ตอนที่ 1337 ผู้เฒ่า ท่านเป็นใคร?
หน้าประตูตำหนักกลาง
เย่ว์หยางกำลังเดินไปตามขั้นบันไดด้วยท่าทีสบายๆ และพอใจเหมือนนักท่องเที่ยวชมดูสวนดอกไม้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเพิ่งเดินออกมาจากนรกหนามเข็ม
จางเว่ยอยู่ในระหว่างภารกิจ และจางเฮิ่นผู้มีความมั่นใจติดอยู่ในกับดักของตนเอง ภายใต้ภูเขากวงหมิงไม่มีใครขัดขวางเย่ว์หยางไม่ให้เดินหน้าได้ ทหารหรือบริวารผู้เฝ้ารักษาตำหนักกลางพบเห็นเย่ว์หยาง แต่พวกเขาไม่กล้าก้าวเข้ามาขัดขวาง พวกเขาไม่หยิ่งผยองเหมือนเมื่อก่อนแม้จะเห็นเย่ว์หยางเดินขึ้นมาจากระยะไกลก็ตาม ไม่มีใครกล้าขัดขวาง ได้แต่วิ่งกลับไปรายงาน
ในไม่ช้าเย่ว์หยางก็มาถึงลานต้อนรับ
ที่นี่เดิมทีเป็นลานต้อนรับสำหรับผู้มีศรัทธาจากแปดทิศทาง “ตำหนักลม ไฟ น้ำ ดิน ฯลฯ ล้วนตั้งรูปเทพเจ้าขนาดใหญ่ไว้ที่นี่และในขณะเดียวได้ติดตั้งเสาแก้วผลึกสำหรับเทเลพอร์ตเพื่อให้ผู้มีศรัทธาได้ใช้เดินทางไปมา
งานรื้อบ้านเริ่มแล้ว แต่จะไปตำหนักไหนก่อน
เย่ว์หยางจับคางครุ่นคิด
ตำหนักลม?
ตำหนักน้ำ หรือตำหนักไฟ?
ขณะที่เย่ว์หยางตรวจสอบเสาแก้วผลึกไปทีละต้นเพื่อหาเป้าหมายที่ดีที่สุด มีชายชราอ้วนเตี้ยถือข้องใส่ปลาสีดำและคันเบ็ดสีเขียวมรกตในมือเดินหัวเราะเข้ามาหา
ท่าทางของชายชราใจดีตะโกนถามราวกับพบเห็นสหายหรือคนในครอบครัว “เด็กน้อย! เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เย่ว์หยางประหลาดใจ
เขามองสำรวจดูชายชราขึ้นๆ ลงๆ อย่างระมัดระวัง “ดูเหมือนว่าข้าไม่รู้จักท่านนะ?”
“เจ้าคือคุณชายสามตระกูลเย่ว์จากทวีปมังกรทะยาน หอทงเทียนไม่ใช่หรือ” ชายชราดูเหมือนรู้จักเย่ว์หยางแต่ว่าไม่คุ้นเคยกับเขา
“ใช่แล้ว แต่ท่านเล่า?” เย่ว์หยางลูบหลังศีรษะตนเองด้วยความสับสนเล็กน้อย เขาไม่มีญาติหรือสหายอยู่ในตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดชายชรานี้จึงดูคุ้นเคย? นอกจากนี้ยังดูเหมือนไม่ใช่การเสแสร้งแปลงตัว! ตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีแต่ศัตรูล้วนๆ ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมีผู้เฒ่าอย่างนี้ด้วย
“ข้าคือฟ่านเจียงผู้ลือชื่อ! โอวลืมไป เจ้ายังเด็กเกินไป เจ้าต้องไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของข้ามาก่อนแน่นอน ไม่เป็นไร เจ้าเรียกข้าว่ายอดพรานเบ็ด ข้าชอบให้คนเรียกข้าว่ายอดพรานเบ็ด!” ชายชราชื่อฟ่านเจียง ชื่อนี้เย่ว์หยางไม่เคยได้ยินมาก่อน ตั้งแต่เขาเป็นจักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่ เขาได้อ่านประวัติศาสตร์ของหอทงเทียนมามาก และประวัติศาสตร์ลับที่เกี่ยวข้องก็อ่านด้วยเช่นกัน แต่ชื่อฟ่านเจียงไม่เคยปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย ผู้เฒ่านี้เป็นผู้อาวุโสจากหอทงเทียนหรือ? นั่นคงเป็นเวลาที่ยาวนานเกินไป หรือว่าประวัติศาสตร์ลืมไปหมดแล้ว?
