วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1329 ไม่มีอะไร ภาพลวงตา หลอกลวง

 

ตอนที่  1329  ไม่มีอะไร ภาพลวงตา หลอกลวง

ประตูแดนสวรรค์

 

บนสนามรบแสงเทพสาดกระจายไปทั่วทุกทิศเหมือนดวงอาทิตย์ ที่ใดก็ตามที่สัมผัสแสงอาทิตย์นี้จะแตกสลายและพังทลายไปทั้งหมด

ขณะนั้นเงาร่างสองเงาหลุดออกไปจากกระแสวังวนประตูแดนสวรรค์อย่างเงียบๆ ดูเหมือนพวกเขาจะอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับเงาร่างก่อนหน้านั้น แต่เงาร่างทั้งสองไม่ได้ลงมือทันที พวกเขาเลือกที่จะมองดู มองดูการต่อสู้ในพื้นที่สนามรบอย่างสบายใจ...

“เจ้าเดาได้ไหม ต้วนหลิวจะจบการต่อสู้ภายในกี่วินาที?”  เงาร่างด้านซ้ายถาม

“ก็คง ร้อยวินาที หรืออาจมากกว่านั้น”  เงาร่างทางขวาคาดเดา

“ข้าคิดว่าสามสิบวินาทีขึ้นไป” เงาร่างด้านซ้ายเดา

“เป็นไปได้หรือ?”  เงาร่างทางขวาคัดค้าน

“พนันกันไหมเล่า?”

“พนันกันก็ได้....”

เงาร่างทั้งสองกำลังเดิมพันกันอย่างสบายๆ และในสนามรบดูเหมือนว่าพวกเขาสามารถได้ยินการเดิมพันหรือสัมผัสได้ของเพื่อนฝ่ายเดียวกันและเงาที่กำลังต่อสู้ก็มีการโจมตีรอบใหม่อย่างดุเดือด  ความสยดสยองราวกับมีไฟในท้องฟ้าทำลายพื้นฟ้าและแผ่นดินด้วยแสงแห่งเทพ  มิติเหมือนถูกดาบตัด หากไม่ใช่เพราะเงาร่างทั้งสองควบคุมพลังเทพอยู่ที่ประตูสวรรค์  เกรงว่าประตูสวรรค์ซึ่งมีมาแต่โบราณคงได้รับผลกระทบจากการต่อสู้นี้และได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจนมิอาจแก้ไขได้

คลื่นสุดท้ายของกระแสวังวนพลังเทพดูดกลืนพื้นที่ต่อสู้ทั้งหมดหายไป

แม้แต่เสียงก็ไม่สามารถเล็ดรอดออกมา

และค่อยๆ หดหายไปในกระแสวังวนหลุมดำ

มีแต่แสงที่ส่องสว่างเป็นเป็นเวลานาน เงาร่างที่ชมดูการต่อสู้ต้องใช้มือป้องตา แม้ด้วยพลังเทพช่วยเหลือ พวกเขาแทบไม่สามารถป้องกันแสงเทพแสบตานี้

“เสร็จสิ้นในยี่สิบวินาที  ข้าชนะ”  เงาร่างซ้ายเห็นผลการต่อสู้เช่นนั้นรู้สึกมีความสุขมาก

“น่าเกลียดน่าชังนัก นักสู้จากหอทงเทียนอ่อนแอเกินไป!  ไหนบอกว่าได้รับมรดกจากเทพธิดาปัญญา ใครจะรู้ว่าแค่ศึกนี้ก็ยังผ่านไม่ได้”  เงาร่างทางขวาไม่พอใจ  เขารู้สึกว่าเขาถูกหลอกโดยข้อมูลของตงฟาง อย่างน้อยก็ทำให้เข้าใจผิด  นักรบหอทงเทียนไม่ได้มีพลังอย่างที่คิด ไม่ว่าจะได้รับมรดกความรู้จากเทพธิดาปัญญา หรือรู้แจ้งเอง

แสงเทพในสนามรบค่อยๆ อ่อนลง เมื่อพวกเขาสามารถใช้ตาปกติได้ ร่างเงาทั้งสองพบว่าสหายศึกกำลังเดินเข้ามาหา

เงาร่างที่ยืนอยู่ทางซ้ายหัวเราะอารมณ์ดี  “เป็นไงเล่า? ฆ่าเสวี่ยอู๋เสีย เป้าหมายที่ทำให้ตงฟางรู้สึกกลัว ได้สำเร็จหรือไม่?”

