วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1039 เป้าหมาย วิหารปีศาจฟ้า



ตอนที่  1039  เป้าหมาย วิหารปีศาจฟ้า

 “เจ้าเป็นผู้มาใหม่  ถ้าเจ้าไม่มีญาติหรือสหาย ไม่ต้องรีบออกไปตามล่าเก็บคะแนน  ค่อยๆ ดำเนินการก็ได้  ไม่ต้องกังวลเกินไป  เพราะเจ้าต้องมั่นใจว่าอสูรศึกของเจ้าจะอยู่รอดได้ทุกเมื่อ  ทันทีที่อสูรศึกตายก็เท่ากับความพยายามทั้งหมดล้มเหลว  ในค่ายของเราแม้ว่าไม่ได้รับความช่วยเหลือมากนัก  แต่มีอาหารมากมาย หรือมียาเพียงเล็กน้อยเรายินดีให้บริการฟรี  หากเจ้ามีโอกาสได้รับสิ่งของมากมายในอนาคต เจ้าค่อยบริจาคไว้ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือคนที่ต้องการ... ฝ่ายเทพของเราเนื่องจากขาดสมาชิกที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษพอจะต่อกรฝ่ายมาร  จึงอยู่ในสถานะอ่อนแอมาเป็นเวลานาน  ความแข็งแกร่งนั้นยังเทียบไม่ได้กับฝ่ายมาร  หากเราไม่พร้อมใจกันมากพอ ช่วยเหลือกันและกัน  อย่างนั้นพวกเราทั้งหมดที่ให้ความสนใจอย่างธรรมดา จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก”


 “เด็กใหม่, ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนแปลกหน้าแค่ไหน  ข้าหวังว่าเจ้าจะละวางทิฏฐิของตัวเองและพยายามฟังคำแนะนำจากผู้บุกเบิกที่มาก่อนในฝ่ายเทพของเรา  เราพยายามรักษาความแข็งแกร่งและรักษาอสูรศึกของเราไว้ รักษาความหวังในการสานต่อการทดสอบท้าทายการผ่านด่าน  ส่วนเจ้าเพื่อจะต่อต้านฝ่ายมาร  เจ้าก็ต้องรักษาตนเองให้ดี จงวางแผนผ่านด่านในอนาคตให้ได้...”

บุรุษร่างใหญ่ชื่อมาร์คดูเหมือนสังเกตเห็นว่าเย่ว์หยางเป็นคนที่ยังไม่เชื่อใจคนอื่น

เขามีสีหน้าจริงใจ ทำท่าทางซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อวิเคราะห์ความสนใจของเย่ว์หยาง

และพยายามโน้มน้าวใจเขา

เป็นไปไม่ได้ที่เย่ว์หยางจะเชื่อคนได้ง่าย  แต่สำหรับมาร์คผู้นี้ เขาปลื้มใจเล็กน้อย

ด้วยจักษุญาณทิพย์และสำนึกที่พิเศษ เขาสามารถตัดสินได้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขากำลังโกหก หรือเขากำลังเล่นลูกไม้กับเขา

อย่างไรก็ตาม ไม่เกิดเรื่องเช่นนั้น

มาร์คผู้นี้ไม่ได้โกหก  ไม่ได้สวมหน้ากากหลอกเย่ว์หยาง สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง

อาจเป็นเพราะสถานการณ์โดยรวมไม่เอื้ออำนวย หรือเพราะมาร์คผู้นี้อยู่ในค่าย 1385 และยังคงมีความจริงใจ  คำพูดของมาร์คไม่ได้โกหก  แต่เป็นความจริงจากใจของเขา!  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดความจริง  แต่ก็ยากจะบอกความจริงได้ว่าเสบียงฟรี ให้เปล่ากับผู้มาใหม่ และเต็มใจช่วยเหลือกันและกัน

สำหรับมาร์ค เย่ว์หยางไม่คิดว่าคนผู้นี้จะดีเท่าใดนัก  แต่เขากลับปฏิบัติต่อผู้มาใหม่ค่อนข้างดี

