วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1035 (1) อ่อนไหว ความเป็นจริงของชีวิต





 

ตอนที่  1035 (1)  อ่อนไหว ความเป็นจริงของชีวิต

ตอนนี้เขาใช้กระบี่ขาวซวงหัว


ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ซึ่งชำระสรรพสิ่งให้หมดจด  ทั่วทั้งป้อมทรายกลายเป็นโลกที่สะอาดไร้สิ่งสกปรก

สตรีผู้มีใจบิดเบี้ยววิปริต สุนัขที่กินเนื้อคนถูกฆ่าตายด้วยกระบี่นี้ทั้งหมด มนุษย์ที่ใช้แรงงานอย่างโง่เขลาทั้งหมดนี้รวมทั้งเด็กที่ถูกทรมานได้รับอิสระ  หลังจากได้ชำระปลดปล่อยวิญญาณ พวกเขาแสดงความเคารพต่อเย่ว์หยางและหลิวเย่  จากนั้นเป็นไปตามอำนาจกฎสวรรค์ พวกเขาหายไปไม่เหลือร่องรอย

พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกทะเลทรายมานานเท่าใดแล้ว จนกระทั่งเย่ว์หยางและหลิวเย่ปรากฏตัวปลดปล่อยวิญญาณพวกเขาให้เป็นอิสระ

เป็นการปลดปล่อยอย่างแท้จริง

ปล่อยให้พลังกฎสวรรค์พาออกไปจากโลกทะเลทราย

สตรีผู้มีจิตใจวิปริตชั่วร้ายและสุนัขกินเนื้อคนเมื่อถูกปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ชำระกลายสภาพเป็นธุลี  อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้รับอิสรภาพ  แต่ถูกจองจำอยู่ในโลกทะเลทรายนี้และไม่ได้รับอิสรภาพตลอดไป

วิญญาณบาปถูกจองจำอยู่ในป้อมทรายเหลืองมืดมิดสนิท

ถ้าใช้จักษุญาณทิพย์มองดูจะเห็นวิญญาณพวกเขาดิ้นรนทรมานด้วยความเจ็บปวดอยู่ภายในนั้น

เป็นความเจ็บปวดที่พวกเขาสร้างไว้ตลอดชีวิต

สุดท้ายพวกเขาก็ต้องชดใช้กรรมอยู่ในโลกทะเลทรายนี้ตลอดไป  หากบุรุษและเด็กชายเหล่านั้นไม่ได้ถูกส่งออกไปและโต้ตอบแก้แค้นกับพวกเขา  พวกเขาก็ต้องรอวันถูกชำระชดใช้กรรมอยู่ในนั้น  แต่เมื่อครู่นี้เย่ว์หยางเพิ่งใช้กระบี่ขาวซวงหัวชำระวิญญาณให้พวกเขาจนหมดจด วิญญาณของบุรุษและเด็กๆ ได้รับการปลดปล่อย  กฎสวรรค์จึงพรากดึงวิญญาณพวกเขาออกไป  ส่วนวิญญาณสตรีเหล่านี้  จะต้องชดใช้บาปกรรมตลอดไปในคุกโลกทะเลทรายแห่งนี้ จะต้องแบกรับความเจ็บปวดจากกรรมที่พวกเขาก่อขึ้นตลอดชีวิต

พลังกฎสวรรค์ที่นี่มีความยุติธรรม

ตลอดชีวิตทุกคนสร้างความเจ็บปวดให้คนอื่นไปมากน้อยเพียงไหน  พวกเขาจะต้องแบกรับความเจ็บปวดมากเพียงนั้น  ถ้าพวกเขายังชดช้ำกรรมไม่หมด  พวกเขาจะไม่มีทางเป็นอิสระ

 “ไปกันเถอะ!  เย่ว์หยางหันไปพยักหน้าให้หลิวเย่  “เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น  แต่บัดนี้ นี่อาจเป็นผลที่ดีที่สุด  นี่ยังคงเป็นการทดสอบ  ข้าคิดเช่นนั้น เราทุกคนสอบผ่าน  เราจะไปที่ระดับต่อไป!