เงาร่างด้านขวาแค่นเสียงอึดอัด  “เอาอะไรกับการฆ่าผู้เยาว์ที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมารดาคนหนึ่ง!  ข้าไม่รู้ว่าตงฟางกำลังทำอะไรอยู่  มันน่าเบื่อจริงๆ ที่ให้เราเชือดเป็ดเชือดไก่แบบนี้  เขาหาเป้าหมายที่ทรงคุณค่าให้เราไม่ได้หรืออย่างไร?  ข้ารู้สึกคันไม้คันมือเบื่อรอ ไม่มีใครแสดงฝีมือได้เลยสักนิด!   แม้แต่เย่ว์ไตตันที่พวกเขาอวดอ้าง ก็รับมือแค่สองกลอุบายไม่ได้หนีไปแล้ว  ทำไมที่พิเศษอย่างหอทงเทียนถึงได้สร้างแต่คนอ่อนแอ?”

เงาร่างทางซ้ายหัวเราะ  “ไม่, ข้าชอบงานง่าย ยิ่งง่ายก็ยิ่งดี ท้าทายนักสู้แข็งแกร่งมันน่าเบื่อ  ฆ่ามือใหม่น่าตื่นเต้นกว่า

เงาร่างที่ต่อสู้ยังไม่เงียบไม่พูดอะไร

ค่อยๆ เดินตามมา

บางทีสถานการณ์คงน่าอึดอัดอยู่บ้าง เงาร่างทั้งสองเปลี่ยนจากสภาพสบายๆ เป็นประหลาดใจ

“เฮ้, ต้วนหลิว เจ้าคงไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”  เด็กหญิงผู้นั้นทำร้ายเจ้าได้จริงๆ หรือ? นี่ล้อเล่นกันหรือเปล่า?”

“เลิกล้อเล่นได้แล้ว เจ้าคงไม่แกล้งให้เราตกใจใช่ไหม?  ข้าเห็นก่อนแล้ว  เราต้องคุยกัน ต้วนหลิว เจ้าช่างกลั่นแกล้งนัก  ข้าเกือบเชื่อแล้วเชียว เจ้าคิดว่าข้าจะถูกหลอกหรือ? ไม่มีทาง”

ร่างเงาที่เพิ่งผ่านการต่อสู้นั้นเดินเข้ามาเรื่อยๆ แต่ฝีเท้าค่อยๆ ช้าลง

เหมือนกับนักรบที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

เพียงแต่ยังมีเรื่องค้างคาใจ

ยืนยันที่จะกลับมาให้ได้

สำหรับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ เงาร่างทั้งสองมองหน้ากันเองด้วยความประหลาดใจเป็นครั้งแรก  จากนั้นก็หัวเราะลั่นจนน้ำตาไหล  “แกล้งกันอย่างนี้ไม่ดีเลย  ข้าหัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว  ข้าขอบอกเลยต้วนหลิว!  เจ้ามีพรสวรรค์ในการแสดงมาก  ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารู้จักเจ้าดี บางทีเราอาจจะถูกหลอกไปแล้ว  เอาเถอะ ไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไปแล้ว เรามองเห็นแล้วว่าเจ้ามีพลังแบบไหน จะเสแสร้งอีกทำไม”