ในท่ามกลางคนหลายคนที่เขาพบเจอ

นี่เป็นคนที่หาได้ยาก

ในเวลาเดียวกันนี่เป็นครั้งแรกที่เย่ว์หยางได้พบกับบุรุษที่มีความจริงใจหลังจากเข้ามิติดินแดนทดสอบฝีมือ  คนแบบนี้เย่ว์หยางไม่รู้จริงๆ ว่าเขารอดชีวิตมาได้อย่างไร...  “ขอบคุณ, ข้าคิดว่าข้าจะทำความเข้าใจข้อมูลของตัวข้าเองและศัตรูก่อน แล้วค่อยกำหนดแผนการต่อสู้ที่เกี่ยวข้องแล้วค่อยพิจารณาเป็นประเด็น”  เย่ว์หยางตอบความจริงครึ่งหนึ่ง  เป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ ในการรวบรวมข้อมูลและวางแผน  แต่ไม่ใช่สำหรับฝ่ายมาร  แต่เป็นจอมปีศาจไคเทียนที่อยู่ในวิหารลับปีศาจฟ้า  ปัญหาของการสะสมคะแนน  เย่ว์หยางไม่เคยพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง  แต่เขาเพิ่งตั้งเป้าหมาย นั่นคือพยายามให้ได้คะแนนเหนือกว่าจีอู๋ลี่เท่าที่เป็นไปได้   เขาจะไม่ปล่อยให้เจ้าผู้นั้นเหิมเกริมเกินไป

 “หัวหน้าค่ายของเรายังไม่อยู่ที่นี่  ถ้าเขากลับมา เจ้าที่เป็นผู้มาใหม่สามารถสมัครขอความช่วยเหลือได้  โดยทั่วไปผู้มาใหม่จะได้รับอสูรศึกสำหรับต่อสู้มากกว่าหนึ่งตัวเป็นความช่วยเหลือเบื้องต้น  หากเจ้ามีความมั่นใจมากพอเจ้าสามารถขอไข่อสูรศึกที่มีศักยภาพได้สองใบ  ที่นี่ตัวสะสมคะแนนที่สำคัญที่สุดก็คืออสูรศึก”  มาร์คส่งแผนที่หนังแกะขนาดเล็กให้เย่ว์หยาง มีพื้นที่สำคัญหลายแห่งที่อยู่ในรัศมีพันตารางกิโลเมตร พื้นที่บริเวณใกล้เคียงมีการทำเครื่องหมายไว้อย่างละเอียด

 “ถ้าข้าฆ่าอสูรปราณฟ้าได้จะได้คะแนนสะสมเท่าใด?”  เย่ว์หยางนึกถึงปัญหานี้ได้ทันที

 “เจ้าไม่ได้ขอคู่มือแนะนำก่อนเข้ามาหรือ?”  เมื่อมาร์คได้ยิน ก็สงสัย ผู้มาใหม่แบบนี้ก็มีด้วยหรือ?  เข้ามาโดยไม่ขอคู่มือเลยหรือ?

 “เขาบอกว่าต้องจ่ายค่าธรรมเนียม!  เหตุผลของเย่ว์หยางดีมาก นั่นเพื่อเป็นการประหยัดเงิน

 “จ่ายอัญมณีระดับหกหนึ่งเม็ด...”  มาร์คเงียบ  ความตระหนี่ของเย่ว์หยางทำให้เขาพูดไม่ออก ข้อมูลสำคัญมาก ยังจะต้องประหยัดเงินด้วยหรือ?

 “อะแฮ่ม.. ข้า ข้าไม่ค่อยมีเงิน!  เย่ว์หยางโกรธในใจ  เขารู้ว่าราคาถูกจึงได้แต่กัดฟันตนเอง  เขานึกไม่ถึงเลยว่าตาแก่นั่นจะไร้ยางอาย  เขาไม่ได้ระบุราคาเท่าไหร่ทำให้เขาคิดว่ามีราคาแพงมาก  เขารู้สึกโกรธเป็นธรรมดา แต่ไม่แสดงออกทางใบหน้า  ได้แต่ทำตัวแกล้งจนต่อไป

