วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1043 ยักษ์ดาบทอง



ตอนที่  1043  ยักษ์ดาบทอง

ไม่ว่าจะเป็นพระยายมซูอิ่ง จ้าวกระดูกจินหาย หรือจอมถลกหนังเซี่ยที ล้วนไม่เห็นกลุ่มพันธมิตรเทพที่รั้งอยู่ในสายตา


ความจริงนอกจากเย่ว์หยางที่อำพรางตัวอยู่ ผู้ท้าทายผ่านด่านคนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นมดแมลงทั้งนั้น

ฝ่ายหนึ่งมีนักสู้ปราณราชันย์ระดับแปดเป็นยอดฝีมือสูงสุดไล่ลงมาจนถึงปราณฟ้าระดับห้า  ในช่วงเวลานั้นเป็นเรื่องยากที่จะเทียบกับพวกนักสู้ปราณฟ้าระดับหกซึ่งเทียบได้กับนักสู้ปราณราชันย์ระดับหนึ่ง  มีนักรบน้อยมากที่มีพลังปราณฟ้าระดับหก  กล่าวโดยทั่วไปแล้วในแดนสวรรค์มีนักรบน้อยมากที่มีพลังปราณฟ้าระดับหก โดยทั่วไปจึงยังไม่อาจเอาไปเทียบกับปราณราชันย์ได้ โดยทั่วไปถ้านักสู้ไม่สามารถเข้าใจถึงขอบเขตปราณราชันย์ได้  แม้ฝึกฝนไปตลอดชีวิตก็ไม่มีความก้าวหน้า จะยังคงอยู่ที่พลังปราณฟ้าระดับห้าอย่างน่าอึดอัด ไม่ว่านักรบปราณฟ้าจะมีพลังสูงเพียงใด แข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม  ถ้าไม่มีความเข้าใจขอบเขตปราณราชันย์  ในสายตาของนักสู้นั้นไม่ต่างอะไรกับมดแมลงทั้งหมด

ผู้ฝึกฝนพึงตระหนักถึงขอบเขตปราณราชันย์ไม่สามารถระงับปณิธานได้  หอทงเทียนเรียกว่านักรบปราณราชันย์และมีคุณสมบัติได้ฝึกฝนวิถีแห่งยอดฝีมือแน่นอน

แดนสวรรค์จะเรียกว่ากึ่งเทพหรือเทียมเทพ

ส่วนแดนสวรรค์เรียกปณิธานปราณราชันย์ว่า สำนึกเทพ

ในแดนสวรรค์ล่างนักรบชั้นล่างต่ำกว่าปราณฟ้าระดับห้าลงมา  เมื่อมีสำนึกเทพได้ จะมีความแตกต่างทันที  แดนสวรรค์บนจะส่งคำเชิญมาหา  จากนั้นผู้โชคดีนั้นจะเดินเข้าสู่โลกใหม่ที่งดงามซึ่งทุกคนในแดนสวรรค์รู้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติได้ไป

นักรบบางคนยังไม่เข้าใจถึงสำนึกเทพ แต่ก็เข้าถึงพลังปราณฟ้าระดับหกได้  แต่มีน้อยคนมาก  โดยทั่วไปจะเป็นอสูรศึกที่ถึงระดับหกหรือสูงกว่าได้

นักรบที่เข้าถึงพลังปราณฟ้าระดับหกส่วนใหญ่เป็นเพราะมีร่างกายที่พิเศษหรือมีพลังทักษะแฝงเร้นที่พิเศษ

หรือด้วยความช่วยเหลือจากอสูรศึกที่มีพลังประหลาด...  อย่างไรก็ตามนักสู้ปราณฟ้าระดับหกหรือระดับเจ็ด สำนึกเทพพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน  ทั้งที่มองเผินๆ จะมีพลังระดับเดียวกัน ถ้านักสู้ปราณฟ้าระดับหกสู้กับนักรบหอทงเทียนที่มีพลังปราณราชันย์ระดับหนึ่งที่ผ่านการฝึกในประตูเป็นตาย คาดว่าคงพลาดท่าย่อยยับ

นักสู้ปราณฟ้าที่มีสำนึกเทพในระดับเดียวกัน ถือว่าระดับพลังเท่ากับนักสู้ปราณราชันย์ของหอทงเทียน  แต่เพราะความเข้าใจแตกต่างกัน  ประสิทธิภาพจึงไม่เท่ากัน