เงาร่างที่ออกไปต่อสู้นั้นเดินเข้ามาทีละก้าวโดยไม่พูดอะไรสักคำ

จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าสหายทั้งสอง

ทันใดนั้น

ร่างนั้นมิอาจทนได้ต่อไป

ล้มลงบนพื้นหินดังปัง พลังเทพแตกสลายกลายเป็นฝุ่นควัน

เงาร่างทั้งสองไม่สามารถสงบได้อีกต่อไป รีบกางม่านพลังป้องกันอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการลอบโจมตีที่เป็นไปได้ทั้งหมดและตื่นตัวป้องกันอย่างดี  เงาร่างทางด้านซ้าย ก้าวเข้ามาสองก้าวและตะโกนบอกสหายที่ทำฝุ่นฟุ้ง  “ต้วนหลิว!  เราเห็นลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าแล้ว ไม่ต้องมาหลอกเราอีก ลุกขึ้นมา!

“ดูไม่เหมือนเสแสร้ง  ต้วนหลิวคงไม่แพ้จริงๆ ใช่ไหม?”  เงาร่างทางขวาสงสัยเล็กน้อย

“เป็นไปได้ยังไง!  เราสามคนมีพลังระดับเทพ เป็นอมตะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้วนหลิวเขามีประกายเทพ สามารถคืนสภาพได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอาการบาดเจ็บหนักเบาแค่ไหน ก็สามารถฟื้นฟูคืนสภาพได้ทันที!  เงาร่างซ้ายไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด

“อย่างนั้น นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?  เห็นอยู่ชัดๆ ว่า เสวี่ยอู๋เสียพ่ายแพ้ไปแล้วไม่ใช่หรือ?”  เงาร่างด้านขวาสงสัย

“ถูกแล้ว เมื่อครู่นี้เองข้าเห็นต้วนหลิวส่งเรือนสังหาร ออกไปฆ่าศัตรู...” เงาร่างซ้ายก็สับสนเช่นกัน

“ต้วนหลิวบาดเจ็บหนักขนาดนี้ได้อย่างไร?”  เงาทางด้านขวาตกใจกับภาพที่เกิดขึ้นข้างหน้าแทบคลั่ง  ถ้าเขาไม่เห็นกับตาตนเองเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่จะเป็นเรื่องจริง   หรือเขายังสงสัยว่านี่เป็นสหายของเขากำลังล้อเล่นกับตัวเองและหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเจ้าผู้นี้พอถูกสบถด่าก็จะคืนสภาพกลับเป็นเหมือนเดิม

“ให้ข้าเฉลยคำตอบพวกเจ้าเองเถอะ!

เสียงไพเราะดังขึ้น

มีเสียงลอยลมดังมาแต่ไกลดังเข้าโสตประสาทของทั้งสองคน

ในท้องฟ้าห่างไกลไม่รู้ว่ามีร่างเงาหุ่นรูปร่างงดงามสมส่วนจนสุดจะพรรณนา ปรากฏออกมาอย่างเงียบงันภายใต้แสงรัศมี

พวกเขาเห็นนางก้าวเดินอย่างสง่างาม ไม่มีใครขวางอยู่ข้างหน้า แสงแห่งเทพปัญญาส่องประกายเต็มพื้นโลกและท้องฟ้า

สหายที่ล้มลงกับพื้นที่นี่กับศัตรูที่ค่อยๆ ลอยร่างลงมาพร้อมกับมือที่ถือคัมภีร์อัญเชิญเป็นภาพที่ตัดกัน  ความตกใจของพวกเขาไม่น้อยไปกว่าแผ่นดินไหวสร้างความตกใจที่ยากจะสงบได้ยิ่งกว่าแผ่นดินถล่มทลาย...  ไม่รอให้เสวี่ยอู๋เสียพูดอีกครั้งเงาร่างทางซ้ายร้องลั่น “นี่เป็นเรื่องไม่จริง เป็นไปไม่ได้!   เป็นไปไม่ได้ที่ต้วนหลิวจะพลาดท่าพ่ายแพ้!  เขามีประกายเทพ อาการบาดเจ็บใดๆ การโจมตีใดๆ จะไม่คงอยู่กับเขาเกินหนึ่งนาที อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นเทพโบราณที่แข็งแกร่งมากกว่าร้อยเท่า พันเท่าหรือหมื่นเท่า ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าต้วนหลิว  สิ่งเดียวที่ทำให้เขากลัวก็คือผนึกอมฤตของเทพชั้นสูงเท่านั้น แต่อย่างเจ้าจะกำจัดเขาด้วยพลังเทพตอนนี้ ไม่ ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้!  นี่ต้องเป็นภาพลวงตาที่เจ้าสร้างขึ้น  เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะฆ่าเขาได้!

