วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1046 อย่ากลับคำพูด



ตอนที่  1046  อย่ากลับคำพูด

 “ต่อให้เจ้าหนีได้ สหายของเจ้าจะหลบหนีได้หรือ?”  จอมปีศาจไคเทียนในรูปลักษณ์มือกระบี่รูปงามเชียนจงถามพลางยิ้ม


 “พวกมันเป็นแค่เงาปีศาจ และร่างจริงจากไปก่อนแล้ว”  เย่ว์หยางโบกมือ ร่างทอเรนเป่ย เจ้าสี่แขนและเจ้าสัวอ้วนเตี้ยหายไปไม่เหลือร่องรอย  จอมปีศาจไคเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่ไม่ใช่การเก็บคนเหล่านี้เข้าไปในคัมภีร์อัญเชิญ และยังดูไม่เหมือนเงาปีศาจ  เพราะถ้าเป็นเงาปีศาจไม่มีเหตุผลที่เขาจะถูกเจ้าเด็กนี่หลอกได้อย่างง่ายดาย

จริงหรือเท็จยากจำแนก

เจ้าเด็กนี่ค่อนข้างน่ากลัว

เดิมทีเขาให้ความสนใจทุกความเคลื่อนไหวของเย่ว์หยาง ครั้งนี้จอมปีศาจไคเทียนอดเน้นให้ความสำคัญสามจุดมิได้

หากจอมปีศาจไคเทียนไม่มั่นใจว่าเด็กหนุ่มข้างหน้าเขามีพลังในระดับเริ่มต้น นั่นเป็นไปไม่ได้ที่จะคุกคามตัวเขาได้อย่างแท้จริง เขาต้องใช้อุบายที่ไม่ซ้ำกันทันที

จอมปีศาจไคเทียนพยายามควบคุมสถานการณ์และหัวเราะถามต่อไป  “เด็กน้อย เจ้าบอกได้ไหมว่าเจ้าเป็นทายาทของใคร?”

แม้ว่าร่างจริงของเขายังไม่มีพลังในระดับสูงสุด แต่เขาก็ออกมาอยู่นอกวิหารปีศาจฟ้าได้หลายพันปีแล้ว  เขาปลอมตัวเป็นผู้ท้าทายผ่านด่านในสถานะต่างๆ  และมือกระบี่รูปงามเชียนจงก็เป็นหนึ่งในนั้น เขายั่วยุให้กลุ่มพันธมิตรเทพและฝ่ายค่ายมืดให้ฆ่าฟันกันและแสวงหาประโยชน์จากการนั้น  แม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกไปจากหุบเขาปีศาจ  แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาได้รับรู้ข่าวสารมากมายจากนอกแดนสวรรค์ได้พบสุดยอดนักสู้มากมาย

เขาสงสัยใครรู้เรื่องราวของเด็กหนุ่มเย่ว์หยางผู้นี้

ตระกูลแบบไหนที่อบรมจนเด็กหนุ่มผู้นี้มีพลังเติบโตได้ถึงเพียงนี้?

 “บอกไปเจ้าไม่รู้แน่  มันเป็นหนทางยาวไกล”  เย่ว์หยางบอกว่าเขาจะไม่เป็นคนนำทางให้

 “เจ้ากับข้าเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งในโลกนี้หาไม่พบเจอทำไมเราไม่เข้าร่วมกำลังกัน?   เมื่อเราฆ่าเริ่นเทียนเกอ ซิวอิ่ง จินหายและเซี่ยที  สมบัติมากมายจะตกเป็นของเจ้า  เด็กน้อยถ้าเจ้ากับข้าทำข้อตกลงช่วยเหลือกันและกัน  ข้าจะส่งเจ้าออกจากหุบเขาปีศาจ และข้ายังสามารถช่วยให้เจ้าผ่านด่านหมดทั้งสิบด่าน  หลังจากนั้นหากเจ้าได้รับรางวัลสูงสุดเจ้าแค่สาบานว่าจะร่วมมือกับข้าเพื่อพิชิตแดนสวรรค์  ข้าไคเทียนยินดีจะแบ่งโลกให้เจ้าและครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังของเจ้าปกครอง”  จอมปีศาจไคเทียนยื่นข้อเสนอผลประโยชน์ใหญ่ทันที  แสดงว่าต้องการร่วมมือกับเย่ว์หยาง

