่แต่ในฮาเร็มทุกวี่วัน น้อยครั้งที่จะถามถึงกิจการงานเมือง เรื่องภายในประเทศก็ส่งมอบให้กับเสนาบดีดูแล
มีเรื่องเล่าตลกที่พูดถึงกันในทวีปมังกรทะยาน เล่ากันว่าครั้งหนึ่งมีการเฉลิมฉลองใหญ่ที่จัตุรัสเทียนหลัว จักรพรรดิหัวซิ่วรี่มีพลานามัยค่อนข้างอ่อนแอ ด้วยความที่รีบร้อนพอเปลี่ยนฉลองพระองค์ที่สวยงามเสร็จ เจ้าหน้าที่หญิงรีบพาพระองค์ออกมาจากตำหนักมาที่ท้องพระโรงเตรียมตัวจะร่วมทำพิธีเฉลิมฉลอง  ผลก็คือองครักษ์ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบสั่งให้หยุด และสั่งให้ฝ่าบาทแสดงตราประจำตัวชั้นสูง  เมื่อนางกำนัลแสดงตราหยกสุริยันต์พวกทหารวังคิดว่านี่เป็นการติดสินบนจึงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด  เพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาท องครักษ์วังผู้นี้ไม่ยอมให้คนที่ไม่แสดงสถานะตนเองเข้าไปในจัตุรัส พระองค์รีบจากไปทันที มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะเรียกทหารวังมาจับพระองค์... แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องตลกที่เล่ากันเลยเถิด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเคร่งครัดของทหารวังที่กล้าสั่งให้จักรพรรดิแสดงเครื่องหมายพิสูจน์สถานะตนเอง
เป็นไปไม่ได้ที่เทียนหลัวจะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตาถั่วมารับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงเรื่องจริง
ก็แทบมีความคล้ายคลึงกัน
ในอาณาจักรเทียนหลัว อย่างน้อยมีข้าราชบริพารหนึ่งในห้า และเจ้าเมืองต่างๆ หนึ่งในสิบที่ไม่เคยพบเห็นจักรพรรดิหัวซิ่วรี่ กล่าวกันว่าข้าราชบริพารเทียนหลัวเกินร้อยคนและทหารวังเข้าใจผิดบ่อยครั้ง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าจักรพรรดิหัวซิ่วรี่ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ของประเทศไม่ค่อยปรากฏตัวบ่อยนัก
เมื่อเทียบกับจักรพรรดิต้าเซี่ยจุนอู๋โหย่ว จักรพรรดิหัวซิ่วรี่ไม่ทำตัวให้โดดเด่น
แม้ว่าจุนอู๋โหย่วไม่เคยประทับฉายาลักษณ์ไว้บนเหรียญทอง แต่ก็ทำตัวให้คนอื่นเห็นเขา  อย่างไรก็ตามในอาณาจักรต้าเซี่ย สามัญชนอย่างน้อย 80% รู้จักจักรพรรดิของเขาว่ามีลักษณะยังไง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเย่ว์หยางมีชื่อเสียงขึ้นมาก็ยิ่งทำให้จุนอู๋โหย่วมีชื่อมากยิ่งขึ้น  นอกจากนี้หลายๆ คนในหอทงเทียนยังพลอยได้ยินชื่อของเขาไปโดยปริยาย
เย่ว์หยางเมื่อได้ยินฝ่าบาทบอกว่ายุ่ง เขาอดหงุดหงิดไม่ได้
เขาบ่นพึมพำว่า “ถ้าท่านยุ่งมาก  อย่างนั้นในโลกนี้ก็ไม่มีคนขี้เกียจแล้ว
จักรพรรดิดูเหมือนจะได้ยินเสียงเย่ว์หยางบ่น จึงตวาดลั่น “ข้ายุ่งมาก ถ้าไม่รู้ก็อย่าเดามั่ว!
เย่ว์หยางทึ่ง “ฝ่าบากำลังวุ่นกับอะไรหรือ?”
หลังจากลังเลอยู่นาน จักรพรรดิถอนหายใจตรัสด้วยเสียงคลุมเครือ “ข้ากำลังค้นคว้าหาทางว่ามีอะไรที่ใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญได้บ้าง?”