นิ้วดุจหยกของเสวี่ยอู๋เสียลูบคัมภีร์เทพแผ่วเบา ดูเหมือนจะตัดสินใจเรื่องที่สำคัญ

ดวงตานางไม่ได้มองดูศัตรู

ดูเหมือนศัตรูที่น่าเกรงขามทั้งสองไม่ได้อยู่ในสายตานาง

ศัตรูที่ทรงพลังทั้งสองนี้เหมือนกับไม่มีตัวตนอยู่

ไม่นานนักนางถอนหายใจเบาๆ  “บางทีคำตอบอาจจะดูโหดร้ายสำหรับพวกท่าน  แต่ข้าก็ต้องบอกความจริง  ในความเป็นจริงไม่ใช่เขาเท่านั้น แต่พวกท่านทุกคน เป็นเพียงภาพลวงตาของวงกตมิติเวลาแห่งนี้...  หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกท่านไม่มีตัวตนอยู่ที่นั่นแล้ว!

“เจ้าพูดอะไรกัน?”  เงาร่างทั้งสองราวกับได้ยินเรื่องที่น่ากลัวที่สุดในโลก และสั่นไปทั้งร่าง

“ไม่ว่าจะเป็นต้วนหลิวหรือพวกท่านล้วนตายไปนานแล้ว  ที่น่าสนใจก็คือการตายนี้เป็นการสูญสลายอย่างสิ้นเชิงเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่ถูกผนึกด้วยผนึกอมฤตกักขังอยู่ในมิติหลุมดำ  บางทีอาจจะเป็นผู้สร้างวงกตมิติเวลาหรืออาจเป็นคนอื่น ข้าไม่รู้ว่าเทพองค์ใดทำ แต่พวกท่านถูกฆ่าตายไปนานแล้ว นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจเถียงได้  ด้วยเหตุผลพิเศษของวงกตมิติเวลา สถานะความมั่นคงของท่านก่อนตายจึงถูกคัดลอกออกมาทั้งหมด และรูปคัดลอกของพวกท่านเปลี่ยนไปเป็นเซียนอุปถัมภ์ในวงกตมิติเวลานี้โดยไม่รู้ตัว  ข้าเชื่อว่าพวกท่านไม่เคยไปที่นั่นซึ่งจะทำให้รู้สาเหตุที่พวกท่านติดอยู่ที่นี่ตลอดไป!  คำพูดของเสวี่ยอู๋เสียทำให้เจตจำนงของทั้งสองหายไป พวกเขาบ้าคลั่งและสับสน

“ไม่!  เจ้ากำลังโกหกเรา เราเดินทางไปในมิติเวลาที่แตกต่างกันทุกวัน โลกที่แตกต่างกันและผู้คนที่แตกต่างกันที่อาศัยอยู่กับเรา  เราใช้ชีวิตอย่างน่าทึ่งทุกวันๆ เราเป็นนักรบระดับเทพ  ไม่, เรายังไม่ตาย เรายังมีชีวิตอยู่  เรายังไม่ตาย!” เงาร่างด้านขวากำลังจะบ้า