 “อืม..”  หลิวเย่รู้สึกว่านางได้ประโยชน์จากการทดสอบครั้งนี้มากมาย  ทั้งความโกรธและความสงสาร  ตอนแรกนางโกรธ ตอนหลังนางให้อภัย

หลังจากทดสอบแล้ว นางรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

นางไม่รู้ว่านอกโลกทะเลทรายที่ใดที่หนึ่ง  หากมีคนทำชั่วต่อผู้อื่น  เขาจะต้องชดใช้บาปแบบเดียวกันหรือไม่  จะมีการลงทัณฑ์แบบเดียวกันหรือไม่?  แต่นางเข้าใจว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ เหตุกับผลมีความสัมพันธ์กัน  เหมือนดังที่เย่ว์หยางเคยกล่าวไว้  ถ้าทุกคนทำดี บรรยากาศโดยรวมก็พลอยดีไปด้วย  หากทุกคนเป็นปฏิปักษ์มีใจวิปริตผิดเพี้ยนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์ ทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บปวด นั่นไม่อาจนึกภาพได้ออก แม้จะไม่มีกฎหมายและอำนาจฟ้าดินลงโทษ  ย่อมจะก่อให้เกิดการต่อต้านและสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  หอทงเทียนดั้งเดิมก็เป็นเช่นนี้ คนอ่อนแอเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่ง  ผู้มีอำนาจได้รับการนับถือ

ผลก็คือมีการทะเลาะเบาะแว้ง ต่อสู้กันทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี

จนกระทั่งเย่ว์หยางรุ่งเรืองขึ้นมา  จึงสลายสถานการณ์เช่นนี้ออกไป หอทงเทียนเริ่มเปลี่ยนแปลงจากทวีปมังกรทะยานเป็นอันดับแรกก่อน ได้รับการยอมรับจากผู้มีอำนาจดั้งเดิม  ความสนใจในช่วงแรกค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป มีความสัมพันธ์ที่เนื่องด้วยคุณธรรมเป็นพื้นฐาน เริ่มตั้งแต่ตระกูล ประเทศต่างขยายออกไปจนกระทั่งมนุษยธรรมกลับคืนมา

แม้ว่าเย่ว์หยางคุณชายสามตระกูลเย่ว์จะไม่แสดงออกอย่างชัดเจน  และเขาไม่จำเป็นต้องเคร่งครัด แต่การแสดงออกของเขาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

เพราะเขานำหน้าคนหลายๆ คนอย่างไม่รู้ตัว และขยายขอบเขตในการเป็นผู้นำมากขึ้น

วัฏจักรความใจดีมีน้ำใจของเขาทำให้ทวีปมังกรทะยานเจริญรุ่งเรืองในยุคปัจจุบัน

ทวีปมังกรทะยานในฐานะที่เป็นจุดรากฐานของหอทงเทียนค่อยๆ เข้าสู่วงจรที่รุ่งเรือง กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทั่วโลกได้รับการพัฒนาและก้าวหน้าเติบโตอย่างดีที่สุด  นี่แตกต่างจากปีก่อนที่ชาติพันธุ์ต่างๆ เอาแต่โจมตีรบพุ่งกัน ถ้าเทียบหอทงเทียนในปัจจุบันและแดนสวรรค์ หลิวเย่รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ในแดนสวรรค์เลวร้ายเพียงใด  ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด สภาพความเป็นอยู่ที่ดีที่สุด เอาไปเทียบกับความรุ่งเรืองของหอทงเทียน และข้อได้เปรียบอีกหลายอย่าง  แดนสวรรค์คงต้องยอมให้หอทงเทียนเจริญเข้าใกล้มาทุกที

หลิวเย่มั่นใจว่าไม่นานเกินรอหอทงเทียนคงไล่ทันแดนสวรรค์แม้กระทั่งอาจเหนือกว่าก็ได้

ทั้งหมดนี้

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพราะนักรบหอทงเทียนตื่นรู้ขึ้น  แต่เป็นเพราะการปรากฏตัวของเย่ว์หยาง