 “นี่เป็นเรื่องแปลกไม่ใช่หรือ?”  เย่ว์หยางไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างเห็นได้ชัด ถ้านี่เป็นเรื่องที่จุนอู๋โหย่วหรืออาจารย์จิ้งจอกเฒ่าพูด เย่ว์หยางคงกังวลว่าอีกฝ่ายคงจะบ้าเป็นแน่  สิ่งที่จะใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญ นั่นเป็นเรื่องฝันเฟื่อง  ถ้ามีอะไรจะใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญได้ อย่างนั้นทำไมนักรบแดนสวรรค์ถึงต้องมองหาคัมภีร์อัญเชิญของคนอื่นอย่างกระตือรือร้นด้วยเล่า ความลับคัมภีร์อัญเชิญ ด้วยพลังจักษุทิพย์ในปัจจุบันของเย่ว์หยางยังไม่สามารถมองเห็นร่องรอยการผลิต จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างคัมภีร์อัญเชิญ  ในยุคโบราณดึกดำบรรพ์เทพในยุคนั้นจะต้องมีพลังไร้เทียมทานไม่มีใครเทียบได้
ตอนนี้จักรพรรดิเทียนหลัวหัวซิ่วรี่ตรัสว่าเขากำลังศึกษาหาสิ่งที่จะใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญ
เย่ว์หยางไม่หัวเราะ เขาเห็นแก่หน้าของจักรพรรดิ
ทั้งสองต่างเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด
จู่ๆ จักรพรรดิก็ถอนหายใจเบาๆ “คัมภีร์อัญเชิญลึกลับเกินไป นักสู้ผู้ประสบความสำเร็จในบันไดสวรรค์ได้พยายามค้นคว้า  แต่ไม่ได้มีความก้าวหน้าแต่อย่างใด  ต่อมานักสู้ของบันไดสวรรค์เปลี่ยนใจและหยิบยกแนวความคิดที่กล้าหาญขึ้นเสนอ แม้ว่านี่จะไม่สามารถเรียกคัมภีร์อัญเชิญได้  ไม่ว่าจะสามารถทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้หรือไม่ ได้มีการวิจัยและพัฒนาสิ่งที่จะใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญได้
เย่ว์หยางตกใจ แม้แต่นักสู้ผู้แข็งแกร่งของบันไดสวรรค์ก็สนับสนุนเรื่องนี้หรือ?
นี่เป็นการค้นคว้าวิจัยที่บ้าคลั่งหรือเปล่า?  เมื่อได้ยินน้ำเสียงของฝ่าบาทถอนหายใจ  การค้นคว้าแบบนี้มีมาเป็นเวลานานแล้ว ทั้งที่รู้ว่าไร้ประโยชน์  แต่ทำไมคนเหล่านี้ยังยืนยันทำต่อ?
ด้วยความสนใจและความอยากรู้อยากเห็น  เย่ว์หยางถาม  “มีการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มานานเท่าใดแล้ว?”
จักรพรรดิตอบ “แปดพันปีมาแล้ว”
เย่ว์หยางพูดไม่ออก
ใช้เวลาถึงแปดพันปีเพื่อค้นคว้าวิจัยโครงการที่ไม่มีทางประสบความสำเร็จ นี่ดึงดันหรือโง่เกินไปหรือเปล่า?
 “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่มีเวลาให้เจ้านัก  ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ข้าจะต้องนอนแล้ว  เจ้ากลับไปได้ หากมีอะไรจำเป็น  เจ้าไปตามหาราชันย์ฟ้าบูรพาได้”  จักรพรรดิตรัสกับเย่ว์หยางเสร็จก็จากไป
 “เดี๋ยวก่อน, ข้าจะช่วยท่าน!  เย่ว์หยางตื่นเต้น  ถ้ามีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ได้  อย่างนั้นเขาเชื่อว่านั่นจะช่วยให้เขาก้าวหน้าขอบเขตที่ฝึกฝนได้
 “เจ้าไม่มีความอดทนพอ...”  จักรพรรดิปฏิเสธ
 “แค่บอกแนวคิดและกระบวนความก้าวหน้าของท่านมาก่อน”  เย่ว์หยางยืนกรานที่จะฟังและไม่ยอมแพ้