 “เป็นความคิดที่ไม่เลวถ้าจะต้องร่วมมือกัน  เจ้ากับข้ารวมกันก็มีแต่เอากำลังมาบวกกำลัง  ต่อสู้ไปไม่ดีแน่”  เย่ว์หยางพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย  อย่างไรก็ตามขณะที่จอมปีศาจไคเทียนแสดงความดีใจ  เขากลับส่ายหน้าและหัวเราะ  “แต่ถ้าข้าสัญญากับเจ้า  เจ้าก็กลายเป็นตัวโง่คนหนึ่ง! 

 “อะไรนะ?”  จอมปีศาจไคเทียนใบหน้าค้างเหมือนถูกแช่ด้วยน้ำแข็ง

 “จอมปีศาจไคเทียน, ทุกคนเป็นคนฉลาด  เรามาเปิดใจคุยกันดีกว่า!  เย่ว์หยางหัวเราะกล่าว  “ก่อนอื่นการพิชิตแดนสวรรค์เป็นเรื่องที่โง่มาก  นักรบมากมายสามารถคิดเช่นนั้นและใช้จุดนี้เพื่อส่งเสริมการเลื่อนระดับพลังโดยใช้กำลังกดดันและตั้งเป้าหมายการฝึกฝนเป็นหลัก   แต่อย่าทำอย่างนั้นดีกว่า  เพราะผลของการทำเช่นนั้นจะลงเอยอย่างเดียวนั่นคือเหมือนกับเจ้าที่ถูกใครบางคนผนึกเอาไว้ไม่กี่หมื่นปีมานี้.. โชคดีที่เจ้ามีชีวิตรอดอยู่ได้  แต่โชคอย่างข้าเกรงว่าจะถูกผนึกอยู่ในมิติตลอดชีวิต ยิ่งข้ามีชีวิตนานเท่าใดก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น!  ข้าไม่ได้พูดว่าเจ้าเข้าใจด้วย ไม่ว่านักรบแดนสวรรค์ จะแข็งแกร่งเพียงไหน  แม้ว่าจะมีใครบางคนเข้าถึงพลังระดับเทพ แต่เขาก็ยังเป็นมดแมลงน้อยที่อ่อนแอน่าสมเพชเมื่อเอาไปเทียบกับมหาเทพโบราณ  เจ้าควรไตร่ตรองออกว่าทั่วทั้งแดนสวรรค์มหาเทพโบราณ หรือเทพต้นกำเนิดเดิมที่มีอายุมากกว่าเจ้าได้สร้างเอาไว้ และได้ปลูกฝังสิ่งใดไว้ในช่วงเวลานับล้านปีมานี้ อาจจะหลายสิบล้าน แม้กระทั่งพันล้าน หรือเป็นล้านล้านปีโดยตรง  มหาเทพโบราณมีชีวิตอยู่เป็นเวลาล้านๆ ปีแล้วไม่ใช่หรือ?”

 “เจ้าแก่กว่าข้า มีชีวิตมานานเป็นหมื่นปี สำหรับมนุษย์เจ้าเป็นเหมือนเทพ  แต่เทียบมหาเทพที่อยู่มาเป็นเวลาล้านปี หรือหลายล้านๆ ปี รู้ไหมว่าเวลาหลายพันปีเป็นช่วงเวลาหลับกลางวันของพวกเขาเพียงหนึ่งงีบเท่านั้น?”