“ยอดพรานเบ็ด? แต่ในข้องของท่านไม่มีปลาเลยสักตัว!” เย่ว์หยางมองดูข้างในข้องและพบว่าฝีมือของยอดพรานเบ็ดผู้นี้แย่ยิ่งกว่าของเขา ไม่มีแม้แต่เกล็ดปลาให้เห็นสักเกล็ด นี่ยังกล้าอ้างตัวว่าเป็นยอดพรานเบ็ดอีกหรือนี่?
“ข้องใส่ปลาของยอดพรานเบ็ดไม่มีปลาได้ไง!” ผู้เฒ่าเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาละอายหน้าแดงและพยายามแก้ตัว
“.....” เย่ว์หยางพูดไม่ออก
การสนทนาพูดคุยกับนักตกปลางี่เง่านับเป็นการกระทำที่งี่เง่า เย่ว์หยางตัดสินใจไม่พูดเรื่องการตกปลากับตาเฒ่าผู้นี้อีกและไม่พูดถึงปลาด้วยซ้ำ เขาสามารถมองเห็นได้ ยอดพรานเบ็ดผู้นี้ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าอ้วนไห่งี่เง่า ที่ชอบหลับและกรนเวลาตกปลาทำให้ปลาตกใจหนีไปหมด
ผู้เฒ่ารออยู่นานและเห็นว่าเจ้าเด็กที่อยู่ข้างหน้าไม่ยอมประจบสอพลอยกย่องตัวของเขาเพื่อรับรู้ถึงกลเม็ดในการตกปลา ทำให้เขาอดรู้สึกเบื่อมิได้
จะบอกว่าผู้อาวุโสน่ารังเกียจก็ต้องเห็นแก่หน้ากันบ้าง! ไม่งั้นจะอึดอัดมาก
ผู้เยาว์นี้ไม่มีความนอบน้อมบ้างเชียวหรือ?
เย่ว์หยางไม่ใช่เจ้าอ้วนไห่ ที่กล้าประจบประแจงผู้อาวุโสแม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยกย่องนักตกปลางี่เง่าให้เป็นยอดนักตกปลา
ดังนั้นคุณชายจึงทำเป็นแหงนหน้ามองฟ้าแสร้งทำเป็นไม่เห็นชายชราที่โหยหาการยกย่องเยินยอ
ผู้เฒ่ารออยู่นาน ในที่สุดเขาก็หมดความอดทนและรีบเอ่ยปากขึ้น “การตกปลาเป็นศิลปะขั้นสูง เมื่อใดก็ตามที่ข้ามีเวลา ข้าซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการตกปลาระดับปรมาจารย์ยินดีจะให้คำแนะนำแก่เจ้า ตอนนี้ข้าจะสอนเจ้าได้รู้ในด้านอื่นเพื่อไม่ให้เจ้าถูกหัวเราะเยาะ เหมือนเด็กบ้านนอกที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ให้การสั่งสอน”
ถ้าไม่ใช่วิชาตกปลาเท่านั้น
สำหรับเหตุผลอื่น เย่ว์หยางก็มีความสนใจ
“เอ่อ.. ผู้อาวุโสม่านเจียงใช่ไหม? เป็นเกียรติที่ได้พบผู้อาวุโสที่นี่ในวันนี้!” เย่ว์หยางโค้งแทบจรดพื้น
“ฟ่านเจียงผู้ลือชื่อ!” เมื่อผู้เฒ่าได้ยินผิดเขารีบแก้ไขให้ถูกต้อง แม้ว่าคุณชายสามจะเรียกชื่อเขาผิด แต่สมควรให้อภัยสำหรับเด็กหนุ่มที่ทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเป็นผู้อาวุโสที่เปิดเผยใจกว้างจึงไม่ถือสาเขา