ในยุคโบราณ

นักรบปราณราชันย์เป็นมาตรฐานการะประเมินจัดระดับพลังของหอทงเทียน

เฉพาะในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมามีการสู้รบดุเดือดนับไม่ถ้วนระหว่างแดนสวรรค์และหอทงเทียน เพื่อกำจัดอิทธิพลของหอทงเทียนจึงมีการเรียกชื่อปราณราชันย์ใหม่ว่า กึ่งเทพ  การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบไปทั่วทุกมุมโลกแดนสวรรค์ล่างมายาวนานหลายพันปี   อย่างไรก็ตามแดนสวรรค์บน ตระกูลมีชื่อเสียง และตระกูลลับที่ซ่อนตัว  ยังคงใช้มาตรฐานนักสู้ปราณราชันย์ในการประเมิน  “ฆ่า” อย่างน้อยแผ่นดินมิติสอบฝีมือก็คงอยู่มานานเป็นหมื่นปี  พวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องภายนอก แค่ต้องการรวบอำนาจในหุบเขาปีศาจ  พระยายมซิวอิ่งโบกมือเบาๆ

ด้านหลังของเขามีอัศวินดำนักรบฝีมือดีนับไม่ถ้วนขับขี่มังกรกระดูกพุ่งเข้าหาฝ่ายเย่ว์หยางและพวกที่ยังรั้งอยู่

เงาแห่งความตายขนาดใหญ่เริ่มใกล้เข้ามา

นอกจากนี้ยังเป็นผู้ท้าทายผ่านด่านที่มีพลังปราณฟ้าระดับห้า

อีกฝ่ายเมื่อพบคนผู้นี้จะต้องฆ่าทันที

เบนบุรุษตาเดียวคำรามก้องฟ้าแล้ววิ่งออกไปพร้อมกับหัวหน้าค่ายที่มีพลังฝีมือระดับเดียวกันหลายคนเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม  อย่างไรก็ตามอัศวินดำเจ้าเล่ห์เหล่านี้ไม่ได้สู้กับบุรุษตาเดียว  พวกเขาแยกตัวขึ้นท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว  มังกรกระดูกมากกว่าห้าร้อยตัวแบ่งแยกกันเป็นกลุ่มเล็กร้อยกลุ่ม และพวกเขาพุ่งโฉบลงมาจากในท้องฟ้าเป็นกลุ่มๆ ละห้าคน  บุรุษตาเดียวต้องการขัดขวาง แต่เป็นไปไม่ได้

 “ไป ไป ไป”

ทันใดนั้นบุรุษตาเดียวหันกลับมาที่สนามรบและคว้าคอเสื้อเย่ว์หยางตะโกนใส่หน้าของเขา  “แม้ว่าเจ้าจะงี่เง่าจำแนกทางไม่ถูก  แต่ศักยภาพของเจ้าดี ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้น แต่หลายคนมองเจ้าออก  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบัณฑิตตาเงินมองเจ้าแตกต่างไปจากคนอื่น  ดังนั้นเจ้าจะตายที่นี่ไม่ได้  ข้าเชื่อว่าเจ้าคงได้เห็นแล้วว่าเราตกหลุมพรางของศัตรู  พวกมันต้องการหลอนประสาทเรา  แต่เจ้าต้องจากไป   เจ้ามีศักยภาพ ต่างจากพวกเราคนแก่ที่ไม่มีทางก้าวหน้าอีกแล้ว ฟังให้ดี เจ้าไม่เพียงแต่ต้องไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยเท่านั้น  แต่ต้องหนีออกไปจากรังมาร จงรอดชีวิตกลับไปที่ค่ายข้างบน ฝีมือแกร่งกล้าแล้วค่อยล้างแค้นให้เราในอนาคต.. ความสามารถของเราจำกัดอยู่เท่านี้ เราทำได้เพียงต้านรับชั่วคราวให้เจ้าได้หนีไป  เจ้าต้องสู้ด้วยกำลังของตนเอง    เจ้าต้องอยู่อย่างเข้มแข็ง และมีชีวิตเผื่อพวกเราด้วย”