 “พูดถึงแดนสวรรค์ ต่อหน้ามหาเทพโบราณนั้นเกินจินตนาการ นั่นเปรียบเหมือนบ้านที่มนุษย์สร้างขึ้น เราเปรียบเสมือนมดที่กระโดดไปมาอยู่ในสวนหลังบ้าน  เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการทำลายบ้านหลังนี้หรือยึดเอาไว้เป็นของเจ้า  เจ้าของแท้จริงที่สร้างบ้านนี้ขึ้นมาจะยินยอมหรือไม่?  พวกเขาไม่ใช้นิ้วขยี้เจ้าจนบี้แบน เพราะพวกเขาจิตใจเมตตา  ดังนั้น จอมปีศาจไคเทียนขอให้ข้าพูดตอบตกลงและลงมือทำอีกครั้ง แต่ตัวเองไม่ลงมือพิชิตแดนสวรรค์เป็นครั้งที่สอง  นั่นไม่ใช่ว่าเจ้าไม่มีปัญญาทำ ... แม้ว่าเจ้าจะครองพื้นที่ในขณะที่เจ้าของไม่อยู่ เจ้าก็ยังเป็นมดน้อยที่มีเขี้ยวเล็บคิดว่าตนเองแข็งแกร่งมากมาย  แต่ในความเป็นจริง เจ้าเป็นแมลงเล็กน้อยที่อาจถูกมหาเทพขยี้บี้แบนด้วยปลายนิ้วเมื่อใดก็ได้  เจ้าว่าน่าสมเพชไหม?”

 “อย่านึกว่าจะพิชิตแดนสวรรค์ได้ง่าย!

 “ถ้าเจ้าคิดจะโค่นล้มตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ ข้าคิดว่ายังมีโอกาสเป็นไปได้บ้าง  เพราะตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์เป็นรังมดที่อยู่บนยอดหญ้าในสวนหลังบ้านของเทพเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำลายอีกฝ่ายยังไง  การพิชิตครอบครองแดนสวรรค์ทั้งหมดเท่ากับหักหน้าเจ้าบ้าน  เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ”

 “สุดท้าย, ผู้อาวุโสจอมปีศาจไคเทียนผู้อยู่มานานหลายหมื่นปี อย่านึกว่าเห็นข้าเป็นเด็กแล้วจะหลอกข้าได้  ข้าเด็ก แต่ไม่โง่ เข้าใจไหม?   หากเจ้าแข็งแกร่งเพียงพอแล้วเจ้าจะยอมเข้าร่วมกับข้าได้อย่างไร?  หากเจ้าสามารถหลุดพ้นจากปัญหาได้สมบูรณ์ ทำไมต้องมาเชิญให้ข้าต่อสู้กับพวกเริ่นเทียนเกอ? เริ่นเทียนเกอคนเดียวที่ฝีมือด้อยกว่าเจ้า ข้ารู้  แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าไร้ประโยชน์ก็คือ เจ้ายังไม่ได้ปลดปล่อยตนเองจากวิหารปีศาจฟ้าและพลังของผนึกยังคงบังคับเจ้าอย่างผิวเผินต่อไป  ข้าพูดผิดหรือเปล่า?  ไม่อย่างนั้นเรื่องการผนึกพลังกับเด็กอย่างข้า เจ้าคงไม่พูดถึงแน่ จริงหรือเปล่า?”

เย่ว์หยางพูดถึงตอนนี้สีหน้าของจอมปีศาจไคเทียนถึงกับเปลี่ยนไป

ดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง

เขาไม่พูด

เป็นเวลานาน

เขาจ้องมองเย่ว์หยางราวกับว่าเหมือนกับจะยิงร่างให้ทะลุร่างเย่ว์หยางเป็นสองรู

การจ้องมองจะสามารถฆ่าใครได้? ยกเว้นแต่อาหมันที่มีพลังเนตรประหารและเนตรโลหิตประหารสองชั้น ไม่มีคนที่สองในโลกนี้ที่ทำได้  ดังนั้นเย่ว์หยางยืนอยู่เฉยๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

จอมปีศาจไคเทียนปรบมือทันที  “ไม่เลว  หลังจากหลบหนีออกมาจากวิหารปีศาจฟ้า ข้าสาบานตลอดว่าจะไม่ทำเรื่องโง่เขลาอย่างการพิชิตแดนสวรรค์อีกครั้ง  มันเป็นเพราะความหยิ่งผยองไม่รู้ตัว จนกระทั่งข้าถูกผนึก   การฝึกฝนไม่มีที่สิ้นสุด  ข้าไม่มีความสนใจในการพิชิตแดนสวรรค์อีก  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่ออกไปจากหุบเขาปีศาจเป็นเวลาหลายพันปี”