“วันนี้อากาศดี มิทราบว่าผู้อาวุโสม่านเจียงกินข้าวเช้ามาหรือยัง? หรือว่าไง” คุณชายสามกระตือรือร้น
“ไม่ใช่ม่านเจียง แต่เป็นฟ่านเจียงผู้โด่งดัง!” ผู้อาวุโสอดทนแก้ไขข้อผิดพลาดของเด็กรุ่นหลัง
“ผู้อาวุโสม่านเจียง! ข้าได้ยินมาเมื่อตอนข้ายังอายุสามขวบ” เย่ว์หยางบอกว่าชื่อเสียงที่โดดเด่นของผู้อาวุโสนั้นโด่งดังเหมือนกับฟ้าร้องกรอกหู
“เจ้า เจ้าเรียกข้าว่ายอดพรานเบ็ดก็แล้วกัน!” ผู้เฒ่าพบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดทางวาจาของบุรุษหนุ่มคนนี้ได้ เป็นไปได้ไหมว่าชื่อเสียงของเขานั้นน่าตกใจเกินไปซึ่งทำให้บุรุษหนุ่มคนนี้ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ชั่วขณะและเรียกชื่อของเขาผิด? แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ควรค่าแก่การให้อภัย สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ทำผิดเล็กน้อย ชื่อไม่ใช่เรื่องสำคัญ อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นคนเกียจคร้านและซ่อนตัวอยู่ในเมือง การเรียกยอดพรานเบ็ดนั้นสอดคล้องกับสถานะการหลีกหนีหลบหน้าของเขาในปัจจุบันมากกว่า
“ผู้เยาว์จะกล้าเรียกฉายาผู้อาวุโสตามปกติได้อย่าง นั่นเป็นการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่ใช่หรือ?” คุณชายสามรีบโบกมือ
“ไม่เป็นไร เราผู้เฒ่านี้มีความเป็นมิตรเสมอ” ใบหน้าของผู้เฒ่ามีรอยยิ้มที่น่ารัก
“ข้าโชคดียิ่งนักที่ได้พบผู้อาวุโสที่น่ารัก” คุณชายสามจับมือของผู้เฒ่าอีกครั้งและพยายามเขย่าขึ้นลง ความกระตือรือร้นและความชื่นชมของคุณชายสามทำให้ผู้เฒ่านี้พอใจมาก
“ถ้าเกิดเรื่องอะไรในอนาคต เจ้าเพียงแค่ระบุชื่อที่โดดเด่นของข้า ข้าผู้เฒ่าจะปกป้องเจ้า” ชายชราหัวเราะหน้าบาน
“ผู้อาวุโสช่างมากน้ำใจยิ่งนัก!” คุณชายสามยกหัวแม่มือให้เขาโดยตรง
“เรื่องเล็ก ข้าชอบดูแลผู้เยาว์เสมอ ใครให้ข้าเป็นผู้อาวุโสผู้มีความบริสุทธิ์ใจเล่า” ผู้อาวุโสหัวเราะอย่างมีความสุข
“ทำไมวันนี้ผู้อาวุโสถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่?” เย่ว์หยางแปลกใจถ้าผู้เฒ่านี้เป็นผู้อาวุโสของหอทงเทียน เหตุใดเขาจึงไม่อยู่ในหอทงเทียนแต่กลับวิ่งมายังตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ภูเขากวงหมิงทำไม?