“ทุกชีวิตในโลก แม้กระทั่งชีวิตที่ต่ำต้อยก็มีทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต” เสวี่ยอู๋เสียยิ้ม “ตอนนี้พวกท่านเท่านั้นที่ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ในแดนสวรรค์ เราไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการมีอยู่ของพวกท่านและไม่มีตำนานใดๆ ในสวรรค์  เพราะประวัติศาสตร์ที่เป็นของพวกท่านถูกทำลายไปนานแล้ว  พวกท่านเป็นผู้มีพลังที่ได้รับการจัดอันดับจากเทพเมื่อหลายหมื่นปีก่อนและยังอยู่ห่างไกลมากขึ้นในแดนสวรรค์  คนในยุคปัจจุบันลืมท่านไปนานแล้วดังนั้นพวกท่านจึงไม่มีอดีต  และในคัมภีร์แห่งสัจจะของข้าบ่งบอกว่า  พวกท่านไม่มีอนาคตเลยแม้แต่วินาทีเดียว พวกท่านมีแค่ตัวตนในตอนนี้ ร่างกายที่ถูกคัดลอก ความทรงจำที่ถูกพลังเทพคัดลอกมา...  บางทีผู้สร้างวงกตมิติเวลาจงใจทำหรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น  กล่าวโดยสรุปก็คือ พวกท่านเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงภาพจริงในวงกตมิติเวลาทั้งหมด ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต”

“โอว ไม่นะ!” เงาร่างทั้งสองสิ้นหวัง

แม้ว่าพวกเขาต้องการหักล้างเหตุผลเสวี่ยอู๋เสีย แต่จิตใจของพวกเขาเริ่มพังทลาย

ถ้านางไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ พวกเขาคงไม่เคยสงสัยในเรื่องนี้  แต่หลังจากตื่นรู้ขึ้นมาภาพที่น่ากลัวมากมายก็ปรากฏขึ้นในใจของพวกเขา และจากนั้นโลกแห่งความคิดก็เริ่มพังทลาย

เสวี่ยอู๋เสียเดินผ่านร่างเงาที่คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง

ดูเหมือนนางจะถอนหายใจเบาๆ

ถ้าใช่เล่า ถ้าใช่เล่า

เงาร่างทั้งสองหัวใจสลาย

“ตงฟาง! เจ้าโกหกเรา!  ตงฟาง, ทำไม? ทำไมเจ้าไม่บอกความจริงกับเรา?  เราเชื่อเจ้า!  เหมือนพี่น้อง ทำไมเจ้าหลอกลวงเรา?   และเทียนอี้ก็หลอกด้วยหรือ!  ไม่มีญาติ ไม่มีสหาย ไม่มีทุกอย่าง ในชีวิตของเราทุกอย่างเป็นของปลอม  ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหกและความว่างเปล่า!  ตงฟาง เทียนอี้ ทำไมพวกเจ้าทำอย่างนี้?  หลายปีที่ผ่านมาเราทุกคนหลงเชื่อคำโกหกของพวกเจ้ามากเกินไป ทำไมพวกเจ้าทำเช่นนี้?  ทำไมต้องใช้พวกเราที่ตายไปในสนามรบแล้ว?  ทำไมไม่ให้เรานอนหลับพักอย่างสงบชั่วนิรันดร  ทำไมต้องเอาเรามาใช้งาน?  ทำไม?”

“ไม่มีอดีตและไม่มีอนาคต.. เจ้าใช้ความหลงลืมของเรา มันมากเกินไป  เราอยู่มานานกว่าหมื่นปี และไม่มีอะไรที่เป็นจริงเป็นจัง!

ในท่ามกลางเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดของเงาทั้งสอง

ขณะนี้ร่างเงาที่ล้มกับพื้นอย่างต้วนหลิวลุกขึ้นยืนโดยไม่มีอะไรเสียหาย

เขามองสหายทั้งสองด้วยสีหน้าประหลาดใจ  “จื่อฟง ซีฮัว เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า?  ทำไมพวกเจ้าทำเหมือนกับแพ้? สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือทำภารกิจที่ตงฟางมอบหมายให้เสร็จสิ้น สังหารเสวี่ยอู๋เสียที่ได้รับมรดกพลังจากเทพธิดาปัญญา!  เฮ้, ทำไมพวกเจ้าทำสีหน้าเช่นนั้น? คำพูดของตงฟางมีปัญหาตรงไหน?”

