วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2565

บทที่ 4 รัศมีมหาคุรุ

 

บทที่ 4 รัศมีมหาคุรุ

บุรุษหนุ่มอายุ 20 ปีเข้ามาในโซนอ่านหนังสือ มีนักเรียนจำนวนมากที่อยู่รอบๆ ลุกขึ้นยืนทันทีและโค้งคำนับเขา

 

“ครูผู้ช่วยฯ ฉิน”

ในแผ่นดินใหญ่ บรรยากาศการเรียนการสอนเฟื่องฟู นักเรียนได้รับการสั่งสอนให้มีสัมมาคารวะครูจนติดเป็นนิสัยกันทุกคน   นอกจากนี้ครูผู้ช่วยฯฉินยังมีรัศมี ‘ผู้เรียนรู้กว้างขวาง’ ทำให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของทุกคนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ด้วยเหตุนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่นักเรียนทุกคนจะทักทายเขา

ฉินเฟิ่นแต่งตัวด้วยชุดยาวสีน้ำเงินซึ่งแสดงถึงสถานะครูผู้ช่วยสอน เขามีใบหน้าประดับรอยยิ้มขณะกดมือลงเพื่อให้นักเรียนสงบอารมณ์ พร้อมที่จะเรียนรู้ต่อไป

รัศมีมหาคุรุของครูผู้ช่วยฉินนั้นใหญ่มาก ดูเหมือนว่าเขาเตรียมจะเปลี่ยนไปเป็นครูโดยตรงเสียแล้ว!”

“คำพูดของเจ้าไม่เกินเลยไปหน่อยเหรอ? เขาจบจากสถาบันจี้เซี่ยแห่งเมืองเซี่ยโจว หนึ่งในเก้าสถาบันลือชื่อเชียวนะ”

“เฮ่ย, ข้าได้ยินมาว่าสถาบันของเราคัดเอาผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงเพียง 3 คนเท่านั้น นั่นมันยากเย็นขนาดไหน”
เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นจากบริเวณโดยรอบ  สถานภาพของผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงมักจะได้รับการพิจารณาทุกคน  เหตุผลที่หัวใจนักเรียนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพก็เนื่องมาจากคำว่า “สถาบันจี้เซี่ย”

ซุนม่อกระตุกมุมปาก

ในแผ่นดินใหญ่ ถ้ามีคนต้องการเป็นครู นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย  อันดับแรกพวกเขาต้องรู้แจ้งและเข้าถึงรัศมีมหาคุรุ   นี่ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และครูของแต่ละคน นั่นจะช่วยให้นักเรียนสร้างผลการเรียนที่ดีเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามในการเรียนรู้เพียงครึ่งเดียว

ตัวอย่างเช่น หลังจากใช้รัศมี ‘เรียนรู้กว้างขวาง ความทรงจำกว้างไกล’ นักเรียนจะอยู่ในสภาวะการเรียนรู้ที่กว้างไกล และความทรงจำของพวกเขาในช่วงนี้จะแข็งแกร่งขึ้น ความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเขาจะเพิ่มขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้เพิ่มขึ้นหลายเท่า

ไม่มีใครได้รับรัศมีมหาคุรุจากจากการใช้ความพยายามเรียนรู้  พวกเขาได้แต่พึ่งพาการรู้แจ้งก่อนจะได้รับรัศมีมหาคุรุ  ดังนั้นจำนวนมหาคุรุในแผ่นดินใหญ่จึงมีไม่มากนัก

ถ้ามีผู้ปรารถนาจะเป็นครู อุปสรรคประการแรกก็คือการรู้แจ้งด้วยตัวเองก่อนจะได้รับรัศมีมหาคุรุก่อนมีอายุ 18 ปี

ควรรู้ไว้ว่าการรู้แจ้งเป็นสภาวะที่อัศจรรย์ซึ่งลึกซึ้งและหาได้ยากอย่างยิ่ง  ความน่าจะเป็นที่คนผู้หนึ่งจะได้รับไม่ต่างกับหาคนผู้หนึ่งในท่ามกลางคนนับล้าน

การรู้แจ้งได้รับรัศมีแบบปัจเจกพุทธิแสดงว่าไม่มีปัญหาอะไรกับสติปัญญาของท่าน ท่านสามารถฝึกปรือและเข้าถึงสัจจะที่แท้จริงได้โดยมิต้องมีครูแนะนำ

ในขณะเดียวกันด้วยรัศมีปัจเจกพุทธิได้ โอกาสที่ท่านจะได้รับการรู้แจ้งจะมีเพิ่มมากขึ้น   แม้ในตลอดอาชีพการสอน ท่านอาจได้รับรัศมีมหาคุรุใหม่เพิ่มก็ได้

ถ้าท่านต้องการวัดความโดดเด่นของผู้เป็นครู  ท่านก็แค่ดูจำนวนรัศมีมหาคุรุของพวกเขา

ระดับของมหาคุรุ วัดกันที่จำนวนดาว   นอกจากรัศมีปัจเจกพุทธิ (รู้แจ้งด้วยตัวเอง) ถ้าผู้สอนได้รับรัศมีมหาคุรุและยังมีความเชี่ยวชาญในอาชีพรองลงมาด้วย  ผู้นั้นเป็นมหาคุรุระดับ 1 ดาว

