วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1349 ประลองชะตา!

 

ตอนที่  1349  ประลองชะตา!

ปราณกระบี่ปรากฏจากบัลลังก์เทพ  แม้ว่าเย่ว์หยางใช้ปราณกระบี่แทงลอดวงแหวนประหลาด แต่ก็ยังทำอะไรบัลลังก์เทพที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ เทพยักษ์สามารถคลี่คลายพลังจู่โจมตีนี้ พลังนกเป็ดน้ำคู่ของเย่ว์หยางไม่ใช่แค่ปราณกระบี่!

 

ขณะที่ยักษ์เทพมองดูหัวใจตนเองที่ถูกปราณดาบยิงใส่ แสงเทพอีกสายหนึ่งเปลี่ยนเป็นธนูมีปีกอยู่ในมือของเย่ว์หยาง

ดาวตกลูกหนึ่งพุ่งตัดท้องฟ้า

มันพุ่งผ่านวงแหวนประหลาดและปักเข้าระหว่างกลางหน้าผากของยักษ์เทพ

“ไม่เลว แต่แค่นี้ยังไม่พอ!  ยักษ์เทพหัวเราะ บัลลังก์เทพที่ด้านหลังไม่ได้รับผลกระทบอะไร  หนึ่งดาบหนึ่งลูกศรหนึ่งเผยให้เห็นในดวงอาทิตย์ที่บัลลังก์เทพ และยังมีดวงดาวที่เป็นองค์ประกอบธาตุทั้งสี่ที่กำลังทำงานอยู่ แม้ว่าพลังของบัลลังก์เทพจะลดลงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ส่งผลต่อการทำงานตามปกติ  หนึ่งดาบหนึ่งลูกศรของเย่ว์หยางแม้จะมีความคมกล้าและผลที่น่าทึ่งต่อศัตรู แต่พลังของมันยังห่างไกลจากเคล็ดวิชาหกมังกรหวนของมังกรปีศาจอยู่มาก

“บัดซบ! ไอ้กระดองเต่านี่แข็งเป็นบ้า” มังกรปีศาจมองดูพลางถอนหายใจอย่างท้อถอย พวกเขาทุกคนวางแผนต่อสู้จนถึงระดับนี้ได้ แต่น่าเสียดายที่ยังล้มเหลวที่จะเอาชนะเทพพิทักษ์เขากวงหมิง  ไม่ใช่ว่าเขากับเย่ว์หยางอ่อนแอ แต่เป็นเพราะบัลลังก์เทพนี้ผิดธรรมดาเกินไป

“ฮึ่ม!  ขณะที่ยักษ์เทพหัวอย่างย่ามใจที่สุด เขาได้ยินเสียงตวาดแหลมเล็กดังขึ้น

ปีศาจอสรพิษน้อยผู้น่ารักปรากฏตัวออกมา

เธอชูมือน้อยๆ

ตวัดฟันดาบศึก

เผชิญหน้ากับยักษ์เทพข้างหน้าวงแหวนประหลาดถูกแช่แข็งในทันที

ข้างหลังของเธอมีเมดูซาศิลา นางเงือกวายุ นาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็งทั้งหมดไม่ต้องรอคำสั่งพวกนางลงมือโจมตีครั้งใหญ่ช่วยเจ้านายทันที

ยักษ์เทพไม่ได้กลัว แต่มีร่างฉายปีศาจอสรพิษที่มีหกแขนกำลังมองลงมา

ภายฉายนั้นจ้องยักษ์เทพด้วยความโกรธ

จากนั้น

แม้แต่บัลลังก์เทพของเทพยักษ์ก็ไม่สามารถต้านทานได้ ตลอดทั้งร่างของเขาและร่างของยักษ์เทพตกอยู่ภายใต้ทักษะแฝงเร้นพันธนาการและพลังกฎสวรรค์

