วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1042 วิกฤต ลอบโจมตี



ตอนที่  1042  วิกฤต ลอบโจมตี

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน หัวหน้าใหญ่ทั้งห้าก็พบเจอประตูลับเทเลพอร์ตเข้าวิหารปีศาจฟ้า


ประตูลับถูกฝังอยู่ใต้กองเศษอิฐปูน

ถ้าไม่ใช่เพราะบัณฑิตตาเงินแนะนำ  ต่อให้ผู้ท้าทายผ่านด่านใช้เวลาเพิ่มอีกสิบเท่า  พวกเขาคงจะขุดไม่พบแม้แต่คนเดียว

 “หลังจากเข้าไปในประตูลับ อาจจะมีอันตรายบางอย่าง  อาจมีอสูรปีศาจโบราณนับไม่ถ้วนลอบโจมตีอยู่ภายใน  ข้าขอแนะนำให้ส่งกลุ่มนักสู้มือดีออกไปก่อนเพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนตัดสินใจ”  มือกระบี่รูปงามให้คำแนะนำหัวหน้าใหญ่เริ่นเทียนเกอ

 “ข้าเห็นด้วย”  ฮ็อกบุรุษผมแดงเห็นด้วย

 “......” ชิงหมอไม่พูดอะไรสักคำ  แม้ว่าเขาไม่เห็นด้วย  แต่เขาก็ไม่คัดค้าน

 “แล้วท่านคิดว่ายังไง?”  เริ่นเทียนเกอให้ความสำคัญความคิดเห็นของบัณฑิตตาเงินมากที่สุด

บัณฑิตตาเงินไม่ได้เอ่ยปากพูด  เขาเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย เริ่นเทียนเกอดีใจ โบกมือสั่งนักสู้ฝีมือดีที่สุดเข้าไปในประตูลับโบราณก่อน

ครึ่งชั่วโมงต่อมา หน่วยนักสู้ฝีมือดีของเริ่นเทียนเกอกลับมา

เขารายงานหัวหน้าใหญ่ว่ามีประตูลับสองชั้น

ข้างในมีพื้นที่มิติมากขึ้นเรื่อยๆ  มีเขาวงกตที่แปลกประหลาดและประตูลับสำหรับเทเลพอร์ตแห่งที่สอง  โชคดีที่บางคนในกลุ่มเก่งมากในการสำรวจทางแกะรอย มิฉะนั้นคงทำภารกิจนี้ได้ไม่สำเร็จ  ตอนนี้ทุกคนกำลังเจอกับปัญหาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเข้าไปในพื้นที่นอกจากเขาวงกต มีแต่ทำให้ปวดหัว  ยังมีประตูลับที่สอง และอาจมีประตูลับที่สาม ถ้าพวกเขาออกไปอยู่นอกซากเมืองโบราณ หลังจากผู้นำทั้งห้าออกไปแล้ว พวกอสูรปีศาจโบราณคงต่อสู้ตอบโต้กลับ และจะไม่มีใครรับมือได้  แล้วจะให้พวกเขาทำอย่างไร?

ในเรื่องนี้ ห้าผู้นำใหญ่เรียกประชุมหัวหน้าค่ายน้อยใหญ่ที่เป็นหลักของกลุ่มมาพูดคุยปรึกษาจะคงกองทัพไว้ข้างนอกหรือว่าจะเข้าไป

พวกที่ระมัดระวังตัวเต็มใจจะอยู่  แต่พวกที่มีแรงบันดาลใจกระตือรือร้นยินดีที่จะเข้าไป

ความเห็นถูกแบ่งออกเป็นสองฝักฝ่าย

พวกหัวเก่าสนับสนุนให้อยู่  ส่วนพวกมองโลกในแง่ดีสนับสนุนให้เข้าไปล่าสมบัติ

การประชุมดังกล่าว เด็กใหม่อย่างเย่ว์หยางไม่มีสิทธิ์ร่วมด้วยเป็นธรรมดา มีแต่บุรุษตาเดียวที่ได้เข้าร่วมประชุม