“มีคำกล่าวว่าสถานที่อันตรายที่สุดคือที่ปลอดภัยที่สุดไม่ใช่หรือ? เมื่อหอทงเทียนและภูเขากวงหมิงทำสงครามกันไม่มีที่ใดในแดนสวรรค์ที่ปลอดภัย ข้าตัดสินใจบุกเข้าไปในแดนศัตรูทำให้ศัตรูสับสน แสร้งทำตัวเป็นชาวประมงซ่อนตัวเองไว้ลึกที่สุด! แล้วเด็กน้อยเจ้าล่ะ? เห็นว่าการปลอมตัวของข้าฉลาดมากไหมเล่า? ข้าแอบซุ่มซ่อนอยู่ที่นี่มาเป็นหมื่นๆ ปีแล้วไม่มีใครพบเจอข้าเลย ฮ่าฮ่าฮ่า เราผู้เฒ่าคือราชานักซุ่มซ่อนตัวจริง!” ชายชรากล่าวอย่างตื่นเต้นน้ำลายแตกฟอง
“การต่อสู้แพ้ชนะในอดีตตั้งแต่เมื่อใด?” เย่ว์หยางอดสงสัยไม่ได้
“แน่นอนว่าต้องชนะเป็นธรรมดา ถ้าไม่ใช่เพราะปีศาจเฒ่าบางตนคอยช่วยสนับพวกเขาภูเขากวงหมิง หอทงเทียนของเราคงรุ่งเรืองยกระดับไปแล้ว!” ในยุคสมัยของชายชรา หอทงเทียนยังทรงพลังมากแตกต่างจากยุคปัจจุบันที่ตกยากลำบาก
“.....” เย่ว์หยางอยากใช้ก้อนอิฐตบชายชรานี้ยิ่งนักแล้วลากตัวไปฝังไว้ ถ้าเจ้าสู้พวกภูเขากวงหมิงได้โดยตรง เจ้ายังจะมาหลบอยู่อย่างนี้หรือ
“การปลอมตัวเป็นชาวประมงเป็นเวลาหลายหมื่นปีทำให้ฝีมือการตกปลาของเราผู้เฒ่าพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก และเขาได้เลื่อนขึ้นเป็นยอดพรานเบ็ดระดับปรมาจารย์! แน่นอนว่าอัจฉริยะอย่างข้าสามารถเรียนรู้ทุกอย่างรวดเร็วมาก!” ชายชราลูบเคราสีขาวของเขา ทำนองว่าเด็กน้อยเจ้าต้องเรียนรู้จากข้า
“.....” เย่ว์หยางมองดูข้องปลาที่ว่างเปล่า นี่คือฝีมือตกปลาที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีหรือ?
“อย่าอิจฉาเราผู้เฒ่ามากเกินไป ความสามารถของบางคนอิจฉาไปก็ทำอะไรไม่ได้!” ผู้เฒ่าคิดว่าเย่ว์หยางกำลังเศร้า เขาจึงรีบปลอบ แต่ฟังแล้วเหมือนกับต้องการอวด
“....” เย่ว์หยางรู้สึกอยากฝังตาแก่นี่ทั้งเป็นยิ่งนัก
หลังจากสนทนากันอย่าจริงจังเย่ว์หยางก็เข้าใจได้ในที่สุดว่าชายชราผู้นี้เป็นผู้อาวุโสของหอทงเทียน ไม่ใช่ศัตรูปลอมแปลง แต่เป็นปีศาจเฒ่าที่มีชีวิตมานานนับหมื่นปี สำหรับชายชราคนนี้ที่ไม่ได้กลับไปยังหอทงเทียนเป็นเวลาหลายหมื่นปีนั่น แต่กลับอยู่ในภูเขากวงหมิงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวของเขา
ไม่ทำอะไรให้มากเกินไป
ในทางตรงกันข้ามถ้าทำบางเรื่องปกติเกินไปอย่างนั้นต้องระวังอาจเป็นสัญญาณของการสิ้นโลก
เนื่องจากเขาเป็นผู้อาวุโสจริงๆ แม้ว่าเขาจะค่อนข้างช่างพูด แต่เย่ว์หยางก็แอบถอนหายใจโล่งอก รู้สึกดีที่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของรุ่นอาวุโส ถ้าผู้อาวุโสนี้ไม่เหลวไหลก็เชื่อว่าน่าจะดีกว่านี้
หลังจากคุยเรื่องเคล็ดการตกปลาแล้วผู้อาวุโสคุยกับเย่ว์หยางเรื่องการพรางตัวซุ่มโจมตี เกี่ยวกับการอำพรางซุ่มโจมตี ผู้อาวุโสนี้เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นพูดคุยเกี่ยวเคล็ดการจับปลากับเย่ว์หยาง ถ้าเย่ว์หยางเป็นเจ้าอ้วนไห่ ทั้งสองก็น่าจะมีช่วงเวลาที่ดีในการพูดคุยกันอย่างแน่นอน แต่แม้ว่าเย่ว์หยางจะแสดงตัวเป็นคนธรรมดา หลังจากพูดคุยนานเข้า ในที่สุดเย่ว์หยางก็อดบอกอำลาไม่ได้
“ผู้อาวุโส เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ ข้าเลี้ยงเอง!” คุณชายสามเชิญผู้อาวุโสกินอาหารเรื่องนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางการสัญญาของเขา
“ก็ได้ แล้วค่อยติดต่อกันใหม่เมื่อมีเวลา!” ชายชราไม่เต็มใจจะแยกจากกัน เป็นเรื่องยากที่จะมีคนหนุ่มคนหนึ่งที่ยอมฟังฝีมือในการตกปลากของขา อย่างไรก็ตามขณะที่เย่ว์หยางกำลังจะจากไป เขารีบตอบทันที “เดี๋ยวก่อน เด็กน้อย เจ้าจะทำอะไร?”