ทันใดนั้นเงาร่างทางซ้ายก็หลั่งน้ำตาและกอดเขาไว้แน่น  “เข้าใจแล้ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจ!  เราไม่ใช่พี่น้องกัน  เราไม่ใช่พี่น้องฝาแฝด แต่เราคือคนๆ เดียวกัน... เจ้าจะไม่กลับมามีพรสวรรค์และข้าจะไม่เกิดใหม่.. สาเหตุที่เราไม่มีวันแก่และตาย เพราะเราเป็นเพียงภาพลวงตาหลอนๆ ทันทีที่เราล้มตายลงเราจะกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยอัตโนมัติ มันน่าเศร้าที่เราไม่มีวันสงบสุขแม้ว่าเราจะตายไปแล้ว และเราต้องกลายเป็นหุ่นเชิด!

เงาร่างทางขวาพุ่งเข้ามาอ้าแขนและสวมกอดเงาทั้งสอง  “ใช่ ข้าจำได้ว่าทักษะแฝงเร้นของเราควรจะอยู่เบื้องหลัง ภาพเราไม่ใช่ของจริงตัวจริง ข้าตายไปนานแล้ว เราเป็นเพียงสามภาพที่ยังเหลือจากทักษะแฝงเร้น!

“ชื่อ, ชื่อของ ข้า อา ดูเหมือนข้าจะจำได้แล้ว ชื่อของข้าคือ...”

“ข้าจำได้ว่า ข้าถูกฆ่าในปีเดียวกันนั้น!

“เจ้าบัดซบเทียนอี้ เจ้ามันเลวทรามต่ำช้า!

ขณะที่เงาร่างทั้งสามส่งเสียงสบถด่า ประตูสวรรค์โลกนี้ก็พังทลายลงเงียบๆ

ระหว่างฟ้าและดินทุกอย่างหลอมละลายเหมือนทรายแล้วหายไปเหมือนหมอกควัน  เงาร่างทั้งสามที่เจ็บปวดหลังจากสบถด่าและรู้สึกโล่งใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาค่อยๆ สลายกลายเป็นความว่างเปล่า

การดำรงคงอยู่ของพวกเขามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับโลกนี้ เมื่อเจตจำนงของพวกเขาล่มสลายและพลังเทพของพวกเขาไม่ได้รับการค้ำจุนอีกต่อไป โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไป

ไม่มีความคงอยู่อีกต่อไป

โลกทั้งสิบทิศถูกทำลาย และแม้แต่ประตูสวรรค์ก็เหมือนกับเงาจันทร์สะท้อนในน้ำและดอกไม้ในกระจกก็เปล่งประกายออกมา

เหลือเพียงประตูล่องหนของเย่ว์หยางที่เหลืออยู่

เป็นหอคอยนิรันดร

*** *** ***

11 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณค้าบบ

BJ กล่าวว่า...

แค่พูดก็ชนะแล้ว​ เทพขิงๆ

Failz กล่าวว่า...

เป็นเทพที่น่าสงสารจริงๆ

CHANTANA กล่าวว่า...

ชนะงา่ยจัง

blakaros กล่าวว่า...

ถ้าเป็นพวกนี้คงเศร้าน่าดู

Pcha กล่าวว่า...

น่าเศร้าที่โดนหลอกใช้

Apirak Panyakam กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Thedullman กล่าวว่า...

โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีคราวสดใส มองเห็นเรือใบ แล่นอยู่ในทะเล
ลอยคอในทะเลมาพันกว่าตอน นิยายอะไรไม่รู้ออกทะเลอย่างเดียวเลย

Sairys กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Krisda กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

INNOVATOR กล่าวว่า...

ชนะด้วยวาจา ไม่ต้องใช้กำลังเลย

แสดงความคิดเห็น