ต่างจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ทอเรนเป่ยและคนสี่แขน  หัวหน้าตาเดียวค่อนข้างเป็นคนหัวอนุรักษ์นิยม  เขากับหัวหน้าค่ายมากกว่าสามสิบคนตัดสินใจเหมือนกันนำคนของตนเองออกไปข้างนอก  หากมีการตอบโต้จากอสูรปีศาจโบราณ  เขาจึงจะรับพิจารณาเข้าประตูลับ และเข้าสู่เส้นทางวงกต  ถ้าไม่มีอสูรปีศาจโบราณโจมตี  อย่างนั้นกลุ่มของเขาจะอยู่ภายนอก  แต่จะค้นหาประตูลับขุมทรัพย์โบราณที่ซากเมืองใต้ดินข้างนอก   ความจริงในช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมาผู้ท้าทายผ่านด่านพบเจอแต่วัตถุโบราณที่มีค่าน้อย

ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงมากเกินไป  อาจได้ผลกำไรนิดหน่อย ทำไมไม่ทำอย่างนั้น?

ถ้าทุกคนต้องเข้าไปกันหมด ไม่ต้องพูดเรื่องอันตรายหรือไม่  คำถามว่าจะแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างไร  ไม่ว่าสมบัติโบราณจะมีกี่อย่าง เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะได้รับการแบ่งปันเท่ากันหมด ผู้ท้าทายผ่านด่านที่สนับสนุนแนวคิดหัวโบราณไม่ต้องการเห็นพวกเขาฆ่ากันเอง  ดังนั้นพวกเขาจึงยอมสละส่วนหนึ่งที่พวกเขาอาจได้รับมาก

 “โชคร้ายจริงๆ ข้าจะติดตามผู้นำที่ขี้ขลาดอย่างเจ้าได้อย่างไร?”  เจ้าสัวร่างอ้วนเตี้ยไม่พอใจ เพราะเขาต้องการเข้าไปล่าสมบัติ  แต่เพราะห้าผู้นำใหญ่มอบหมายให้พวกเขาตกลงใจเอาเอง  พวกเขาไม่ใช่หน่วยรบที่แข็งแกร่ง ได้รับมอบหมายให้รั้งอยู่  ดังนั้นการบ่นจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงได้

 “เป็นเรื่องดีที่ยังมีชีวิตรอดอยู่”  เย่ว์หยางบอกว่าไม่สำคัญ ความจริงเขารู้สึกว่าไม่ว่าจะเข้าไปหรือรั้งอยู่ก็อันตรายพอกัน

แน่นอนว่าลางสังหรณ์นี้เขาไม่สามารถพูดออกมาได้

ประการแรกไม่มีใครเชื่อ

ประการที่สองหลังจากพูดคำนี้ออกไป เขาเชื่อว่าคงไม่นาน บัณฑิตตาเงินคงตรวจพบพิรุธของเขา

เย่ว์หยางไม่ต้องการเปิดเผยความแข็งแกร่งของเขาชั่วคราว  เขาต้องทำความเข้าใจสถานการณ์โดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นเช่นไร ก่อนจะพูดถึงเรื่องนี้  เขาต้องเข้าวิหารปีศาจฟ้าแน่นอน แต่ไม่ใช่ในตอนนี้

รู้ดีว่าเป็นหลุมพราง แต่ยังดันทุรังเข้าไป นั่นไม่ใช่ความกล้า แต่เป็นความโง่!

อยู่ข้างนอก ยังมีโอกาสรักษาชีวิตได้

เย่ว์หยางพักอยู่สองวัน บางครั้งก็มีผู้ท้าทายผ่านด่านไปค้นหาวัตถุโบราณในซากเมือง  ของที่ได้มานั้นอาจดูไม่คุ้มค่า  แต่การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์นี้ทำให้ผู้ท้าทายผ่านด่านที่รั้งอยู่ยังเห็นความหวัง   จะต้องมีสมบัติฝังอยู่ใต้ซากเมืองโบราณนี้มากมาย  ขึ้นอยู่กับวิธีการค้นหาของพวกเขา  คนโลภอย่างเจ้าสัวอ้วนเตี้ยรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ  เขารู้สึกว่าผลกำไรในประตูลับจะต้องมากกว่านี้  การรออยู่ข้างนอกเป็นเรื่องเสียเวลา

ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของเขาย่ำแย่ และเส้นทางเขาวงกตมีความน่ากลัวแฝงอยู่มาก  เขาคงแอบลอบเข้าไปแล้ว  “เจ้าไม่ไปขุดหาอะไรบ้างหรือ?”  เบนบุรุษตาเดียวประหลาดใจเมื่อเห็นเย่ว์หยางนั่งแทะน่องไก่อย่างสบายอารมณ์  เจ้าเด็กใหม่ไม่ชอบขุดหาสมบัติหรือ?   ทำไมเขาเอาแต่นั่งเฉย?  หลายวันมานี้เขาไม่เห็นว่าเจ้าเด็กนี่จะไปขุดค้นหาสมบัติ  เอาแต่กินและนอนทั้งวัน  ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นคนเกียจคร้าน  แต่เด็กใหม่ที่เกียจคร้านอย่างเจ้าตงฟง เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

 “มีแต่ขยะทั้งนั้น  ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย”  เย่ว์หยางโยนกระดูกไก่ในมือทิ้ง

 “บางทีอาจจะมีของดีก็ได้... เฮ่ย..ช่างเถอะ”  บุรุษตาเดียวยอมแพ้ นั่งดื่มกินทุกวันแม้ว่าจะดูน่าเบื่อไปนิด  แต่ก็ยังดีกว่าเพ่นพ่านสร้างปัญหาไปทั่ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันตรายที่นี่ยังไม่หายไปทั้งหมด ถ้าขืนไปตอแยอสูรปีศาจโบราณเข้า อย่างนั้นอาจจบสิ้นกันทั้งหมด”

เด็กใหม่ประสาทจำแนกทางย่ำแย่อย่างเย่ว์หยาง เขาคิดว่าอยู่นิ่งๆ ดีกว่าออกไปเพ่นพ่าน  มิฉะนั้นเขาไม่รู้ว่าจะออกไปตามตัวเขาได้อย่างไร

วันรุ่งขึ้น หัวหน้าใหญ่ทั้งห้านำทหารแยกออกจากซากเมืองเก่าใต้ดินเพื่อหาอาหารค่ำ

ทันใดนั้นมีเสียงดังผิดปกติที่ปากทางเดินทางลึกเข้าไปในความืด

ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป

อสูรปีศาจโบราณจะกลับมาโจมตีอย่างนั้นหรือ?

บุรุษตาเดียวและผู้นำค่ายที่ยังรั้งอยู่ มีนักสู้ฝีมือดีอยู่เป็นจำนวนน้อยและรอคอยอยู่หน้าค่ายชั่วคราว ในเวลาเดียวกันพวกเขาสั่งให้ผู้มาใหม่อย่างเจ้าสัวและเย่ว์หยางรีบไปที่ประตูเทเลพอร์ต  เมื่อสถานการณ์ไม่ดีพวกเขาจะต้องเข้าไปหากองกำลังหลักของห้าผู้นำใหญ่ให้กลับมาสมทบ  สำหรับการแยกย้ายกันหลบหนี ถูกปฏิเสธตั้งแต่แรกที่ปรึกษากัน  เพราะในเส้นทางใต้ดินนี้ ต่อให้คนที่ทรงพลังมากกว่าก็ไม่สามารถรับคลื่นอสูรปีศาจโบราณเพียงคนเดียวได้  ยังไม่ต้องพูดถึงอสูรปีศาจที่แข็งแกร่ง!

 “ยืนหยัดให้มั่นเข้าไว้”  บุรุษตาเดียวตะโกนเสียงลั่น  นักสู้ฝีมือดีที่ยังเหลืออยู่รายล้อมตัวเขาและเรียกอสูรออกมาเตรียมรับการโจมตี

 “ครืนนนน  ครืนนน ครืนนน...”

อย่างไรก็ตาม เสียงนั้นฟังดูแปลก

อสูรแมลงและอสูรปีศาจไม่ได้ถาโถมเข้ามาอย่างดุเดือดในระดับปกติ  ยกเว้นแต่แมลงตัวเล็กที่แยกออกมาจากกลุ่มมุ่งมาทางด้านบุรุษตาเดียวโดยไม่ได้มองทางด้านนี้ เหมือนกับว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวกำลังไล่ล่าพวกมัน  อสูรหนอนแมลงและอสูรปีศาจที่มากมายกว่ากระแสน้ำหลากพุ่งผ่านซากเมืองใต้ดินข้ามเนินและค้นหาที่ปลอดภัย

ตอนนี้แม้แต่คนตาบอดก็มองออกว่าสถานการณ์ไม่ดี

แต่เดิมทีกองทัพอสูรแมลงและอสูรปีศาจก็น่ากลัวมากพอแล้ว  แต่ปรากฏว่าพวกมันหลบหนีกองกำลังที่แข็งแกร่งมากกว่า.. มีใครไล่ตามอยู่เบื้องหลังพวกมัน?   หรือว่าเป็นผู้ท้าทายผ่านด่านอื่นจากฝ่ายเทพ หรือเป็นคนอื่น?