“รื้อบ้าน!” น้ำเสียงของเย่ว์หยางเหมือนเป็นผู้จัดการ
“ข้าจะไปด้วย จะรื้อบ้านที่ไหน?” ผู้เฒ่าผู้อยู่โดยซ่อนฝีมือไว้ได้ยินเรื่องรื้อบ้านเขาร่วมสมัครด้วยทันที
“บนภูเขากวงหมิงนี้ ผู้อาวุโส ท่านไม่คิดว่าจะมีบ้านเพิ่มอีกหรือ? อาคารที่นี่ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาและการวางแผนชนบทใหม่ในสังคมที่กลมกลืนกัน ข้าตัดสินใจว่าจะรื้อที่นี่ทั้งหมดแล้วสร้างใหม่ ทำไม ผู้อาวุโสสนใจหรือเปล่า?” เย่ว์หยางไม่คิดว่าผู้เฒ่าคนนี้จะช่วยได้ หากเขาต้องการเปิดเผยตัว ก็คงทำไปแล้วไม่ต้องรอเป็นหมื่นๆ ปีจนถึงบัดนี้
“โครงสร้างที่นี่ไม่สอดคล้องยังไง?” ผู้เฒ่าไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยิน แต่ในที่สุดก็รู้ว่าเย่ว์หยางต้องการถล่มภูเขากวงหมิงให้ราบ
“ผู้อาวุโสไปตกปลาต่อเถอะ เรื่องใหญ่อย่างนี้ไม่ควรมาถ่วงงานอดิเรกของท่าน! นอกจากนี้ นี่ยังเป็นเรื่องเล็กน้อย คนรุ่นเยาว์อย่างข้าจะกล้าใช้คนรุ่นอาวุโสได้อย่างไร” เย่ว์หยางไม่เคยนับผู้อาวุโสเฒ่าคนนี้ ตราบใดที่ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ศัตรูที่มีความแข็งแกร่งไร้เทียมทานเขาก็มีความพอใจแล้ว
“ที่นี่น่ะหรือ? เด็กน้อย ดูเหมือนว่าเจ้าเกือบได้แล้ว! ภูเขากวงหมิงไม่มีอะไรโยกคลอนได้มานานแล้ว เจ้าต้องการลงมือหรือ? นอกจากเราผู้เฒ่าแล้ว คนอื่นพยายามเหยียบย่ำให้ราบไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเด็กน้อยเจ้าจะดูแล้วไม่ใช่ธรรมดา แต่ก็ยังห่างไกลจากผู้เฒ่ามากนัก!” ผู้อาวุโสราวกับคุยโม้โอ้อวดตัวเอง แน่นอนว่าเขามีทุนในการคุยโว อย่างน้อยเย่ว์หยางที่ไม่เคยเชื่อก็ไม่ขัดวาง เปลี่ยนเป็นคนอื่น อาจจะฆ่าแล้วลากไปฝังตั้งแต่เขาคุยโม้เรื่องเคล็ดในการจับปลา
“แล้วเราจะย่ำภูเขากวงหมิงให้ราบได้อย่างไร?” เย่ว์หยางถามเหมือนเด็กใฝ่รู้
“ง่ายมาก ถ้าเจ้ามีความแข็งแกร่งระดับเดียวกับเราผู้เฒ่า” ผู้เฒ่าลากเสียงยาว
“แล้วถ้ามีไม่พอเล่า?” เย่ว์หยางกลอกตาเมื่อได้ยิน
โธ่เอ๋ย!