เขาอดบอกกับเย่ว์หยางไม่ได้ก่อนผลักไสเขาเข้าประตูเทเลพอร์ตลับ

เขารู้ดีว่าเข้าไปแล้วก็ยังถูกไล่ล่า

แต่ยังดีกว่ารั้งอยู่ที่นี่และถูกศัตรูฆ่าตายอย่างว่างเปล่า

 “สี่แขน, อาเป่ย, เจ้าสัว!  พยายามพาเจ้าเด็กนี่หนีไป จะดีที่สุดก็คือพาเขาไปส่งในมือของบัณฑิตตาเงิน เขาเป็นเด็กมาใหม่ที่บัณฑิตตาเงินให้การยกย่องเขามากที่สุด  แม้แต่ผู้นำก็ยังถามถึงชื่อเขา อย่าปล่อยให้เขาพบกับอุบัติเหตุใดๆ ทั้งสิ้น  รีบไปได้แล้ว ถ้าพวกเจ้ายังพิรี้พิไรอยู่อีก ก็อย่ามาเรียกข้าว่าหัวหน้าค่าย”  บุรุษตาเดียวปฏิเสธและผลักทอเรนเป่ยและสี่แขนเข้าไปในประตูเทเลพอร์ตทีละคน  และผู้ใต้บังคับบัญชาข้างๆ เขาก่อขบวนเป็นกำลังเลือดเนื้อคอยต้านรับการโจมตีของศัตรู

 “ดูเหมือนว่ามีปลาน้อยหลุดรอดหนีไปได้หรือ?”  จอมถลกหนังเซี่ยทีหาวพูดอย่างเกียจคร้าน

 “ไม่เป็นไร  ต่อให้พวกมันหนีไปจนสุดทาง ก็ไม่มีใครช่วยมันได้  อย่าว่าแต่ปลาน้อยเลย   แม้แต่เริ่นเทียนเกอก็จะตายที่นี่ในวันนี้”  จ้าวกระดูกจินหายไม่ให้ความสำคัญกับเด็กใหม่อย่างเย่ว์หยาง  เขามีศักยภาพที่ไม่เลว  แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตรอดจนเติบโตได้   ในวันนั้นศักยภาพยังจะมีประโยชน์อีกหรือ?

 “อย่าประมาทเกินไป  เริ่นเทียนเกอกำจัดไม่ใช่ง่ายๆ  ตอนนี้แค่เจ้าเด็กนั่นก็ให้ความรู้สึกที่อันตราย  ถ้าปล่อยให้มันเติบโต บางทีอาจกลายเป็นเริ่นเทียนเกอคนที่สองก็ได้  ข้าคิดว่าอย่างนั้น  หวังว่าข้าคงตาฝาดไปเอง  ดวงตาของพระยายมสว่างมากขึ้นดูเหมือนเขาจะสังเกตความแตกต่างระหว่างเย่ว์หยางออก

 “ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าจะตั้งตารอ  วันที่ไม่มีคู่แข่งช่างน่าเบื่อ... อย่างเช่นเมื่อจีอู๋ลี่อยู่ในช่วงก่อนนั้น  ข้ามัวแต่วุ่นและไม่สบาย ยังไม่ทันไรเจ้านั่นก็จากไปแล้ว”  จอมถลกหนังเซี่ยทีหัวเราะ

 “ดูสิ บางครั้งหยอกเด็กใหม่เล่นก็ไม่เลว”  จ้าวกระดูกจินหายเห็นด้วยเช่นกัน

 “....”  พระยายมซิวอิ่งอยู่ห่างไกล เขามีแนวโน้มว่าจะทำการขุดรากถอนโคน  แต่ถ้าต้องให้พระยายมยอดนักสู้ปราณราชันย์ระดับแปดอย่างเขาต้องลงมือไล่ล่านักสู้ปราณฟ้าเด็กใหม่ด้วยตัวเอง เขาก็คงเสียหน้า

ถ้ามีโอกาสในอนาคต  เขาจะลงมือฆ่าในทันที

เด็กใหม่ผู้นี้ยังไม่พัฒนาฝีมือ

ความจริงเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะมอบภารกิจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานให้สำเร็จง่ายดาย  ฆ่าด้วยตนเองไม่คุ้มค่า

อีกด้านหนึ่ง

กองกำลังพันธมิตรเทพผ่านเข้าประตูเทเลพอร์ตโบราณ ผ่านเข้าทางวงกตเพื่อไปยังประตูเทเลพอร์ตลับที่สอง  และห้าผู้นำใหญ่ผ่านเข้าไปยังประตูเทเลพอร์ตที่สาม ที่นั่นเป็นโลกแปลกประหลาดต่างจากหุบเขาปีศาจอย่างสิ้นเชิง