ผู้ท้าทายผ่านด่านที่ไม่รอมีอาการสนองตอบ มองเห็นอสูรปีศาจอื่นด้านหลังได้รับบาดเจ็บและพยายามหนี

พวกมันดุร้ายแต่ไม่ได้มองคนของบุรุษตาเดียว  แต่พวกมันวิ่งหนีให้ไกลอย่างสุดฝีเท้า  อสูรปีศาจโบราณบางตัวหนีช้าไปเล็กน้อย จู่ๆ มันร้องและล้มลงกับพื้นเลือดไหลท่วม

 “มังกรกระดูก!

ไม่ทราบว่าใครบางคนตะโกนร้องบอก

เย่ว์หยางปะปนอยู่ในกลุ่มคน เห็นมังกรกระดูกหลายร้อยตัวตั้งแต่พลังปราณฟ้าระดับสามจนถึงระดับห้า พวกมันกรูกันเข้ามาตามทางเดินใต้ดิน

มังกรกระดูกในฐานะหนึ่งในอสูรหลักสำหรับต่อสู้ของค่ายมาร  ผู้ท้าทายผ่านด่านในหุบเขาอสูรล้วนคุ้นเคยกันทุกคน  อย่างไรก็ตามอสูรศึกที่น่ากลัวของค่ายฝ่ายมารมาถึงซากเมืองอันมืดมิดใต้ดินได้อย่างไร?  ทุกคนก็รู้ว่าซากเมืองใต้ดินนี้อยู่ใกล้กับค่ายพันธมิตรเทพ  และห่างจากค่ายมารที่ใกล้ที่สุดถึงหมื่นกิโลเมตร

หากไม่ทราบสถานการณ์ ศัตรูจะส่งมังกรกระดูกนับร้อยออกมาล้อมทหารที่เหลือได้อย่างไร?

ถ้าเป็นเช่นนั้นศัตรูต้องรู้ข้อมูล

แล้วศัตรูรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน?

ผู้นำใหญ่ทั้งห้านำกลุ่มเพื่อกวาดขุมทรัพย์หรือ?  ที่น่ากลัวยิ่งกว่าศัตรูรู้ได้อย่างไรว่าผู้นำทั้งห้าไม่ได้รั้งอยู่ในเวลานี้?  หากผู้นำทั้งห้ารั้งอยู่ อย่าว่าแต่มังกรกระดูกสองสามร้อยตัวเลย ต่อให้มาหลายร้อยก็จะถูกฆ่าหมด...  ตอนนี้ศัตรูกล้าใช้มังกรกระดูกสองสามร้อยตัวบุกเข้ามา  แสดงว่าศัตรูรู้สถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างดี

 “พระยายมซิวอิ่ง จ้าวกระดูกจิงหาย จอมถลกหนังเซี่ยที ผู้นำฝ่ายค่ายมารก็มาด้วย!

ผู้ท้าทายผ่านด่านมองเห็นผู้ท้าทายผ่านด่านฝ่ายค่ายมารปรากฏตัวเกือบหมื่น ใจของพวกเขารู้สึกสิ้นหวัง

แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีผู้นำฝ่ายค่ายมารมีพลังพอๆ กับห้าหัวหน้าใหญ่ของเริ่นเทียนเกอ พวกเขาอดกรีดร้องไม่ได้  ขวัญกำลังใจ ความคิดต่อสู้หดหายไปหมด  นี่คือการต่อสู้ที่มิอาจสู้ได้เลยแม้แต่น้อย  ถ้าไม่ต้องสู้  ก็เท่ากับถูกตัดสินชะตาว่าล้มเหลว

สำหรับหัวหน้าค่ายฝ่ายมารมีแปดคน  ไม่ว่าใครก็สามารกวาดพวกฝ่ายเทพที่รั้งเหลือทั้งหมดได้