เขาเป็นแบบอย่าง และนำการเปลี่ยนแปลงใหม่เข้ามาและชี้แนะหนทางเติบโตก้าวหน้าที่แท้จริงแก่ชาวหอทงเทียน...   นักรบแดนสวรรค์สูญเสียพลังและอำนาจอย่างสิ้นเชิง  แดนสวรรค์เต็มไปด้วยการเข่นฆ่ากันทุกที่ สร้างความเจ็บปวดทรมานผู้อื่นอย่างไม่มีสิ้นสุดก็เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง  ในที่สุดเมื่อหอทงเทียนที่อ่อนแอมานานปีถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มีความเจริญไล่เข้ามาใกล้อย่างไม่มีเหตุผล

 “ขอบคุณ”  หลิวเย่รู้สึกว่านางควรขอบคุณเย่ว์หยางในนามนักรบหอทงเทียน  หากปราศจากเขา หอทงเทียนจะตกต่ำลงไปอีกกี่ปี

 “หา?  เจ้าพูดเรื่องอะไร?”  เย่ว์หยางได้ยินแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจเท่าใด

 “ไม่มีอะไร, ไปกันเถอะ!  หลิวเย่ยิ้มหวาน แต่ไม่ได้อธิบาย  นางรู้ว่าเย่ว์หยางไม่ได้ตั้งใจให้ทุกคนเปลี่ยนแปลง  เขาไม่ได้ตั้งใจอย่างเต็มที่  เพราะเขาเป็นแบบอย่างที่ดีโดยไม่ได้ตั้งใจให้แม่สี่ เย่ว์หวี่ เย่ว์ปิง เย่ว์ซวงและตระกูลเย่ว์ และมีอิทธิพลต่ออาณาจักรต้าเซี่ย เทียนหลัวและทุกคนที่อยู่รอบตัวได้เห็น  นางไม่ได้พูดไม่ได้สรรเสริญเขา แต่นางตัดสินใจเองในใจ ในอนาคตนางจะอยู่กับเขาเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี จะทำงานอย่างหนักร่วมเป็นแบบอย่างที่ดีกับเขา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจกับคนให้มากขึ้น ขยายวงความรุ่งเรืองให้มากยิ่งขึ้น

ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ

แม้ว่าเจ้าจะทำด้วยตนเอง แต่เจ้าจะไม่มีทางเดียวดายเลย

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลิวเย่เริ่มจับมือเย่ว์หยางก่อน นางก้มหน้าด้วยความอาย มือสั่น แต่นางตั้งใจแน่ว่านางจะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด

สามวันต่อมาเย่ว์หยางและหลิวเย่เดินทางผ่านพื้นที่มิติที่แตกต่างกันถึงสิบแห่ง  แต่ละมิติทำให้พวกเขาเกิดความเข้าใจและมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน

ตัวอย่างเช่นโลกขนาดเล็กที่เย่ว์หยางและหลิวเย่เข้ามา ดูเหมือนว่ามีเทพอารักษ์เฝ้ารักษา