ดาวของมหาคุรุคือจุดสูงสุด  เป็นที่รู้จักกันในฐานะรองจากระดับเซียน

“ข้าไม่ใช้ครูผู้ช่วยด้วยซ้ำ”

ซุนม่อเย้ยหยันตัวเอง สถานะและความเคารพของมหาคุรุที่ได้รับจากสังคมไม่ใช่สิ่งที่ครูธรรมดาจะเปรียบเทียบกันได้ หลังจากได้รับรัศมีปัจเจกพุทธิเมื่อตอนอายุ 16  ซุนม่อจากในอดีตก็ไม่เคยได้รับรัศมีใหม่อีกเลยจนกระทั่งเมื่อวานนี้ตอนที่เขาจมน้ำ  จากตรงนี้ก็ควรรู้ว่าเป็นเรื่องยากแค่ไหน

พูดถึงเรื่องนั้น ซุนม่อแห่งโลกนี้ได้ไปพักผ่อนที่ชานเมือง  เขาอยากว่ายน้ำเล่นสักครู่เพราะความเบื่อ  ในที่สุดก็เป็นเหตุให้หลี่จื่อชีเข้าใจผิดว่าเขากำลังฆ่าตัวตาย  หลี่จื่อชีกระโดดน้ำลงไปช่วยเขา  สุดท้ายเป็นซุนม่อแห่งโลกนี้จมน้ำตายเพื่อช่วยหลี่จื่อชี  นี่เองเป็นเหตุให้ซุนม่อในอีกโลกหนึ่งได้โอกาสผ่านเข้ามายังโลกนี้

“เฮ้อ, เจ้าเป็นคนดีจริงๆ!”

ซุนม่อถอนหายใจ  รัศมีแห่งคำแนะนำอันล้ำค่าเป็นสิ่งที่ซุนม่อคนเดิมแห่งโลกนี้ได้รู้แจ้งก่อนตาย เขาไม่ได้ใช้มันแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับเป็นประโยชน์กับซุนม่อที่ข้ามมาจากอีกโลก

บรรยากาศการเรียนในสถาบันจงโจวนั้นอุดมสมบูรณ์มาก  ห้องสมุดเปิดตลอดทั้งปี ยกเว้นการปิดห้องสมุดชั่วคราวทุกเช้าครึ่งชั่วโมงเพื่อทำความสะอาด

“ติง! ผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว หีบสมบัตินำโชคใช้งานได้อีกครั้ง”

เมื่อเสียงเตือนของระบบดังขึ้น หีบสีแดงและตัวอักษรขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ข้างหน้าซุนม่อ

“อะไรอีกวะนี่?”

ซุนม่อชำเลืองมองดู  แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกแล้ว แต่ก็ยังมีนักเรียนอีกมากที่กำลังคร่ำเคร่งเรียนรู้

“ทุกวันหลังเที่ยงคืน ร่างหลักจะได้รับโอกาสจับรางวัล”

ระบบกล่าวต่อ “ถ้าท่านพบความยุ่งยากนี้ ท่านสามารถเก็บหีบสมบัติไว้ก่อนแล้วค่อยเลือกเปิดเมื่อถึงเวลาที่ดีก็ได้”

“โอกาสได้รับรางวัลจะสูงขึ้นไหม ถ้าข้าเผาเครื่องหอม อาบน้ำ คุกเข่าแล้วทำพิธีบูชาฟ้า?”

สำหรับคนโชคร้ายอย่างเขา เขาคงได้แต่ใช้วิธีการเลื่อนลอยบางอย่างเพื่อเพิ่มโอกาสได้รับรางวัลดีๆ ตัวอย่างเช่นจับสลากรวดเดียวสิบครั้ง

ระบบไม่ตอบกลับ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ต้องการตอบคำถามปัญญาอ่อนแบบนั้น

“เจ้ายังจะรออะไร?  เปิดเซ่”

มีหีบสมบัติอยู่ต่อหน้าต่อตาของเขา ใครเล่าจะอดใจไหว?

ไม่มีเอ็ฟเฟ็คพิเศษ หีบสมบัติเปิดออก มีก้อนดินเล็กๆ ปรากฏอยู่ต่อหน้าของเขา

“นี่มันอะไร?”

ซุนม่อมีความสุข เป็นไปได้ไหมว่าเขากำลังจะโชคดีอย่างที่สุด?

“ก็แค่ก้อนดิน ถือเป็นรางวัลปลอบใจให้ท่านพยายามใหม่ในครั้งต่อไป”

“นี่มันของมีค่าแบบไหนกันวะนี่?

“เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรกับเศษดินที่เป็นรางวัลนี้ จะให้ทำเหมือนกับคูปองแลกอาหารหรือยังไง?”