อย่าว่าแต่แปดผู้นำฝ่ายมารเลย  แค่ยอดฝีมือภายใต้บังคับบัญชาของพวกเขาที่ส่งออกมาหลายร้อยคน เพียงแค่นี้ก็สามารถบดขยี้ผู้ท้าทายผ่านด่านฝ่ายเทพที่เหลืออยู่ได้  ยอดฝีมือดีของหัวหน้าทั้งห้าถูกพาตัวไปหมด  คนที่รั้งอยู่ไม่ถึงร้อยคนจะต่อสู้กับค่ายฝ่ายมารได้อย่างไร?  เทียบกับศัตรูเกือบหมื่น เทียบกับนักสู้ฝีมือสูงของฝ่ายศัตรูนับพันคน เทียบกับแปดหัวหน้าฝ่ายมารแล้ว  ผู้ท้าทายผ่านด่านฝ่ายพันธมิตรเทพที่สมัครใจรั้งอยู่ในตอนนี้อ่อนแอเหมือนตั๊กแตนที่อยู่หน้าล้อรถ  วินาทีต่อมาอาจถูกศัตรูบดขยี้เป็นจุลอย่างง่ายดาย... “เดินไปทีละคน ทุกคนจำไว้ว่าจะต้องไม่เรียกอสูรที่แข็งแกร่งออกมา   อย่ายอมให้ศัตรูได้คะแนนสะสม  ถ้าพวกเจ้าถูกศัตรูจับ  ก็จงสละชีวิตพวกเขาให้มากที่สุด  จำเอาไว้!  อย่ายอมให้ศัตรูประสบความสำเร็จ  ต่อให้เจ้าตายก็ตาม!  บุรุษตาเดียวส่งเสียงคำรามน่ากลัว  เขาเป็นคนแรกที่ปลุกขวัญกำลังใจให้ต่อต้านศัตรู

 “แมลงน้อยที่น่าสมเพช  เจ้าคิดว่าพูดเสียงดังได้ จะทำให้คนอื่นกลัวอย่างนั้นหรือ?  บอกกับเจ้าก็ได้ เริ่นเทียนเกอยังไม่กล้าอาละวาดต่อหน้าข้าผู้เป็นราชาเลย!

มีเงาดำขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นทั้งหมดขวางอยู่ด้านหน้าศัตรู

เงาดำนี้มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ

เย่ว์หยางประเมินว่าพลังของคนผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าเริ่นเทียนเกอ  ถ้าไม่ได้มีคุณสมบัติทางธาตุ จะเอาชนะคนผู้นี้ให้ได้นั้นไม่ง่ายเลย...  จากข้อมูลที่ได้ในวันนี้เย่ว์หยางสามารถตัดสินได้ว่าเงาที่ทรงพลังนั้นก็หัวหน้าจากค่ายมารพระยายมซิวอิ่ง  ถ้าไม่ใช่เพราะจีอู๋ลี่ข่มเขาได้ คนผู้นี้จะเป็นนักรบผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหุบเขาปีศาจช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา

ที่ยืนอยู่รอบพระยายมซิวอิ่ง มีจ้าวกระดูกจินหาย  และจอมถลกหนังเซี่ยที

ทั้งสองคนนี้เป็นสุดยอดนักสู้ปราณราชันย์ระดับแปด

พลังความแข็งแกร่งด้อยกว่าพระยายมเล็กน้อย และแม้แต่เริ่นเทียนเกอ  แต่ในหุบเขาปีศาจเย่ว์หยางประเมินว่าพวกเขาอย่างน้อยก็ต้องเป็นสุดยอดฝีมือห้าอันดับแรก จึงไม่ควรประมาท

จากนั้นยังมีระดับผู้นำอีกห้าคนมีพลังปราณราชันย์ตั้งแต่ระดับห้าถึงระดับหก

เนื่องจากเย่ว์หยางยังขาดข้อมูล และไม่รู้จักชื่อของคนเหล่านี้  เขาสังเกตทักษะพลังของฝ่ายตรงข้ามด้วยจักษุญาณทิพย์