“ออกไปให้พ้น ออกไป!  ยักษ์เทพพบว่าตัวของเขาหยุดนิ่งไปครึ่งวินาที  ภายใต้เสียงคำรามของเทพอสรพิษ และในครึ่งวินาทีนี้ฝ่ายตรงข้ามได้โจมตีทั้งหมดจนสำเร็จ  แต่มังกรปีศาจที่เฝ้ามองอยู่แต่ไกลเหมือนเป็นผู้ชมดูรีบลอยตัวขึ้นไปในอากาศทันที  ยักษ์เทพไม่รู้ว่าถูกโจมตีไปกี่ครั้ง มีแต่เพียงตราผนึกเทพชะตาที่ประทับลงที่หน้าผากของเขานั้นเจ็บปวดที่สุด วิญญาณแทบถูกทำลายและโดนผนึกโดยพลังผนึกเทพชะตา แต่โชคดีที่บัลลังก์เทพของเขายังอยู่ที่นั่น มันอดทนรับพลังชะตาส่วนใหญ่ได้ช่วยให้วิญญาณได้รอดพ้นจากอันตรายแห่งชีวิตได้

“เจ้าเด็กโง่!  มังกรปีศาจเห็นแว่บแรก เห็นเย่ว์หยางยังต้องการใช้ตราผนึกเทพจักรพรรดิอวี้ที่เขาเคยเอาไว้ใช้ทุบเปลือกลูกเกาลัด เขาอดตะโกนย้อนไม่ได้ “พูดไปก็ไร้ประโยชน์ รีบทุบไอ้บัลลังก์บ้าๆ นี่ซะ!

“ให้ตายะเถอะ ทำไมเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้!  เย่ว์หยางหน้าแดงและเกือบลืมเรื่องนี้ไป

“ข้าก็บอกอยู่นี่ไงเล่า...  ถ้าข้ามีบัลลังก์เทพ ต่อให้เด็กน้อยเจ้ามีร้อยชีวิตก็จบเช่นกัน  มังกรปีศาจลอบถอนหายใจ  โชคดีที่เทพพิทักษ์เขากวงหมิงเป็นศัตรู  หากเป็นเทียนอี้เจ้าตำหนักสูงสุด คงไม่มีโอกาสครั้งที่สองเลย การลงมือครั้งเดียวยังแทบเป็นไปไม่ได้ การลงมือครั้งต่อไปก็เป็นเสี้ยววินาที นี่เจ้ายังต้องการลงมือครั้งที่สามหรือ?

“นี่เป็นครั้งแรกที่เราคุณชายสู้กับระดับหัวหน้าใหญ่ที่ขี้ขลาด ข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ นี้ เจ้าคิดว่าข้าต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้หรือ?  ถ้าไม่ตายก็นับว่าดีแล้ว”  เย่ว์หยางทุบบัลลังก์เทพอย่างเมามันพร้อมด้วยพลังชะตาภายใน

และมังกรปีศาจจับหมัดของยักษ์เทพและรวบตัวเขาไว้แน่ ไม่ปล่อยให้เขาปล่อยหมัดเพื่อฆ่าเจ้าเด็กนี่

มังกรปีศาจทุบคืนเป็นระยะ

ยักษ์เทพระดมหมัดใส่เขาด้วยความโกรธ

เขาไม่สามารถเอาชนะเย่ว์หยางที่ลื่นไหลได้ ใจของเขาคุกรุ่นด้วยความโกรธ และมังกรปีศาจรั้งเขาไว้อย่างสิ้นหวัง ในขณะที่เย่ว์หยางถล่มใส่บัลลังก์เทพของเขาครั้งหนึ่ง เขาจะระบายความแค้นใส่มังกรปีศาจครั้งหนึ่ง

แต่มังกรปีศาจกอดรัดหมัดของเทพยักษ์ไว้ไม่ยอมปล่อยเขา

ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเหวินหลีใช้พลังช่วยหยุดหมัดหนักหน่วงหนาแน่นของยักษ์เทพได้ทันเวลาหลายครั้ง มังกรปีศาจคงตายไปแล้ว... เจตจำนงและพลังกฎสวรรค์ของอสูรเทพอย่างเสี่ยวเหวินหลียังด้อยกว่าของยักษ์เทพ  ยักษ์เทพไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย ท้ายที่สุดเสี่ยวเหวินหลียังมีเจตจำนงนิรันดรที่ไม่มีใครอาจปฏิเสธการหยุดเพียงหนึ่งหรือครึ่งวินาทีได้  นั่นก็เพียงพอทำให้มังกรปีศาจและเย่ว์หยางหลบหนีพ้นพลังหมัดโจมตีที่หนักหน่วงที่สุดได้