 “ไม่มีพลอยระดับหกแม้แต่เม็ดเดียว”  ไม่เพียงแต่มาร์คเท่านั้น  แม้แต่ทหารรับจ้างที่เข้าร่วมผ่านด่านที่อยู่ใกล้ๆ พากันมองเย่ว์หยางด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ  ผู้สอบผ่านด่านเด็กใหม่ยากไร้จริงๆ  พวกเขาเข้าใจ แต่ไม่คิดว่าจะมีเด็กจนขนาดนี้

 “ไม่เป็นไร ในโลกหุบเขาปีศาจ บริเวณรอบๆ นี้ไม่มีอัญมณีอยู่เลย  ที่นี่นิยมของอื่น ของที่ช่วยเสริมศักยภาพหรือความแข็งแกร่งของอสูรศึก  ตัวอย่างเช่นผลปัญญาหรือใบปัญญา ที่นี่ถือว่าเป็นของมีค่าราคา  เจ้าไม่สามารถหาซื้อได้มาก  มีหลายวิธีในการฝึกฝนอสูรศึก  เพราะมีความต้องการที่ต่างกัน  ผู้เข้าท้าทายผ่านด่านระดับราชาบางคนในหุบเขาอสูร  ต้องการประหยัดเวลาและพลังงาน จะใช้ของมีค่าต่างๆ แลกเปลี่ยนเพื่อฝึกอสูรศึกให้เร็วขึ้นและดีขึ้น  พวกเราที่อยู่ที่นี่นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนแล้ว และเจ้ายังสามารถรับทำงานบางอย่างเป็นภารกิจที่ผู้อื่นออกให้ จากนั้นรับคะแนนหรือแลกเปลี่ยนสิ่งของที่เจ้าต้องการ”

สำหรับตัวอย่าง อสูรปราณฟ้าที่ใช้สู้รบ  ที่นี่มีมากมาย เกือบทั้งหมดอยู่ในระดับหนึ่ง ต้องฆ่าให้ได้หมื่นหัวจึงจะได้คะแนนสะสม  ปราณฟ้าระดับสองต้องได้พันหัวจึงจะได้คะแนนสะสมเพียงพอ  ส่วนระดับสามได้ฆ่าร้อยตัวจึงจะได้คะแนนสะสมพอ  ปราณฟ้าระดับสี่ต้องฆ่าสิบตัว และปราณฟ้าระดับห้าต้องได้หนึ่งตัว”

 “ถ้าเจ้าสามารถสะสมทำคะแนนได้ 100 คะแนน  อย่างนั้นเจ้าสามารถไปที่ประตูเทเลพอร์ตที่ฐานเทวรูปค่ายที่หนึ่ง ผ่านการทดสอบแล้วจึงเทเลพอร์ตจากไปได้  เด็กใหม่!  ความหวังที่ข้าจะได้ออกไปนั้นไม่แน่นอนเหลือน้อยลงทุกที  ผ่านมาสามพันปีแล้ว ข้าเก็บคะแนนได้ยี่สิบกว่าเท่านั้น  อสูรที่มีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดแทบจะไม่เหลือแล้ว  ความแข็งแกร่งของพวกมันก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว  ความเป็นไปได้ในการออกไปแทบไม่มี...  ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะสามารถใช้ศักยภาพของอสูรศึกช่วยผ่านด่านหุบเขาปีศาจ  ในนามของพวกเราคนแก่ เราไม่ต้องการทิ้งให้ลูกหลานรุ่นหลังประสบเคราะห์เหมือนคนแก่และออกไปบินในท้องฟ้าได้อย่างอิสระ...”

ในที่สุดไม่ว่าจะเป็นมาร์คหรือทหารรับจ้างผู้ท้าทายผ่านด่าน

สีหน้าเขาดูเหมือนว่างเปล่าเล็กน้อย

พวกเขาคือกลุ่มผู้ท้าทายผ่านด่านแสวงหาอิสรภาพ

เย่ว์หยางเข้าใจอารมณ์ของคนเหล่านี้ได้มากขึ้น อิสรภาพ บางครั้งไม่มีใครรู้สึกถึงมันได้แม้แต่น้อย  อย่างไรก็ตามทันทีที่สูญเสียอิสรภาพไปถึงได้รู้ว่าสิ่งนี้มีค่าที่สุดในโลก