เย่ว์หยางรีบแก้ไข  “ไม่  เจ้าไม่ได้ออกไปจากหุบเขาปีศาจ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ต้องการ  หากแต่เจ้าทำไม่ได้”

จอมปีศาจไคเทียนชะงักเล็กน้อยและหัวเราะ  “ถ้าข้าต้องการไป ก็ทำได้ เพียงแต่ต้องจ่ายคุณค่าบ้างเล็กๆ น้อยๆ”

 “ตัวอย่างราคาเล็กน้อยเช่น ยักษ์ดาบทองสำนึกเทพที่เกิดขึ้นหลังจากฝึกฝนหนักเป็นเวลาหมื่นปีมีชื่อเสียงมาก แต่มันถูกกักอยู่ในวิหารปีศาจฟ้า  ถ้าเจ้าบอกว่าไม่ต้องการสำนึกเทพ  เจ้าจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตเทพ และข้าเห็นด้วยว่าราคาที่เจ้าจ่ายไปก่อนนั้นก็แค่คุณค่าเพียงเล็กน้อย”  เย่ว์หยางพูดหักหน้าอย่างไม่เกรงใจ

 “ในเมื่อเจ้าเข้าใจทุกอย่างดี  อย่างนั้นมาคุยกันดีกว่า  ถ้าเจ้าช่วยข้ากำจัดผนึกสำนึกเทพ  ข้าจะให้รางวัลสูงสุดกับเจ้า  อย่างเช่นช่วยให้เจ้าฝึกฝนจนผ่านการท้าทายทั้งสิบด่านได้รับคัมภีร์เทพ”  อยู่ต่อหน้าคนฉลาดอย่างเย่ว์หยาง จอมปีศาจไคเทียนต้องยอมรับความจริง

 “ไม่มีอะไรต้องพูด ทันทีที่ปลดปล่อยสำนึกเทพเจ้าเป็นอิสระเจ้าจะเก็บข้าทันที นั่นคือรางวัลที่ใหญ่ที่สุด”  เย่ว์หยางส่ายหน้า เขาไม่เคยเชื่อถือศัตรู

 “จะฆ่าเจ้าตอนนี้ ข้าก็ทำได้” จอมปีศาจไคเทียนตวาด

 “ถ้าข้าอยู่นอกหุบเขาปีศาจ  ข้าอาจจะกลัวบ้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้  แต่ที่นี่พลังผนึกไม่เพียงแต่จำกัดเจ้าไว้ในโลกหุบเขาปีศาจเท่านั้น  แต่เจ้ายังกลัวกระทั่งการทำลายมิติวิหารปีศาจฟ้า  ที่นี่เจ้าไม่กล้าฆ่าข้าด้วยร่างที่แท้จริงของจอมปีศาจไคเทียน  ข้าไม่ใช่จ้าวหมูป่า ไม่ใช่เริ่นเทียนเกอที่เจ้าหลอกลวง”

เย่ว์หยางกางแขนแสดงว่าเขาไม่กลัวตาย

 “เด็กหนุ่มฉลาดอย่างเจ้า ข้าเพิ่งพบเป็นครั้งแรก  ถ้าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ก็คงจะดี!  จอมปีศาจไคเทียนถอนหายใจลึก

 “ข้าก็ไม่ต้องการเป็นคู่ต่อสู้กับเจ้า  ผู้อาวุโสอย่างเจ้า ไม่ดีเอาเสียเลย”  เย่ว์หยางพูดความจริงเป็นครั้งคราว

 “เด็กน้อย!  เจ้าต้องการปฏิเสธจะร่วมมือกับข้าอย่างนั้นหรือ?”  จอมปีศาจไคเทียนถามด้วยสีหน้าจริงจัง

 “อ่า..ถ้าข้าบอกว่าขอกลับไปคิดเรื่องนี้สักสองสามวัน แล้วค่อยให้คำตอบ เจ้าจะเชื่อไหม?”  เย่ว์หยางหัวเราะ  “ดี, ข้ารู้ว่าเจ้ามีวิธีการบางอย่างที่อาจฆ่าข้าได้  ถ้าเจ้าออกมาได้ บางทีข้าอาจจะพบเจอวิธีนั้นในทันที  แต่ข้าคิดว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้”