 “จะให้ฆ่าพวกนี้ทั้งหมดหรือไม่?”  อัศวินดำผู้ขับขี่มังกรกระดูกถามพระยายม

 “ไม่จำเป็น, ไล่พวกมันออกไป ทันทีที่พวกเจ้าไล่ล่าฆ่าเจ้าพวกขี้เกียจไม่หยุดหย่อน  ข้าอยากจะดูว่าพวกมันจะรู้สึกทรมานอย่างไรบ้าง  เริ่นเทียนเกอช่างโง่เขลา คิดว่าปลีกตัวหนีไปหลายวันจะสามารถครองหุบเขาอสูรได้ น่าขันเป็นบ้า!  ข้าราชาจะบอกความจริงกับมัน หุบเขาปีศาจแม้ว่าจีอู๋ลี่จะจากไปแล้ว แต่มันยังไม่มีสิทธิ์พูดได้!  ขุมทรัพย์โบราณอะไรนั่น  เจ้าเริ่นเทียนเกอเป็นคนโง่งมที่ขายคนไปช่วยคนจำนวนมากที่ไม่มีทางเยียวยา...”  พระยายมซิวอิ่งไม่พูด ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าการกระทำนี้เป็นการสมรู้ร่วมคิด รังมารก็คือปากพยัคฆ์ที่เคี้ยวกินศัตรู  ที่นั่นได้มีการติดตั้งกับดักรอให้เริ่นเทียนเกอกระโดดลงไป

ตอนนี้พอได้ยินเขาพูดเช่นนั้น หลายคนสูดหายใจหนาวเหน็บ

แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นกับดักจัดเตรียมของฝ่ายค่ายมาร ดูเหมือนว่าจะมีคนทรยศที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่ม

ลองคิดดู ถ้าไม่มีคนทรยศภายใน พระยายมจะมาได้อย่างประจวบเหมาะได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตามแนวคิดปัจจุบันของเย่ว์หยางคือยืนยันว่ามีผู้ทรยศภายใน สิ่งเดียวที่เขาไม่สามารถคิดได้ก็คือ จอมปีศาจไคเทียนจะเล่นบทบาทอะไรในศึกนี้?

ถ้าจอมปีศาจไคเทียนยังคงถูกผนึกอยู่ในวิหารปีศาจฟ้า  และเขาไม่ทราบทุกอย่างภายนอก เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาคงโง่และไม่คิดเช่นนั้น  หากไม่มีข้อมูลลับของจอมปีศาจไคเทียน ไม่มีการชี้นำของเขา  เริ่นเทียนเกอคงไม่สามารถพากลุ่มทหารเข้าไปในรังมารได้  ในทำนองเดียวกันพระยายมซิวอิ่งที่อยู่ฝ่ายมารก็เหมือนกัน บางคนต้องมีการให้ข้อมูลเพื่อให้ผู้นำฝ่ายมารที่ไร้ยางอายเดินทางมาหลายพันไมล์ การต่อสู้ดังกล่าวมีไคเทียนอยู่เบื้องหลังหรือไม่?

ความจริงก็คือร่างของจอมปีศาจไคเทียนยังไม่ถูกปล่อยออกมาจากผนึก  หรือว่าเขาสามารถแยกร่างออกมาลงมือได้?

หรือว่าเขาต้องการใช้เลือดเนื้อวิญญาณของผู้ท้าทายผ่านด่านบูชายัญเพื่อให้ตนหลุดออกมาจากผนึก?

แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้ที่จอมปีศาจไคเทียนจะเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ แต่เนื่องจากความเบื่อหน่ายและความคิดผิดเพี้ยน ก่อนจะออกจากหุบเขาปีศาจเขาจะบูชายัญด้วยเลือดและเนื้อตามความพอใจเป็นงานอดิเรกฆ่าเวลา

หากเป็นสันนิษฐานข้อแรก เย่ว์หยางไม่กังวลเท่าใดนัก

หากเป็นข้อสันนิษฐานต่อมาเย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาต้องระวังอย่าให้จอมปีศาจไคเทียนเล่นงานเขา

วิกฤตเกิดขึ้นมาเงียบๆ

เป็นครั้งแรกในชีวิตของเย่ว์หยางที่เขารู้สึกว่าเขาขาดความมั่นใจในตนเอง  จอมปีศาจไคเทียนถูกผนึกมานานถึงหมื่นปี  ปีศาจเฒ่านั่นจะแข็งแกร่งมากมายเพียงไหน?

5 ความคิดเห็น:

zen zen กล่าวว่า...

เจองานหยาบแล้ว

Unknown กล่าวว่า...

0


Unknown กล่าวว่า...

แอบรอตอนที่1043

zen zen กล่าวว่า...

ก็มาแล้วหนิ

manit กล่าวว่า...

ใจจ้า

แสดงความคิดเห็น