เทพอารักษ์ตัวใหญ่เหลือเชื่อ

โลกดูเหมือนโต๊ะทรายเล็กที่ตั้งอยู่

บนโต๊ะทรายเล็กมีประเทศต่างๆ ซึ่งมีสิ่งที่มีชีวิตที่ในสายตาของเย่ว์หยางและหลิวเย่เห็นเหมือนตัวเล็กกว่ามดอาศัยอยู่นับไม่ถ้วนโจมตีต่อสู้กันเองอย่างต่อเนื่อง  เพื่อเงินและอำนาจ ผู้บังคับบัญชาของประเทศต่างๆสั่งให้ทหารนับล้านนายแม่ทัพนายกองทั้งสองฝ่ายต่อสู้ฆ่าฟันกันเองในแนวหน้า  การเข่นฆ่าสังหารของพวกเขาทำให้เลือดไหลนองเป็นท้องธาร ซากศพเต็มอยู่ทั่วทุกแห่งหน  อย่างไรก็ตามในสายตาของเย่ว์หยางและหลิวเย่เห็นว่าการกระทำของมดแมลงผู้โง่เขลาหยิ่งยโสเหล่านี้ช่างโง่เขลาเบาปัญญา แม้ว่าพวกเขาจะได้รับพลัง เงิน และชีวิตอันแสนสั้นและเปราะบาง เหมือนมดเหล่านั้นแก่ชราลงและตายอย่างรวดเร็ว  พวกเขาไม่สามารถรักษาอำนาจ ชะตากรรมที่ดีและความสุขระยะยาวไว้ได้  เย่ว์หยางและหลิวเย่มองดูชีวิตเล็กๆ ที่น่าเหลือเชื่อเหล่านี้  ในการเจรจาพูดคุยเพียงไม่กี่คำ มนุษย์มดพวกนี้เกิดขึ้น พอคุยไปได้ไม่กี่คำ พวกเขาก็โต และเข่นฆ่าชิงเงินชิงอำนาจ  พอเวลาผ่านไปเจ้ามนุษย์มดพวกนี้ทำงานอย่างหนักรักษาความสุขสงบได้ไม่นานสงครามของคนรุ่นหลังก็เกิดขึ้นอีก

ไม่มีใครรู้ความลับของฟ้า  ไม่มีใครรู้ว่าเย่ว์หยางและหลิวเย่กำลังมองดูพวกเขาเข่นฆ่าประหัตประหารกันอยู่

ไม่มีใครรู้ความจริงของชีวิต

ไม่มีใครรู้ความหมายของชีวิต

จากรุ่นสู่รุ่นเพราะความหลงระเริงกับพลังอำนาจชั่วขณะหนึ่งพวกเขาจึงเข่นฆ่ากันเองต่อไป....  พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกอย่างโง่เขลาใช้ชีวิตวนเวียนกันไป  ไม่มีใครคิดต่าง หรือยอมเปลี่ยนแปลงการกระทำ!  เจ้ามนุษย์มดพวกนี้คิดว่าเงิน และอำนาจคือทุกอย่างในชีวิต พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาเกิดมาก็ตกอยู่ภายใต้สายตาเย่ว์หยางและหลิวเย่แล้วก็ตายไป แค่เพียงนาทีแล้วนาทีเล่าพวกเขามองเห็นเวลาได้ชั่วชีวิต

 “ข้าคิดว่าในสายตาของเหล่าเทพโบราณ เราไม่ต่างจากมนุษย์มดเหล่านี้”  หลิวเย่เดินออกมาเบาๆ ส่ายหน้าและถอนหายใจ “เรายังไม่มีชีวิตนิรันดร เทียบกับเทพเจ้าหรือเทพเจ้ายักษ์โบราณ ชีวิตของเราก็เหมือนมด พอเกิดมาแล้วก็ต้องตาย  ในสายตาของเทพโบราณ มนุษย์เราเกิดมาไม่กี่นาทีก็เติบโตเป็นหนุ่มสาวเต็มไปด้วยความแข็งแรง  แต่เพียงชั่วลัดนิ้วมือร่างกายมนุษย์ก็แก่และตายไปเหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิว  คนยุคก่อนในหอทงเทียนมีมากมายนับไม่ถ้วนได้สร้างความรุ่งเรืองและเกียรติยศไว้มากมาย  แต่พวกเขาล้วนแต่ล่วงลับดับลาโลกไปแล้วเช่นเดียวกับเราที่เกิดมาและเติบโต ความตายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต...  สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงก็คือหอทงเทียนที่เป็นประจักษ์พยานได้เห็นชีวิตในแต่ละรุ่น และมีแต่มันเท่านั้นที่คงอยู่ตลอดไป!  หากเราไม่สามารถนึกถึงความหมายและสัจธรรมของชีวิตได้ เราก็คงไม่ต่างไปจากมนุษย์มดเหล่านี้จริงๆ!