มังกรปีศาจกำลังกัดฟันยืนหยัดต้านรับพลังหมัดของศัตรู

ด้วยวิธีนี้

เย่ว์หยางจึงโจมตีได้หลากหลาย

อาวุธเทพชะตาเก้าอย่าง มุกสร้างโลก ผนึกเทพจักรพรรดิอวี้ วงจักรนิรันดร วงจักรล้างโลกและพลังเทพอย่างอื่น พลังอาวุธเทพร่างมนุษย์ต่างทะยอยถูกนำมาใช้โจมตี

เย่ว์หยางยังเรียกแม้กระทั่งอสูรโลกเข้าร่วมสู้สมทบ

ใช้พลังโจมตีจนทุกวิถีทาง

เป้าหมาย

แค่ต้องการทำลายบัลลังก์เทพของฝ่ายตรงข้าม

น่าเสียดายที่เป้าหมายนี้ว่ากันตามตรงสำเร็จได้ในเสี้ยววินาที สามารถทำให้แตกเสียหายได้ แต่ไม่สามารถทำลายได้  เย่ว์หยางไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ และที่ทำได้ดีก็เพราะว่ามังกรปีศาจคอยขวางมือขวางเท้าศัตรูไว้

มังกรปีศาจถูกยักษ์เทพทุบลงไปนอนกับพื้นอีกครั้ง เขากัดฟันลุกขึ้นตั้งใจกลับไปสู้อีกครั้ง

แต่ฝีเท้าของเขาโซซัดโซเซ

ร่างของเขาล้มเหยียดยาว

นี่เป็นครั้งแรกของทุกการต่อสู้ที่เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะและไม่สามารถควบคุมร่างกายเข้าต่อสู้ได้

ตราบใดที่ยักษ์เทพใช้พลังหมัดสายฟ้าชกอีกครั้ง  เขาเชื่อว่าวิญญาณของเขาคงแตกสลาย  แต่ยักษ์เทพไม่ได้ทำ เขาแค่ชูกำปั้นขนาดใหญ่ เมื่อเห็นเย่ว์หยางยังคงโจมตีใส่บัลลังก์เทพ มีมังกรปีศาจคอยพัวพันมือเท้าเขาไว้ มีปีศาจอสรพิษน้อยคอยคุ้มกัน เขามองดูตัวเองเหมือนเป็นนักโทษคนหนึ่ง  เป็นเวลานานเขาข่มความโกรธในใจ “เย่ว์ไตตันเป็นความหวังของหอทงเทียน  เราผู้เป็นเทพไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะต่อสู้ได้ถึงขนาดนี้ได้ หากเจ้าไม่ยืนอยู่ในสถานะศัตรู เราผู้เป็นเทพคงชื่นชมเจ้า!  อีกไม่นานเกินรอ เราผู้เป็นเทพจะกลับมาแน่...”

ยักษ์เทพกับบัลลังก์เทพที่แตกหักเปลี่ยนเป็นแสงเทพหายไปในส่วนลึกของเส้นทางโบราณ

เมื่อเห็นศัตรูแข็งแกร่งจากไป

เย่ว์หยางถอนหายใจโล่งอก ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นทันที

ความจริงแล้วเขาใช้พลังจนถึงขีดจำกัดนานแล้ว และเขาแค่กัดฟันอดทนไว้ หากยักษ์เทพยังคงยืนกรานสู้ต่อไปอีกหนึ่งนาทีและต่อยเขาอีกครั้ง เขาคงไม่สามารถทนได้  โชคดีที่ยักษ์เทพนั้นสงสัยและบัลลังก์เทพได้รับความเสียหายและไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้อีกต่อไป ซึ่งทำให้ยักษ์เทพนั้นสูญเสียความตั้งใจสู้อีกครั้ง

เสี่ยวเหวินหลีรีบประคองเย่ว์หยาง พลังต่อสู้ของเขาหมดแทบไม่เหลือ ตอนนี้เขาไม่มีกำลังพอจะกระดิกนิ้ว ยังแย่ยิ่งกว่ามังกรปีศาจที่เพิ่งฟื้นและลุกขึ้นนั่ง