 “เมื่อแปดพันปีก่อนเราค่อยๆ เกิดแนวความคิดขึ้นมา เราหวังว่าจะสามารถเชื่อมวิญญาณผ่านของพิเศษอย่างหนึ่ง  ขณะเดียวกันของพิเศษนี้ยังใช้เป็นสื่อทำสัญญากับอสูรได้  เจ้าเองก็รู้ว่าสมบัติที่ใช้เป็นสื่อทำสัญญากับอสูรเป็นสมบัติระดับธรรมดาทั่วไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติเหนือกว่าระดับทอง อย่างเช่นระดับศักดิ์สิทธิ์หรือระดับเทพซึ่งมีพลังวิญญาณในตัวโดยตรง เราคิดว่าจะมีทางลดทอนคุณสมบัติและคุณภาพของสื่อกลางชนิดนี้ได้หรือไม่,  นักรบธรรมดาไม่มีทางใช้สมบัติเหนือกว่าระดับทองได้เลย เด็กบางคนไม่สามารถควบคุมพลังจิตได้พอ ดังนั้นถ้าเราค้นคว้าหาวัตถุระดับเงิน หรือระดับทองแดงที่สามารถทำสัญญากับอสูรที่มีระดับสูงกว่าอสูรทอง นั่น...” เมื่อจักรพรรดิพูดถึงงานค้นคว้าวิจัยแบบนี้  นั่นเป็นเรื่องที่เขาสนใจ  เขาพูดกับเย่ว์หยางไม่หยุด
 “วิธีนี้!  เย่ว์หยางรู้สึกว่าในความรู้ที่เขาได้รับตกทอด มีความรู้เกี่ยวกับผนึกเรื่องนี้อยู่ส่วนหนึ่ง  แต่ยังไม่สมบูรณ์  เขาคาดว่าพี่สาวแม่สี่ก็คงศึกษาเรื่องสิ่งที่ใช้ทดแทนคัมภีร์อัญเชิญได้ เพียงแต่มีขีดจำกัดเรื่องเวลา จึงทำให้ไม่สามารถค้นคว้าได้ลึกซึ้ง
 “สื่อที่ใช้ทำสัญญากับอสูรคือปัญหาแรก  อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการสื่อสารกับวิญญาณ”  ฝ่าบาทถอนหายใจยาว  “ตรงนี้ยากเกินไป  การสื่อสารทางวิญญาณ..”  เย่ว์หยางขมวดคิ้ว
สำหรับนักสู้ปราณก่อกำเนิดขึ้นไป
นี่เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นคนธรรมดาสามัญ การสื่อสารทางวิญญาณเป็นเรื่องที่คาดหวังได้
บางทีในช่วงเวลาฝันร้ายคนผู้หนึ่งที่มีความบริสุทธิ์ทางวิญญาณอยู่บ้างจะสามารถสัมผัสวิญญาณได้อย่างราบรื่นภายใต้อิทธิพลของพรสวรรค์หรือความสามารถที่แน่นอนอย่างหนึ่ง
แม้ว่าผู้คนโดยทั่วไปปล่อยให้คนอื่นนำและบังคับสื่อสารด้วยวิญญาณ นั่นอาจเป็นเหตุให้วิญญาณเสียหายได้  สำหรับสื่อกลางที่ใช้กับอสูรที่สูงกว่าระดับทอง ถ้าทำให้มันสื่อสารทางวิญญาณได้  คาดกันว่าเจตจำนงของอสูรจะทำลายวิญญาณที่เปราะบางของคนทั่วไปได้โดยตรง
ยกเว้นคัมภีร์อัญเชิญที่เป็นสมบัติล้ำค่า ที่รองรับพลังนี้ได้ ไม่มีวิธีอื่น
ถ้าทำสัญญาวิญญาณกับอสูร  ผู้ที่ทำสัญญาจะต้องมีพลังกายกับใจรวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อให้เจ้านายกับอสูรหลอมรวมวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อนักสู้สามารถทำอย่างนี้ได้ อสูรก็จะกลายเป็นอสูรพิทักษ์ร่วมเป็นร่วมตายพร้อมกับเจ้านาย  สัญญาธรรมดาจะเป็นสัญญาที่ทำกันทางกายภาพเท่านั้น ถ้าอสูรไม่พอใจเล็กน้อย มันจะทรยศ หรือถ้าไม่มีพลังปณิธาน อสูรจะไม่มีทางเรียนรู้ก้าวหน้าโดยไม่มีปัญญาไม่ได้
 “เจ้าไปจัดการธุระของเจ้าดีกว่า บางทีวิธีนี้อาจจะผิดก็ได้”  จักรพรรดิแนะนำเย่ว์หยางไม่ให้สนใจเรื่องนี้มาก
 “ท่านต้องการคัมภีร์อัญเชิญอีกเล่มหรือเปล่า?”  เย่ว์หยางตกอยู่ในภวังค์ความคิด
สมองของเขาตอนนี้เหมือนกับทะเลและมีรัศมีสว่างวาบ
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคืออะไร  แต่เขามีความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม  ถ้าเขาเข้าใจตรงนี้ได้  เขาก็คงเข้าใจการสื่อสารทางวิญญาณได้ดีขึ้นแน่
จักรพรรดิหัวซิ่วรี่ประหลาดใจเล็กน้อย  เจ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไรกันแน่?