 “การฝึกฝนและแสวงหาความก้าวหน้าก็คือการค้นหาสัจธรรมของชีวิต!  เย่ว์หยางยื่นมือลูบผมอ่อนนุ่มของหลิวเย่เบาๆ และปลอบโยนนาง  “ทำไมเราถึงต้องศึกษาเรียนรู้?  เพราะการเรียนรู้ทำให้มนุษย์เกิดสติปัญญา  เจ้าสามารถรู้แจ้งเข้าใจความหมายของชีวิต และความเป็นจริงของฟ้า  ทำไมเราต้องฝึกฝนเพื่อความก้าวหน้าเล่า?  เพราะข้าไม่พอใจในสภาพที่เป็นอยู่และต้องการก้าวหน้าไปสู่ระดับที่สูงขึ้นของชีวิตและขอบเขตความรู้ที่มากขึ้น... ข้าเชื่อว่าตราบใดที่เราฝึกฝนพยายามกันอย่างหนักในทิศทางนี้เราจะสามารถพบเจอความหมายและสัจธรรมของชีวิตเราได้!

 “จริงหรือ?”  หลิวเย่ได้ยินคำพูดของเย่ว์หยางนางรู้สึกแจ่มใส

 “เหตุผลที่พวกเขาเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์นั้นมีสติปัญญา  พวกเขาสามารถค้นพบความลึกลับและความจริงของโลกในระดับที่สูงๆ ขึ้นไปผ่านการฝึกฝนเรียนรู้และเติบโต นี่คือเหตุผลที่เผ่าพันธุ์อื่นพากันริษยาเรา!  เย่ว์หยางถอนหายใจอย่างมีอารมณ์  “ในทางกลับกันถ้าเจ้าไม่ใช้สติปัญญาเรียนรู้ให้ก้าวหน้า ค้นหาสัจธรรมของชีวิตจมอยู่กับความเพลิดเพลินโลกๆ  นั่นคือเรื่องน่าเศร้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นี่คือการกีดกันตนเองที่คนทั่วไปไม่ยอมสละความสะดวกสบาย  ไม่ต้องการพัฒนาตนเองผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์มดที่โง่เขลาเหล่านี้  แต่ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างเรากับมนุษย์มดเหล่านี้ก็คือ มนุษย์เรามีบรรพบุรุษที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ มีครูบาอาจารย์สอนให้รู้จักเข้าใจและแยกแยะ  บางทีคนในรุ่นเราไม่สามารถเข้าใจและติดตามสัจธรรมของชีวิตได้ แต่ในรุ่นต่อไป อาจผ่านการพัฒนาเรียนรู้ฝึกฝนปรับปรุงและดำเนินไปในมรรคาสายใหม่เติบโตยิ่งขึ้น  พวกเขาจะไม่ตกต่ำตลอดไป  นี่คือข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติเราและเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา!

 “ข้า  ข้าจะต้องพยายามให้หนักยิ่งขึ้น!  หลิวเย่รู้ว่าเย่ว์หยางจะต้องยกระดับดำเนินชีวิตในระดับสูงขึ้น  ไม่ใช่เขาเท่านั้นที่ฝึกฝนหนักในทิศทางนั้น แต่ยังมีเสวี่ยอู๋เสีย องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เจ้าเมืองโล่วฮัว อี้หนาน เย่ว์ปิง พวกนางเหมือนกันหมด

หลังจากได้เห็นมนุษย์มดแล้ว  นางรู้สึกว่านางไม่อาจถ่วงเป็นภาระให้เขา

นางไม่ต้องการถูกทุกคนทิ้งไว้  และอยู่ในโลกระดับต่ำเจ็บป่วยและตายไปต่อหน้าเย่ว์หยางอย่างน่าเศร้า

นางจะต้องอยู่เคียงข้างระดับเขาได้เสมอ ก้าวไปสู่โลกที่ไม่แก่ไม่เจ็บ ไม่ตาย มองหาโลกระดับที่สูงกว่า ดีกว่าและอยู่ด้วยกันตลอดไป...

5 ความคิดเห็น:

Numton กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ สัจธรรมมาเต็ม ๆ ตอนนี้

ulomzx กล่าวว่า...

ใช่ครับ..ตอนนี้นี้มีสาระเต็มๆ

manit กล่าวว่า...

ใจจ้า

nutzido กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

chay กล่าวว่า...

ยากเข้าใจ ยากฝึกฝน ต้องมานะ

แสดงความคิดเห็น