“มันแย่จริงๆ  เด็กน้อยเจ้าทำได้เกินคาดไปมาก!  มังกรปีศาจมีเลือดท่วมตัว แผลบนร่างของเขายิ่งกว่าดวงดาวในท้องฟ้าในยามค่ำคืนเสียอีก

“ข้าเพิ่งฝึกมาเพียงไม่กี่ปีเอง!  เย่ว์หยางพูดไม่ออก

“ตอนนี้เจ้าจะเอายังไง?”  มังกรปีศาจไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่จะอยู่ในเส้นทางโบราณนี้อีกต่อไป  เทพพิทักษ์แห่งเขากวงหมิงอาจจะกลับมาได้ทุกเมื่อ ต่อให้ยักษ์เทพไม่กลับมา แต่ถ้าเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ หรือบริวารของเทียนอี้มาพวกเขาก็สามารถจัดการพวกเย่ว์หยางได้อย่างสบาย ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นมังกรปีศาจที่บาดเจ็บหนักไม่เหลือพลังความแข็งแกร่ง  เย่ว์หยางสูญเสียประสิทธิภาพต่อสู้ หากไม่มีเสี่ยวเหวินหลีช่วยคุ้มครอง พวกเขาคงไม่สามารถออกไปจากเส้นทางโบราณได้

“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร? เจ้าเป็นพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือ?”  เย่ว์หยางตัดสินใจโยนปัญหานี้ให้มังกรปีศาจ

“เด็กร้ายกาจ!  เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นพี่ใหญ่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!  มังกรปีศาจโมโห แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลามาเสียใจ  เขาไม่อยากทะเลาะด้วย และใช้สมองที่ไม่ค่อยได้ใช้อย่างหมดหวัง  เขาหวังว่าจะได้วิธีที่ดีก่อนที่ยักษ์เทพจะกลับมา

“ทำไมเจ้าไม่หาที่ซ่อนและฟื้นฟูความแข็งแกร่งก่อนเล่า?”  เย่ว์หยางพบว่าเลือดในร่างมังกรปีศาจยังไหลราวกับก๊อกรั่ว ถ้าไม่รีบรักษา แม้แต่จะเป็นพี่ใหญ่ก็คงทนได้ไม่ไหว

“มีที่ใดในแดนสวรรค์ปลอดภัยบ้าง!  มังกรปีศาจโมโหอีกครั้ง

เขาจะไปซ่อนที่ไหนได้บ้าง?

ในแดนสวรรค์ ในเส้นทางโบราณ เทพพิทักษ์เขากวงหมิงนับเป็นเจ้าถิ่นที่แท้จริง แม้ซ่อนตัวเป็นอย่างดีจะมีประโยชน์อะไร?  ที่นี่มีอะไรที่ไม่อยู่ใต้จมูกของฝ่ายตรงข้าม?  เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะซ่อนตัว  พวกเขาต้องตายอย่างมิต้องสงสัย  การตอบโต้กลับเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ฝ่ายตรงข้ามมีบัลลังก์เทพ... อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เย่ว์หยางพูดอย่างไม่ได้ตั้งใจทำให้จิตใจของมังกรปีศาจที่แทบจะแห้งแล้งกันดารพลันมีแสงวาบขึ้นมาทันที

น่าเสียดายเขาจับความหมายนั้นไม่ออก

เขาเกาหลังศีรษะและยื่นมือตบไหล่เย่ว์หยาง  “ช่วยพูดเหลวไหลอีกหน่อย ข้ากำลังจะคิดได้แล้ว ติดขัดอีกนิดเดียว!

เย่ว์หยางพูดไม่ออก

พระเจ้า,  เจ้าจำไม่ได้นึกไม่ออกจะให้คนอื่นพูดให้ความกระจ่าง เห็นข้าเป็นเทพปัญญาผู้ชี้นำโลกหรือ?  เขาจำไม่ได้ว่ามังกรปีศาจพยายามคิดอย่างหนักแต่ปล่อยให้คนอื่นดิ้นรนนั้น หมายความว่าอย่างไร?  นี่ต้องตำหนิผู้อื่นหรือ?