ปีศาจเฒ่าอยู่มาหลายหมื่นปีใครอยากจะเทียบกับเจ้าเล่า? ยังมีผู้เยาว์คนไหนที่อายุเยาว์ยิ่งกว่าเราคุณชาย
ชายชรายืนเขย่งเท้าโอบแขนตบไหล่เย่ว์หยางอย่างยากลำบาก “ไม่ต้องกลัว เราผู้เฒ่าถูกใจเจ้ามาก และข้าสามารถให้คำแนะนำเจ้าได้เล็กน้อย หากเจ้าเข้าใจได้สัก 20-30% เจ้าอาจจะดึงพลังเพิ่มขึ้นมาได้ แม้ว่าพลังจะไม่เพียงพอ แต่ก็อาจใช้รักษาเอาตัวรอดได้...”
เย่ว์หยางอยากจะถอดรองเท้าและตบตาเฒ่าให้แบนเป็นกระดาษยิ่งนัก แต่เขาพยายามข่มอารมณ์ไว้
ถ้าไม่เห็นว่าเขาเป็นผู้อาวุโส ไม่ มองเห็นว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอายุยืนยาว เขาคงใช้ปราณกระบี่แทนห้าม้าแยกสังขารกับตาเฒ่านี่แล้ว เขาเอาตัวรอดมาเป็นเวลาหมื่นๆ ปีได้อย่างไร? มีความสามารถในการพัฒนาสติปัญญาของตัวเองหรือ!
“ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เราผู้เฒ่าไม่บอกแน่นอน แม้ว่าเด็กน้อยเจ้าจะดูไม่ค่อยดีนัก แต่ความเข้าใจของเจ้าใช้ได้ดี แต่เราผู้เฒ่าเต็มใจจะให้คำแนะนำ! ก่อนจะเข้าสู่บทแนะนำ ข้าจะแสดงฝีมือตกปลาขั้นสูงให้เจ้าดู!” คำพูดของชายชราแทบจะทำให้เย่ว์หยางหน้าทิ่มกับพื้น ทั้งชีวิตของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์มามากมาย แต่ไม่มีใครพูดอะไรมากเกินไป ผู้อาวโส ดูอายุตัวเองเสียบ้างได้ไหม?
“เด็กน้อยผู้เป็นเทพราชันย์ยังสับสนอยู่ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะชี้แนะข้อสงสัย” เย่ว์หยางไม่เคยคำนับผู้เฒ่า และท่าทีของเขาทำตามมารยาทเมื่อเขาขอคำแนะนำ
“ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเทพราชันย์ เด็กน้อยเจ้ายังพลาดไปไกล นั่นต้องการความลึกซึ้งเมื่อเทียบกับการพัฒนาก้าวหน้าวิชาตกปลา เด็กน้อย จงอย่างโลภเกินไป จงกลืนกินอย่างระมัดระวัง จะได้ไม่สำลัก วันนี้ข้าแทบยังไม่ได้ให้คำชี้แนะเรื่องบัลลังก์เทพให้เจ้าเลย!” เมื่อชายชรากล่าวเสร็จ เย่ว์หยางตะลึง
บัลลังก์เทพ?
เอาไว้ทำอะไร?
เขามีความเข้าใจเรื่องนักรบระดับเทพไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเกินไป ทำไมเขาไม่เคยได้ยินเรื่องบัลลังก์เทพเลย? แม้แต่ภูมิปัญญาที่ได้รับตกทอดจากมารดาก็ไม่พูดถึงไว้ บัลลังก์เทพคืออะไร?
*** *** ***
7 ความคิดเห็น:
ต้องเป็นญาติกับเจ้าอ้วนไห่แน่ๆ
อ้าวระดับใหม่หรอนิ
ขอบคุนคับ
เติมทรูเพิ่มสินะ
ตัวตบมุกคนใหม่หรอ 55
ขอบคุณครับ
พวกบ้าๆบอๆแบบนี้แหละมักโคตรเทพ
แสดงความคิดเห็น