ตอนที่ 1339 ทูตซ้ายจื้อไจ้เทียน
ตอนนี้เย่ว์หยางสงบอารมณ์ลงมาก และอารมณ์ที่เคร่งขรึมเมื่อได้ยินเรื่องบัลลังก์เทพเป็นครั้งก็หายไป
อารมณ์ทั้งหมดของเขาเหมือนกับมองดูเมฆ
ท้องฟ้ากลับมาสดใสอีกครั้ง
ชายชราต้องการคุยโอ้อวดกับเย่ว์หยางเช่นกัน แต่เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเหยียดแขนตบไหล่เย่ว์หยางแรงๆ “เด็กน้อย พักไว้แค่นี้ก่อน เอาไว้เมื่อมีเวลาว่าง เราผู้เฒ่าจะคุยกับเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ที่นี่มีคนบ้าอยู่คนหนึ่ง เขามีความสงสัยหวาดระแวงมาก เขาตามหาข้ามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่ยอมให้เขาหาเจอแน่ ฮ่าฮ่า!”
เย่ว์หยางพูดไม่ออก
ผู้อาวุโสกำลังเล่นซ่อนหาหรือ?
มีความแข็งแกร่ง ถ้าต้องคอยตบเท้าวิ่งหนี ก็แค่ฆ่าตรงๆ ก็ได้ไม่ใช่หรือ? ทำไมต้องมาเล่นเกมส์น่าเบื่อด้วย? นี่พวกเขาอายุเป็นหมื่นปีแล้วไม่ใช่หรือ
“ถ้าเขาถามเจ้า อย่าบอกนะว่าเจอข้า!” ชายชรากำชับเย่ว์หยางไม่ให้ปล่อยข่าวเขารั่ว
“ข้าว่าผู้อาวุโส ทำไมท่านถึงต้องหนี? ก็แค่ซัดหน้าเขาโดยตรงโค่นเขาไปเลย ซัดให้ญาติผู้ใหญ่ของเขาจำหน้าไม่ได้ไม่ดีกว่าหรือ?” เย่ว์หยางไม่เข้าใจโลกชั้นสูง เขาเป็นผู้อาวุโสที่มีพลัง ก็แค่แสดงฝีมือเล็กน้อย จะต้องไปกลัวอะไร!
“ไม่ ไม่ ข้าไม่ต้องการทำอะไรกับเด็กน้อยผู้มีอายุเพียงไม่กี่พันปี ถ้าเขาร้องไห้กลับไปฟ้องผู้ใหญ่ว่าข้ารังแกเด็กอย่างนั้นข้าก็ต้องเสียหน้า ไม่ ไม่ ข้าต้องไม่ทำเรื่องนั้น!” ผู้อาวุโสโบกมือพัลวัล
เย่ว์หยางอยากจะเอาหัวโขกเต้าหู้ยิ่งนัก
ชายชราหายไปทันที
เขาหายไปไม่เหลือร่องรอย เหมือนกับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน
ดวงจักษุญาณทิพย์ของเย่ว์หยางไม่มีทางมองเห็นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งได้ยินความลับบัลลังก์เทพ เย่ว์หยางสงสัยว่าผู้อาวุโสงี่เง่านี้ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน หรือเป็นเพียงภาพลวงตาบางอย่างที่ศัตรูสร้างให้เขา
หอทงเทียนมีผู้อาวุโสแบบนี้ได้อย่างไร?
มิน่าเล่าหอทงเทียนถึงได้ตกต่ำ ไม่นะ หลังจากที่ได้พบกับผู้อาวุโสผู้ทรงพลังนี้ไม่มีเหตุผลที่หอทงเทียนจะตกต่ำเลย
“คราวหน้าอย่าให้เจอกัน ไม่งั้นเจอดีแน่!” เย่ว์หยางไม่พอใจที่มีคนรุ่นอาวุโสที่ยอดเยี่ยมมากมาย และเด็กรุ่นหลังของหอทงเทียนเหมือนกับเด็กกำพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ ใครๆ ก็มารังแกกันได้ นี่เป็นเรื่องที่พูดไม่ออก ผู้อาวุโสแบบนี้ใช้การอะไรได้? อาจจะใช้ไม่ได้เลยก็ได้ นางพญาเฟ่ยเหวินหลีไม่ต้องพูดถึง แต่จักรพรรดิอวี้ต้องตายไป นับว่าไม่ยุติธรรมนัก
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน
ตามคำพูดของผู้เฒ่านี้จะเห็นได้ว่า เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กน้อยที่มีชีวิตอยู่มานานสองสามหมื่นปี แต่ก็มีผู้ใหญ่หนุนหลังเขา
ดูเหมือนว่าปีศาจเฒ่ายังกังวลอยู่บ้าง หากไม่ทำเช่นนั้นอาจมีข้อตกลงบางประการในข้างต้นว่า ‘ผู้ใหญ่’ ไม่ถนัดการแทรกแซงเรื่องเหล่านี้ แต่ปล่อยให้ ‘เด็ก’ ลงมือตามที่พวกเขาชอบ อย่างไรก็ตามคุณชายเป็นหนุ่มแล้ว เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้มีชีวิตมาถึงสองหมื่นถึงสามหมื่นปี นี่ยังจะถูกรังแกได้หรือ?