ในโลกที่แปลกประหลาดนี้ทุกอย่างพลิกกลับ

ท้องฟ้าอยู่ใต้เท้า และพื้นหายไป

ศิลาก้อนโตเบายิ่งกว่าปุยเมฆ และทรายนั้นหลวมแต่เนื้อแน่นกว่าเหล็กกล้า

พืชที่นี่คลานไปทั่วทุกแห่ง พวกมันอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดกลืนกินทุกอย่างมากมาย   แต่สัตว์ที่นี่ยังดูสงบมากมายเมื่อเทียบกับรูปปั้น  ถ้าพวกเขาไม่เห็นสิ่งมีชีวิตว่ามันหัวใจมันเต้น  พวกเขาอาจคิดว่าสัตว์เหล่านี้คือรูปปั้นที่ดูเหมือนมีชีวิต  อากาศที่นี่ไม่สบายน่าอึดอัด  ลมพัดเอื่อยผ่านท้องฟ้าและพื้นโลกกวาดผ่านไปทั่วทุกที่  แต่ใครก็ตามที่สัมผัสจะมีความรู้สึกว่าเหมือนกระทบกับผนังกำแพงขัดขวาง  น้ำที่นี่ไหลแปลกประหลาด มันไหลจากล่างขึ้นบนเพราะท้องฟ้าพลิกกลับ  อีกทั้งน้ำและน้ำฝนก็เป็นเช่นกัน เหมือนกับว่าลมหายใจที่นี่สูดทรายเข้าไปทำให้การหายใจระคายเคืองลำบาก

แม้แต่ผู้นำทั้งห้าผู้มีพลังแข็งแกร่ง

พอเข้ามาที่นี่

พวกเขาขมวดคิ้ว

แม้ว่าจะมีสนามพลังอมตะแต่ปณิธานของสุดยอดนักสู้ไม่ได้หายไป  หัวหน้าใหญ่ทั้งห้ารู้สึกได้ชัดว่าพลังของพวกเขาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดในโลกนี้  เริ่นเทียนเกอและบัณฑิตตาเงินมีพลังแข็งแกร่งที่สุดแต่ฮ็อกคนผมแดงอยู่ในสภาพน่ากลัว  เขามีพลังลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเมื่ออยู่ที่นี่

 “ขุมทรัพย์ลับโบราณที่นี่มีจริงๆ หรือ?”  เริ่นเทียนเกอไม่เคยสงสัยคำพูดของบัณฑิตตาเงิน  แต่เมื่อมาถึงที่นี่เขาอดสั่นไม่ได้

 “โลกที่นี่แปลกประหลาดมาก  ถ้าไม่ได้สร้างโดยมหาเทพโบราณแล้ว  ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครทำได้  สมบัติลับต้องมีอย่างแน่นอน  แต่ปัญหาก็คือจะค้นเจอได้อย่างไร”  มือกระบี่รูปงามมีสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย  ดูเหมือนเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่ามีสมบัติลับ

 “เฮอะ!, ข้าเสียใจอยู่บ้าง”  ชิงหมอแค่นเสียง เขาบอกว่าเขาไม่ชอบที่นี่

 “ข้าจะไม่ออกไป”  ฮ็อกนั้นมีพลังด้อยที่สุด ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่สมบัติลับอาจอยู่ต่อหน้า  เขาตัดสินใจเสี่ยงสู้

 “บางทีอาจมีสมบัติลับ”  คำพูดของบัณฑิตตาเงินพูดไม่ทันจบ  โลกสั่นสะเทือนมีพลังงานแปลกประหลาดปะทุออกมา  ทั้งฟ้าและดินกำลังสั่นสะเทือน  ในสายตาของผู้นำทั้งห้ามีดาบยักษ์ทองคำสูงร้อยเมตรลอยออกมาโดยไม่สนใจกฎสวรรค์และโลกพลิกกลับโดยตรง

เมื่อเห็นยักษ์ดาบทองนี้ปรากฏ ห้าผู้นำใหญ่สีหน้าเปลี่ยน

ผู้ที่สามารถเพิกเฉยต่อกฎสวรรค์และโลกได้  ผู้พิทักษ์นี้กลับผ่านไปได้โดยปกติ  นี่คือพลังระดับใดกัน