 “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?” จอมปีศาจไคเทียนถามแปลกๆ

 “เพราะถ้าเจ้าฆ่าข้าจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาในภายหลัง”  เย่ว์หยางชี้ไปที่ประตูเทเลพอร์ตที่สาม  หากเจ้าฆ่าข้าและข้าไม่ตาย ข้าจะเข้าไปช่วยชีวิตเริ่นเทียนเกอ  หากไม่มีการใช้เลือดพวกเขาบูชายัญ ผนึกจะไม่คลาย  ค่ายมารและค่ายพันธมิตรเทพจะไม่สับสนกับการสูญเสียผู้นำหลัก  แผนการของเจ้าที่จะใช้ประโยชน์จากการนี้จะสูญเสียไป และเวลาออกจากวิหารปีศาจฟ้าจะยิ่งนานขึ้นไปอีก...”  เย่ว์หยางอธิบายรายละเอียดอย่างน่าสนใจ

 “พูดมีเหตุผล”  จอมปีศาจไคเทียนยิ้ม มีแววอำมหิตและกระหายเลือดแฝงอยู่ในรอยยิ้มของเขา  “อย่างไรก็ตามข้ายังอยากลองดูว่าเจ้าจะสามารถหลบหนีหกท่ามารฟ้าของข้าได้หรือไม่”

เย่ว์หยางเงียบ

ไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน

จอมปีศาจไคเทียนแปลกใจเล็กน้อย  เด็กคนนี้ไม่กลัวเขาหรือ?  สีหน้าอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร?

เย่ว์หยางถอนหายใจทันที  “อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ต้องสู้!  นี่เป็นการพิสูจน์ข้อหนึ่งว่าข้าฉลาดและมองการณ์ไกลกว่าเจ้า  ประการที่สองคือ เจ้าหัวแข็งมาก เจ้าไม่ฟังคำแนะนำของใครเลย  เจ้ามั่นใจตัวเองเกินไป   สิ่งนี้อาจจะถูกเรียกว่าบุคลิกภาพที่มั่นใจ แต่จริงๆ แล้วก็คือตายโดยไม่สำนึกถึงความล้มเหลวที่แท้จริงของชีวิต  บ่อยครั้งที่บุคลิกภาพเจ้าบกพร่องมีปัญหา”

จอมปีศาจไคเทียนประหลาดใจ  “แม้ว่าจะเป็นความบกพร่องของนิสัยข้า แต่ข้าขอถาม เจ้าถอนใจทำไม?”

เย่ว์หยางตอบด้วยสีหน้าจริงจัง  “ข้ากำลังเตือนตัวเอง ว่าจะไม่ยอมเป็นอย่างเจ้า  เพราะเรามีบางอย่างที่คล้ายกัน  ข้าไม่อยากมีชีวิตยืนยาวเป็นหมื่นๆ ปี และข้าจะไม่มีวันเสียใจเหมือนกับเจ้า จวนจะตายอยู่แล้วยังไม่รู้วิธีทำให้ตนเองก้าวหน้า  ดังนั้นข้าจึงต้องเตือนใจตนเอง  การเป็นคนยืนกรานความคิดเห็นของเจ้าเองนั่นต้องเลือกเวลาที่เหมาะสม  อย่าได้เป็นเหมือนเจ้าที่หวังแต่ประโยชน์ตนเอง  เอาแต่เชื่อโชคลางจะทำให้ใจมืดมัว”

 “.....” จอมปีศาจไคเทียนพูดไม่ออก  เจ้าเด็กผู้น่ารังเกียจนี่ ใช้ตัวของข้าเปรียบเทียบเพื่อพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าหรือ  เจ้าเด็กนี่เป็นใคร  เป็นศัตรูที่ต้องทบทวนให้ในการต่อสู้หรือ?  เจ้าเด็กนี่กำลังสอนใครอยู่?  

4 ความคิดเห็น:

Popcorn กล่าวว่า...

อาหยางสอนปู่.....

zen zen กล่าวว่า...

แก่แล้วไปลงโรงเถอะโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าย้าห์์์์์

ulomzx กล่าวว่า...

เอาสมบัติเทพมาดีๆนะ

manit กล่าวว่า...

ใจจ้า

แสดงความคิดเห็น