สองสามพันปี ยังคงเป็นเด็ก? บ้าไปแล้ว ตาแก่ตาบอดจริงๆ
ในเมื่อผู้ใหญ่เบื้องบนไม่สนใจ ก็ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกัน
อย่างนั้นสิ่งต่างๆ จะง่ายขึ้น
เย่ว์หยางตัดสินใจจะสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในภูเขากวงหมิงนี้ ถ้าเขาไม่ฆ่าคนให้ได้สักเจ็ด ก็อย่ามาเรียกเขาว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์
“รอมานานแล้ว อาคันตุกะจากหอทงเทียน เย่ว์ไตตันอัจฉริยะที่เล่าลือกันว่ายากจะหาพบได้ในรอบหมื่นปี โปรดให้ข้าทูตซ้ายตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวแทนท่านเจ้าตำหนักสูงสุดต้อนรับท่าน!” มีบุรุษวัยกลางคนร่างสูงใบหน้าหล่อเหลา ไม่รู้ว่ามายืนข้างหลังเย่ว์หยางตั้งแต่เมื่อไหร่และทักทายเขาอย่างสง่างาม
สามารถมองเห็นความเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์และเห็นริ้วรอยชราในช่วงตลอดหลายปี
ในทางตรงกันข้าม คนผู้นี้มีราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ
ผสานลงตัวกับประสบการณ์ของโลกได้ดีกลายเป็นเสน่ห์ที่ยอดเยี่ยม
ถ้าเด็กสาวผู้หยิ่งลำพองได้พบเห็นจะต้องตกหลุมรักแน่นอนราวกับว่านางถูกวางยา จนตกหลุมรักชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างหน้าตาน่าทึ่ง เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มหล่อเหลาและอ่อนวัยเยาว์กล้าหาญอย่างเย่ว์หยาง ท่านลุงวัยกลางคนนี้มีเสน่ห์ที่คล้ายกัน แต่แตกต่างตรงที่เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดูมั่นคงและแข็งแกร่งดุจภูเขา ใครๆ ที่เห็นเขาจะรู้สึกไว้วางใจอย่างยิ่ง แม้ว่าฟ้าจะถล่มทลาย แต่เขาก็สามารถแบกรับไว้บนบ่าได้
“ท่านน่ะหรือคือทูตซ้าย?” เย่ว์หยางไม่เคยได้ยินชื่อของทูตซ้ายมาก่อน แต่เขาเข้าใจด้วยจักษุญาณทิพย์ ทูตซ้ายผู้นี้ไม่มีความเป็นคนแม้แต่น้อย
เขาคืออสูรพิทักษ์ของเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ผู้แปลงเป็นร่างมนุษย์ได้สมบูรณ์จากนั้นเลื่อนระดับเป็นนักสู้ชั้นเทพ!
มิน่าเล่าเขากล้าพูดว่าเป็นตัวแทนของเทียนอี้ออกมาต้อนรับแทนเขา
เย่ว์หยางเงยหน้ามองพยายามดูความผิดปกติของลุงวัยกลางคนที่อยู่ด้านตรงข้าม แต่น่าเสียดายที่เขาไม่พบมาระยะหนึ่ง และเขาไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ความประสงค์ของเขาได้ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อคุย “เนื่องจากเจ้านายของเจ้าไม่ได้ลงมาต้อนรับด้วยตนเอง ทั้งละเลยปล่อยให้อาคันตุกะรอเฉยๆ ถ้าข่าวนี้กระจายไปถึงไหน ข้าเกรงว่าจะทำให้คนนอกหัวเราะเยาะเอาได้!”
ลุงวัยกลางคนที่เป็นทูตซ้ายไม่โกรธ เขายิ้มเล็กน้อย “อาคันตุกะมีหลายประเภท ประเภทหนึ่งไม่ได้รับเชิญ ไม่ว่านายท่านจะทักทายด้วยตัวเองหรือไม่ เชื่อว่าอาคันตะกะจะไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งเย็นชา”
เย่ว์หยางปรบมือ “พูดได้ดี, ครอบครัวข้าก็มาจากกลุ่มอาคันตุกะร้ายกาจกลุ่มหนึ่ง
บุรุษวัยกลางคนยกมือขึ้นแสดงความเสียใจ “โดยส่วนตัวแล้วข้าเห็นใจอย่างสุดซึ้งกับความโชคร้ายของท่าน บางทีท่านอาจลองทำตามข้อเสนอแนะของข้าก็ได้ ท่านทำการประท้วงและประณามพวกเขาอย่างรุนแรงดีไหม?”