สูงร้อยเมตรแต่ไม่ใช่ยักษ์ไตตัน ไม่ใช่สัตว์อสูร  ยักษ์ดาบทองนี้เป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนกัน?  เป็นไปไม่ได้ที่ร่างมนุษย์จะเติบโตในรูปแบบนี้  แต่ลักษณะของดาบยักษ์ทองมีปัญญาในตัวเองจากสายตา นั่นมีความเป็นมนุษย์น้อย

 “ระวัง” ฮ็อกบุรุษผมแดงพบว่ายักษ์ดาบทองชี้ดาบมาที่มือกระบี่รูปงามเชียนจง

 “ข้าถูกฝ่ายตรงข้ามตรึงไว้ไม่สามารถชักกระบี่ได้” เชียนจงมือกระบี่รูปงามตอนนี้หลั่งเหงื่อเยียบเย็น  เขามีความมั่นใจในการใช้กระบี่มากเช่นกัน  แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ายักษ์ดาบทองนี้ เขาไม่สามารถชักกระบี่ออกได้   อย่างที่เห็น  พลังของยักษ์ดาบทองน่ากลัวมาก  เริ่นเทียนเกอบินเข้าและใช้เท้าเตะเชียนจงที่ถูกฝ่ายตรงข้ามตรงไว้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้กระเด็นไปร้อยเมตร ช่วยชีวิตเขาไว้ได้ทันเวลา

 “พระเจ้า.... นี่อาจเป็นเทพผู้พิทักษ์ในตำนาน”  บัณฑิตตาเงินถอนหายใจเบาๆ  “แม้ว่าพลังส่วนใหญ่ของเขาจะถูกผนึก  แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะทำอะไรได้  ข้ารู้ว่ามีมีสมบัติลับโบราณอยู่ในนี้  แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีเทพพิทักษ์อยู่ที่นี่ด้วย”

 “จะสู้ต่อหรือถอยกลับ?”  เริ่นเทียนเกอมองดูบัณฑิตตาเงินหวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีการตัดสินใจที่ถูกต้องในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้

 “ถอยกลับไปตั้งหลักชั่วคราวก่อน”  บัณฑิตตาเงินพูดไม่ทันจบ ผู้นำใหญ่ทั้งห้าก็เทเลพอร์ตออกมาพร้อมกัน

ยักษ์ดาบทองที่ถูกมองว่าเป็นเทพยิ้มมุมปาก

ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะอยู่ในกำมือของเขา

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหนีไปอย่างไร ก็ไม่มีทางหนีพ้นเงื้อมมือของเขา

เมื่อยักษ์ดาบทองหายไประหว่างช่องว่าฟ้ากับดิน  เย่ว์หยางโผล่ออกมาจากความว่างทันที  และเขาพยายามค้นหาอย่างหนัก ขณะที่ร่างซึ่งถูกทอเรนเป่ย เจ้าสี่แขน และเจ้าสัวพาหนีไป  เย่ว์หยางทิ้งไว้แต่ร่างเงา  ตั้งแต่เย่ว์หยางเทเลพอร์ตเข้าประตูลับที่หนึ่ง ร่างของเขาเทเลพอร์ตไล่ตามหัวหน้าใหญ่ทั้งห้าไปทันที

แต่ในโลกที่กลับหัวนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ  แต่การปรากฏตัวของยักษ์ดาบทองทำให้เย่ว์หยางสงสัย

ยักษ์ดาบทองนี้ไม่ใช่จอมปีศาจไคเทียนแน่นอน

เย่ว์หยางสามารถมั่นใจเรื่องนี้ได้

แต่ถ้ายักษ์ดาบทองไม่ใช่จอมปีศาจไคเทียน  อย่างนั้นเขาเป็นใคร?  ทำไมปรากฏในวิหารปีศาจฟ้าที่ลอยอยู่อย่างนี้ในวันนี้

   

2 ความคิดเห็น:

zen zen กล่าวว่า...

อาจจะเป็นอสูรพิทักษ์ของจอมปีสาจไคเทียนก็ได้
และบันดิดตาเงินอาจจะเป็นจอมปีศาจไคเทียนก้ได้

Unknown กล่าวว่า...

สนุกครับ

แสดงความคิดเห็น