เขาต้องการทำให้ตัวเองสร้างคัมภีร์อัญเชิญได้หรือ? เขาบ้าหรือเปล่า?
เย่ว์หยางนั่งลงบนบันไดโดยไม่คำนึงถึงมารยาทภาพพจน์ เขาคิดถึงแรงบันดาลใจที่เลื่อนลอยนั้นอย่างหนัก
ในที่สุดเขานอนพาดบันไดใช้แขนหนุนศีรษะชันเข่าขึ้นทอดสายตามองไปบนท้องฟ้า  ใจของเขาวนเวียนกับความคิดที่ปั่นป่วนคล้ายกับคลื่นทะเล  ความรู้ที่ได้รับตกทอดจากพี่สาวแม่สี่หรือขอบเขตความรู้ของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี หรือความรู้แจ้งที่โลกพฤกษา ความรู้ทั้งหมดผ่านไปก่อนที่จะทันได้ทำความรู้และเข้าใจ
มีสิ่งใดบ้างที่สามารถใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญได้บ้าง?
ในที่สุดแล้ว นั่นจะเป็นของแบบไหน?
จักรพรรดิเกรงว่าจะรบกวนความคิดของเขา พระองค์ไม่พูดแค่รออยู่เงียบๆ และอดมองดูเป็นระยะไม่ได้
หรือว่าเด็กคนนี้จะสามารถคลี่คลายปัญหาข้อสงสัยเมื่อแปดพันปีที่แล้ว? หรือว่าจะมีสิ่งใดที่ใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญปรากฏขึ้นจริงๆ?  ถ้าเขาคลี่คลายปัญหานี้ได้จริงๆ พระองค์จะยกย่องเขาอย่างไรดี?  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหากภาระนี้เขาทำได้สำเร็จ ตามที่บรรพบุรุษได้ฝึกฝนไว้จะพาเขาไปยังที่นั้นได้หรือไม่?
ช่างเถอะ, รีบให้เจ้าเด็กนี่กลับไปก่อน ในกรณีนี้คงเป็นเรื่องแย่จริงถ้าเจ้าเด็กนี่ค้นคว้าได้
จักรพรรดิกระแอมเล็กน้อย “ไม่ต้องรีบก็ได้ เจ้ากลับไปก่อน เจ้ากำลังวุ่นอยู่กับการก่อตั้งกลุ่มอัศวินมังกร  วางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวก่อนก็ได้!
 “เดี๋ยวก่อน!  จู่ๆ เย่ว์หยางลุกพรวดพราดอย่างตื่นเต้น  “ข้ามีความคิดอย่างหนึ่ง  แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า?”
 “ไม่มีทางเป็นไปได้..?  ไวขนาดนั้นหรือ?” จักรพรรดิอุทานตกใจ  แต่เขารีบข่มอารมณ์เป็นปกติทันที และถาม “เจ้าคิดว่ามีวิธีที่ทำได้เร็วอย่างนั้นหรือ?  เจ้ามีแนวคิดใดอยู่บ้าง?”
 “ข้ายังไม่บอกท่านก่อน รอให้ข้าทำของตัวอย่างง่ายๆ เสียก่อน  หวังว่าข้าจะทำได้!  พระเจ้า.. ถ้าใช้ได้จริงๆ....”  เย่ว์หยางวิ่งออกไปเหมือนคนบ้า
 “เจ้าเด็กนี่ ไม่น่าไว้วางใจเลย”  แม้ว่าปากจะพูดอย่างนั้น แต่ลึกๆ แล้วจักรพรรดิมั่นใจกับเย่ว์หยาง

11 ความคิดเห็น:

ulomzx กล่าวว่า...

เจ้าเย่ว์หยางไม่นา่ไว้ใจมานานแล้วนา...เพิ่งมารุ้หรือ5555555

manit กล่าวว่า...

ใจจ้า

BeHappy กล่าวว่า...

ขอบคุณ​มาก​ครับ​

ก็มาดิคร๊าฟ กล่าวว่า...

จักพัดเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรอ ทำไมพี่เย่วพ฿ดอย่างกะเขาเป็นผู้ชาย ผมงง รึผมเข้าใจผิดไป

sarinnan กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

เดือนดับ กล่าวว่า...

โปเกบอล รึเปล่านะ

Krisda กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Akarit กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

akekapoj-tee กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

chay กล่าวว่า...

ท่านเย่คิดของเล่นอีกแล้ว

แสดงความคิดเห็น