เย่ว์หยางเมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับหัวเราะไม่หยุด “ข้ายังไม่ได้เรียนรู้วิธีประท้วงและประณามมาก่อน ทำไมลุงไม่มาสาธิตให้ข้าดูหน่อยเล่า?”
ลุงวัยกลางคนโบกมือเบาๆ “การประท้วงและการประณามเป็นสิทธิในการแสดงออกของคนอ่อนแอมาโดยตลอดและข้าเองไม่ค่อยถนัดนัก หากท่านต้องการดูว่าตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ขับไล่คนร้ายได้อย่างไร เรื่องอื่นๆ ข้าไม่คิดจะสาธิต คนหนุ่มแม้ว่าจะยืนอยู่ในค่ายของฝ่ายตรงข้ามแต่ข้ายังมีคำแนะนำที่จริงใจ ที่นี่คือตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ภูเขากวงหมิง ในขณะนี้ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ซึ่งคนวัยเยาว์จะมาท้าทายได้ ถ้าข้าเป็นท่าน ข้าจะกลับไปและพยายามฝึกฝนอย่างดีที่สุดอีกสักหมื่นกว่าปี ค่อยกลับมา ข้าเชื่อว่าน่าจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป”
“ข้าไม่ใช่เจ้า ข้าก็คือข้า” เย่ว์หยางไม่ปฏิเสธคำแนะนำของฝ่ายตรงข้าม เขารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้พูดอะไรเกินจริง และที่พูดออกมาก็เป็นความจริง แต่ในฐานะเด็กหนุ่มข้ามโลก คุณชายสามตระกูลเย่ว์ เขามีความภาคภูมิใจและความหนักแน่นมั่นใจเป็นของตนเอง
“ตรงนี้ข้าขอพูดอย่างไม่เกรงใจ คุณชายสามตระกูลเย่ว์ เจ้ายังไม่อาจเอาชนะข้าได้ แล้วเจ้าจะท้าทายเจ้าตำหนักสูงสุดของข้าได้อย่างไร?” ลุงวัยกลางคนส่ายหน้า
“เจ้าลองสู้ได้ ถ้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ ข้าไม่ต้องคิดเรื่องชนะใคร” เย่ว์หยางยิ้มเหมือนดวงอาทิตย์
“รู้ว่าล้มเหลวยังอยากจะสู้อีกหรือ?” ลุงวัยกลางคนขมวดคิ้วดำ
“ไม่, ข้าไม่เคยล้มเหลว!” เย่ว์หยางมั่นใจ
“แน่ใจนะ?” ลุงวัยกลางคนประหลาดใจกับความมั่นใจของเด็กหนุ่มข้ามโลกในขณะนั้น เป็นความมั่นใจแบบไหนถึงได้กล้ายืนอยู่หน้าตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ ภูเขากวงหมิง กล้าเป็นปฏิปักษ์ต่อเทียนอี้เจ้าตำหนักสูงสุดที่กล่าวกันว่าในชีวิตของเขาไร้พ่าย? สำหรับคุณชายสามตระกูลเย่ว์ สมาชิกระดับสูงของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ทุกคนมีข้อมูลรายละเอียดหาที่ใดเทียบไม่ได้ ยกเว้นแต่ว่าเขาถือไพ่ที่คาดไม่ถึงในมือสองสามใบ คนอื่นๆ พวกตงฟางเกือบทั้งหมดมีความเข้าใจระดับสูงอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามเมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นเช่นนั้นจริง การต่อสู้ที่คุณชายผู้นี้เข้าร่วม ไม่ว่าจะมีใครสักคนรู้เห็นหรือไม่ก็ตาม กับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ดูเหมือนเขาไม่เคยล้มเหลวเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ศัตรูทุกคนที่คิดว่าพวกเขาสามารถเอาชนะข้าได้ พวกเขาล้วนล้มเหลวทั้งหมด” เย่ว์หยางนึกถึงศัตรูต่างๆ ในทุกช่วงชีวิตของเขาไม่ว่าจะเป็นคู่ปรับดั้งเดิม สื่อจินโหว ซือคงและจิ่วเซียวที่เผชิญหน้ากันในตำหนักเทพจักรพรรดิอวี้ รวมทั้งจักรพรรดิชื่อตี้ จ้าวปีศาจโบราณ จอมปีศาจไคเทียนและคนอื่นๆ แม้กระทั่งจักรพรรดินีฟ้าแห่งเผ่าเก้าแสงและจ้าวสุริยาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ พวกเขาล้วนล้มเหลว มีแต่ตัวเขาที่ยืนอยู่ได้ในท้ายที่สุด ได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย
เพราะได้พบเจอศัตรูที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด
ผ่านการต่อสู้มาอย่างหนักหน่วงมากมาย
ในที่สุดก็ทำให้เขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ถ้าเป็นไปได้เย่ว์หยางอยากจะขอบคุณศัตรูที่ต่อสู้กับเขาอย่างดุเดือดสู้อย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย! ขอบคุณที่ทำให้มีเย่ว์หยางในวันนี้และมีคุณชายสามตระกูลเย่ว์ที่ก้าวเดินเข้ามายังภูเขากวงหมิงอย่างกล้าหาญ มาท้าทายเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้
ลุงวัยกลางคนเห็นแรงบันดาลใจของเย่ว์หยางเปลี่ยนไป กอปรกับความมั่นใจและพลังเทพค่อยๆ แสดงให้เห็นถึงประกายเทพที่ไม่เหมือนใคร
เขาก้าวเท้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าวผายมือแสดงความจริงใจให้เกียรติต่อเย่ว์หยาง “บุรุษหนุ่ม! เจ้าเป็นผู้เยาว์ที่ยอดเยี่ยมจริง นอกจากท่านเจ้าตำหนักสูงสุดนายข้าแล้ว ข้าไม่เคยเห็นอัจฉริยะคนที่สองอย่างเจ้า บางทีเส้นทางในอนาคตของเจ้าอาจไปได้ไกลมาก และอนาคตของเจ้าไม่มีขีดจำกัด อย่างไรก็ตาม ข้าขอบอกกับเจ้าอย่างจริงใจ ไม่มีบัลลังก์เทพสำหรับเทพเบื้องล่าง และไม่มีคู่ต่อสู้ภายใต้บัลลังก์เทพให้เห็น”
เมื่อเขายืดตัวตรง หน้าของบุรุษวัยกลางคนมีประกายแสงเทพศักดิ์สิทธิ์ “บุรุษหนุ่ม! ในเมื่อในชีวิตของเจ้าไร้พ่าย อย่างนั้นข้าทูตซ้ายจื้อไจ้เทียนภายใต้บัลลังก์เทพเจ้าตำหนักสูงสุด จะเอาชนะเจ้าให้ได้!”
“จื้อไจ้เทียน?” เย่ว์หยางรู้สึกคุ้นกับชื่อนี้
อย่างไรก็ตามจื้อไจ้เทียนที่อยู่ต่อหน้าเขา แตกต่างจากจื้อไจ้เทียนที่เขาเคยได้ยินมาก่อนแน่นอน
และยิ่งไปกว่านั้น จื้อไจ้เทียนที่เขาเคยได้ยินมาก่อนนั้นก็ยังสับสนเนื่องจากคำอธิบายต่างๆ ไม่มีใครรู้ความจริง เย่ว์หยางไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่มีความตั้งใจสอบถาม เมื่อได้ยินชื่อของลุงวัยกลางคนว่าจื้อไจ้เทียนครั้งแรกเย่ว์หยางลอบตกใจ ท้ายที่สุดแล้วนักสู้จากแดนสวรรค์บนก็เหมือนกับเมฆลอยเลื่อนมีสีสันอยู่บ้าง ไม่ใช่หมาใช่แมวที่ใครจะเรียกกันได้ง่ายๆ
เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้กล้าตั้งชื่อเช่นนั้นให้กับอสูรพิทักษ์ แสดงว่าบุรุษวัยกลางคนนี้ค่อนข้างมีฝีมือ
ชื่อและพลังของจื้อไจ้เทียนทำให้เย่ว์หยางตื่นเต้น
แต่สิ่งที่เขาพูดว่าจะเอาชนะเขา เมื่อเข้าหูเย่ว์หยางเขาเลือกที่จะเมินเฉย
ศัตรูที่แข็งแกร่งเกือบทั้งหมดก็พูดอย่างนี้ แต่น่าเสียดาย คนเดียวที่ทำให้เด็กหนุ่มข้ามโลกไม่อาจแก้แค้นได้ก็คือนักพรตเต๋าผู้เตะโด่งเขาเข้ามายังโลกนี้
“มาเถอะ มาเอาชนะข้า ทำเหมือนกับที่จ้าวสุริยาเคยบอกข้า...”
ก่อนที่เย่ว์หยางจะพูดจบประโยค เขาประหลาดใจเมื่อพบว่าตลอดทั้งโลกตกอยู่ในแสงศักดิ์สิทธิ์ที่น่ากลัว
*** *** ***
4 ความคิดเห็น:
เอาแล้วจะฆ่าเทพได้สักตัวไหม
ตบไห้ควำ่เลยไอ้3
ขอบคุณคับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น