เรื่องนี้เป็นมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลแล้ว  บรรพชนรุ่นก่อนๆ รู้ได้ว่าอาชญากรที่เป็นคนบาปจะถูกผนึกแทนที่จะตัดหัว  ความเจ็บปวดจากการกักขังขาดอิสรภาพของคนผู้นั้นหนักยิ่งกว่าฆ่าฟันกัน  การลงโทษดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  คนที่สิ้นหวังหลายคนไม่กลัวตาย  แต่กลัวถูกผนึกขังไว้

 “หากมีการสู้รบแตกหักระหว่างสองฝ่าย จะต้องใช้เวลานานแค่ไหน หนึ่งปีพอไหม?”  เย่ว์หยางถามอีกครั้ง

 “ตามทฤษฎีก็ประมาณสามเดือน  ทุกๆ สามเดือน คนพื้นเมืองจะเปิดค่ายทุกระดับ ให้ผู้ท้าทายแข่งขันของทั้งสองฝ่ายติดต่อกันได้เต็มที่”  มาร์คถอนหายใจเล็กน้อย  “ความจริงตราบเท่าที่เจ้ามีพลังมากพอเจ้าสามารถไปฆ่าเมื่อใดก็ได้   และกล่าวอีกนัยหนึ่ง เราอาจตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา  จงให้ความสนใจปกป้องอสูรของเจ้า  โดยเฉพาะอสูรที่แข็งแกร่งที่สุด  อย่าปล่อยให้ศัตรูฆ่ามันได้  เจ้าต้องให้อสูรของเจ้ามีชีวิตจนถึงที่สุด  ผู้ท้าทายผ่านด่านอย่างพวกเราโดยทั่วไป ศัตรูสามารถบุกเข้ามาฆ่าได้  เราไม่ต้องสนใจชีวิตของเรา  แค่ระวังป้องกันอสูรศึก อย่าปล่อยให้ศัตรูฆ่ามันได้ทันที”

 “ถ้าเป็นไปไม่ได้จริงๆ  เจ้าสามารถไปที่ทางผ่านใต้ดินและฝึกฝนสักระยะหนึ่ง” ใครบางคนเสนอวิธีนี้

 “มีทางเดินใต้ดินโบราณหลายพันเส้นทาง  เส้นทางหนาแน่นซับซ้อนยาวหลายพันกิโลเมตร  บางเส้นทางลึกลับ  ข้าไม่รู้ว่ามันจะไปโผล่ที่ไหน  แม้ว่าจะมีสัตว์ประหลาดโบราณอยู่ในนั้น  เมื่อเทียบกับผู้แข่งขันท้าทายฝ่ายมาร  ยังมีอันตรายต่ำกว่า  ต่อให้อสูรเจ้าตาย เจ้าก็ไม่ถูกหักคะแนน” อีกคนหนึ่งพูดอย่างนี้

 “ระวังไว้ ผู้ท้าทายแข่งขันฝ่ายมารจะปลอมอสูรศึกของพวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดโบราณ  และเมื่อเราไปฝึก เราจะฆ่าอสูรพวกเขาเพื่อให้ได้คะแนน”

 “ในช่วงเริ่มต้นต้องทำงานเป็นกลุ่มก่อน  แน่นอน เจ้าสามารถทำความคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศก่อน”

 “อย่างน้อยก็ต้องมีอสูรสามตัว คืออสูรหลัก อสูรผู้ช่วย และอสูรสำรองกำลัง”

มาร์คและสหายของเขากระตือรือร้นจะอธิบายสถานการณ์ของหุบเขาปีศาจให้เย่ว์หยางฟัง เพราะสงสารที่เขายากจนไม่มีเงินซื้อข้อมูลข่าวสาร

โดยไม่คำนึงถึงว่าวิธีการของพวกเขาจะใช้ด้วยกันกับเย่ว์หยางได้หรือไม่

เย่ว์หยางขอบคุณพวกเขาทีละคน

เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะได้พบเจอคนจริงใจในหุบเขาปีศาจ  ก็เหมือนกับหุบเขาราคะและหุบเขาอสูร  แม้ว่าสถานการณ์ที่นี่จะแย่และยากกว่า  อย่างไรก็ตามผลกระทบของกฎสวรรค์โบราณที่นี่นั้นเกินความคาดหมายของเย่ว์หยาง  เป็นผลกระทบที่อ่อนโยนไม่เหมือนกับที่หุบราคะและหุบเขาอสูร  ผลกระทบด้านลบทั้งหมดจะมีต่อศัตรู