มังกรปีศาจก็พูดไม่ออก  เจ้าไม่ต้องพูด เอาแต่โวยวายบ่นว่าอย่างเดียว

ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าพูดออกมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่ดี  มันดีสำหรับเจ้า  เจ้าจะได้ไม่เอาแต่ผายลมอย่างเดียว

เย่ว์หยางเห็นมังกรปีศาจสีหน้าหดหู่เหมือนจะตาย เขารีบกล่าว  “ถ้าเราไปที่แดนล่มสลายแห่งทวยเทพ ก็น่าจะปลอดภัย  เพียงแค่ออกจากแดนสวรรค์  อย่ามองข้า ข้าไม่คุ้นเคยกับแดนสวรรค์เลย  ถ้ากลับเข้าไปที่หอทงเทียนและไปที่แดนล่มสลายแห่งทวยเทพ ข้ายังสามารถบอกทางได้  ก็ได้ ข้ารู้ว่ามันไม่น่าเชื่อถือ  แต่เจ้าไม่ต้องให้ข้าพูดเพื่อเตือนเจ้าหรือ?  ข้าหุบปากแล้ว  ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้วที่จะต้องพูดว่าเจ้าคือพี่ใหญ่  เจ้าต้องมีคำสุดท้ายจะพูด”

แม้ว่าคำแนะนำของเย่ว์หยางจะไร้ประโยชน์  แต่มังกรปีศาจรู้สึกจับเค้าได้ เขาจับปมประเด็นได้อย่างน่าทึ่ง

มังกรปีศาจจัดลำดับคำพูดของเขา

เขาโบกมืออีกครั้ง  “เป็นความคิดที่ดีที่จะไปที่แดนล่มสลายแห่งทวยเทพ  แต่เราไม่รู้ทิศทางและเส้นทางก็อยู่ไกล มันยากจะรับประกันว่าเทพพิทักษ์แห่งภูเขากวงหมิงจะตามไม่ทน  ทั้งเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้อาจรอเราอยู่ที่ครึ่งทาง  คาดว่าจะเป็นอันตรายยิ่งขึ้น  แต่ก็ถูกต้องแล้วที่จะไปที่แดนล่มสลายแห่งทวยเทพ  ในสนามรบสุดท้ายที่นั่นจะเป็นสนามรบของเรา  ส่วนที่นี่คือบ้านของศัตรู นั่นทำให้เราเสียเปรียบ”

เย่ว์หยางพยักหน้าเห็นด้วย  “งั้นก็ไปจากเส้นทางโบราณก่อน  สร้างภาพปลอมว่าหลบหนีไปที่แดนล่มสลายแห่งทวยเทพ จากนั้นหนีกลับไปพักผ่อนในคัมภีร์อัญเชิญ”

มังกรปีศาจส่ายศีรษะ  “ไม่, เจ้าไม่อาจกลับไปที่โลกคัมภีร์ได้   ไม่อย่างนั้นจะเข้าแผนของศัตรู”

เด็กหนุ่มจากโลกอื่นไม่เข้าใจ “?”

มังกรปีศาจมองหน้าเย่ว์หยางอย่างเคร่งขรึม  “เจ้าเดาซิว่าทำไมเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ถึงไม่ลงมาสู้? ถ้ามีเขา เขาต้องกำจัดเราได้แน่นอน  ทำไมเขาถึงทิ้งโอกาสดีแบบนี้?”

เย่ว์หยางตระหนักได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น  “เจ้าหมายถึงเจ้าตำหนักเทียนอี้ ต้องมีการดำเนินการตามแผนที่สำคัญอยู่ในตอนนี้ จนเขาไม่สามารถปลีกตัวมาฆ่าเราได้?”

มังกรปีศาจตั้งข้อสงสัย  “ใช่แล้ว!  ถ้าเป็นอย่างนั้น โอกาสมีเพียงครั้งเดียว นั่นคือประลองชะตาตัดสินเทพจอมราชันย์”

“ประลองชะตาตัดสินเทพจอมราชันย์?”  เย่ว์หยางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน

*** *** ***

4 ความคิดเห็น:

Apirak Panyakam กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

CHANTANA กล่าวว่า...

เอาไงต่อ

นัดบ้า กล่าวว่า...

ใช่ไอ้การละเล่นสับไพ่แล้วแหกปาก it my turn draw !!

Badly กล่าวว่า...

เอาหน่อยยย

แสดงความคิดเห็น