 “อสูรใดถูกฆ่าตายในการต่อสู้ จะถูกหัก 100 คะแนนใช่ไหม?” เย่ว์หยางถามอีกครั้ง

 “ไม่, คะแนนจะถูกหักก็ต่อเมื่อเป็นอสูรตัวหลัก นั่นคืออสูรที่ติดตราเครื่องหมายฝ่ายเทพถูกฆ่า  หากอสูรศึกที่คอยเสริมถูกฆ่าจะไม่ถูกหักคะแนน  แต่ความแข็งแกร่งของอสูรหลักจะอ่อนแอลง และอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส  ศัตรูแม้จะฆ่าอสูรเสริมจะได้คะแนนน้อยกว่า  โดยทั่วไปจะได้คะแนนหนึ่งเปอร์เซนต์ของพลังอสูรหลัก  พลังแตกต่างกัน และมีความก้าวหน้าช้า” มาร์คตอบไว้อย่างชัดเจน

 “ค่ายมารมีผู้ท้าทายแข่งขันกี่คน?”  เย่ว์หยางถามคำถามสุดท้าย

 “แสนคน แม้ว่าไม่ใช่ แต่ก็นับว่าใกล้เคียง”  มาร์คคิดเล็กน้อยก่อนพูดเสริมต่อ  “พวกเราที่นี่เพราะการสังหารของจีอู๋ลี่และแผนของจอมวายร้ายจงหัว แต่เดิมมีอสูรแปดหมื่น ตอนนี้มีเพียงห้าหมื่น  ในค่ายของเราคนตายไปถึงครึ่ง”

 “สมดุลถูกทำลาย ไม่ช้าก็เร็ว จะกลับคืนสู่สภาพเดิม  ที่สำคัญกฎสวรรค์จะไม่ยอมให้การเสียสมดุลคงอยู่นานเกินไป”  เย่ว์หยางพูดปลอบสองสามคำ

 “รอให้ผู้มาใหม่เข้าร่วมถ่วงดุล ไม่ใช่ว่าไม่เร็ว  แต่ว่ามันช้าเกินไป  เราเกรงว่าเราไม่อาจรอได้  ตอนนี้ฝ่ายเทพกำลังแย่ลง  ข้ากลัวว่าจะประสบเคราะห์ในอีกสองเดือน...”  มาร์คคิดว่าคนของฝ่ายมาร คงจะกลายเป็นคนโง่ทั้งหมด  พวกเขาจะต้องมาเข่นฆ่าในอีกสองเดือน

 “ฮะฮะ ยังมีเวลาอีกสองเดือน เรายังทำอะไรได้อีกมาก!  เย่ว์หยางฟัง และยิ้มเล็กน้อยไม่พูดต่อ

ในเมื่อยังมีเวลาพอ อย่างนั้นเขาจะไปหาจอมปีศาจไคเทียนก่อน

ที่สำคัญ เป้าหมายหลักก็คือจอมปีศาจไคเทียน

ในนามของภูมิประเทศที่คุ้นเคย เย่ว์หยางอำลามาร์คและกลุ่มสหายที่มีน้ำใจตรงไปตรงมา  บอกลากลุ่มผู้ท้าทายผ่านด่านผู้มีอัธยาศัยดีที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน จากนั้นมุ่งสู่จุดหมายที่แม้แต่นางพญาเฟ่ยเหวินหลีและจักรพรรดิอวี้ไม่เคยไป วิหารปีศาจฟ้า!

3 ความคิดเห็น:

ulomzx กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ...บทนี่เป้นเหมือนที่บทที่ต้องเข้าฝึก

zen zen กล่าวว่า...

งานอลังกำลังมาแล้ว

เนพื กล่าวว่า...

ล่อบอสก่อนเลยเหรอ

แสดงความคิดเห็น