ในใจของซุนม่อ เขาอยากสาปแช่งแม่ของระบบฯ ยิ่งนัก  ถ้าคูปองแลกอาหารได้จริงๆ แม้ว่าจะได้เพียงส่วนลด 20% ก็ตามที มันก็ยังช่วยให้เขามีไข่กินในอาหารมื้อเช้า และเขาก็คงพอใจกับมัน

ระบบยังคงเงียบ นอกจากให้คำอธิบายที่จำเป็นแล้ว มันคงไม่ติดต่อกับร่างหลักด้วยเรื่องที่ไร้สาระ

เมื่อคิดถึงอาหาร ซุนม่อรู้สึกหิวขึ้นมาบ้าง ดังนั้นเขาจึงกลับไปที่หอพักของตนเอง

ทางโรงเรียนจัดที่พักของครูฝึกสอนไว้ในที่ไม่ไกลจากเขตนักเรียน   พวกเขาสามารถอยู่ได้สามเดือนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย  ก่อนหน้านี้ครูฝึกสอนเคยอยู่ได้หนึ่งปี  และถ้าพวกเขากินอาหารสามมื้อในโรงอาหาร ก็สามารถกินได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม  สถานะการเงินของสถาบันจงโจวย่ำแย่ตกต่ำ ดังนั้นสิทธิพิเศษเหล่านี้จึงถูกลดและตัดทอนออกไป

กล่าวกันว่าประโยชน์พิเศษบางอย่างตอนปีใหม่ยังมีเงื่อนไขที่ด้อยกว่านี้มาก  ด้วยเหตุนี้จึงมีครูแอบบ่นอยู่เสมอ

อาคารหอพักสร้างขึ้นใกล้ทะเลสาบ เป็นอาคารห้าชั้นขนาดย่อม  ซุนม่อพักอยู่บนชั้นสามฟากตะวันออก เมื่อเขากลับมา สหายร่วมห้องทั้งสามของเขายังไม่หลับ

จางเซิงกำลังนั่งสมาธิอยู่บนเตียง เขาลืมตามองดูซุนม่อที่กำลังเปิดประตู เขาหลับตาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มดูถูกเหยียดหยาม

“เฮ้? กลับมาแล้วเหรอ?”

หลู่ตี๋บุรุษหนุ่มร่างกำยำมองดูเหมือนเป็นช่างตีเหล็กมากกว่าเป็นอาจารย์ยิ้มให้ ขณะเดินผ่านไป เขายกกาน้ำชาที่อยู่ข้างๆ ส่งให้ “เจ้าอยากดื่มอะไรบ้างไหม?”

“ไม่จำเป็น, ขอบคุณ!”

เมื่อซุนม่อนั่งลงบนเตียง ความทรงจำของสหายร่วมห้องทั้งสามคนก็หวนกลับมาเช่นกัน

ทุกคนจบการศึกษามาจากสถาบันซงหยาง  จางเซิงมีบุคลิกเย่อหยิ่ง แต่พลังของเขาไม่อ่อนแอ เขาเป็นคนมีความมั่นใจที่สุดกว่าใครทั้งหมด  สำหรับหลู่ตี๋มักจะยิ้มให้เสมอไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม เขามีความถ่อมตัวเสมอ และสุดท้ายบุรุษหนุ่มผู้มีนัยน์ตาเหมือนกบ ชื่อของเขาคือหยวนฟง

“คู่หมั้นของเจ้า เคยนินทาเจ้าบ้างหรือเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยสิ!”

หยวนฟงพอเอ่ยปาก เสียงของเขาแหลมและฟังระคายหู

ซุนม่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อพวกเขามาถึงสถาบันจงโจวตอนแรก หลังจากที่รู้ว่าครูใหญ่อันซินฮุ่ยเป็นคู่หมั้นของเขา หยวนฟงกระตือรือร้นและเอาใจเขา ทั้งยังเคยเลี้ยงข้าวเขามาก่อนด้วยซ้ำ  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่คนอื่นได้เป็นครูผู้ช่วย ซุนม่อกลับถูกยัดเข้าแผนกรับส่งพัสดุ ทัศนคติของหยวนฟงก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

 คำพูดนี้เต็มไปด้วยเจตนาเยาะเย้ยและสอบถามข้อมูลที่มิอาจเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างคร่าวๆ

“โอว ใช่แล้ว เจ้ายังไม่ได้คืนเงินหลังจากอาหารมือล่าสุดของเรา เมื่อไหร่เจ้าจะใช้คืน?”

หยวนฟงไม่มีเจตนาจะละเว้นซุนม่อ “เมืองจินหลิงกำลังคึกคักรุ่งเรือง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะอยู่ที่นี่ได้ยาวนาน  ถ้าโรงเรียนจ้างข้า  ข้ายังต้องเช่าบ้าน แล้วยังต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นอีกมาก”

แปะ!

เงินจำนวนหนึ่งถูกโยนลงบนเตียงของหยวนฟง

ดวงตาของหยวนฟงเป็นประกาย เขารีบตะครุบทันทีและกัดทดสอบให้แน่ใจว่าเป็นของแท้

ซุนม่อตรวจสอบทรัพย์สินของเขา นอกจากเสื้อผ้าสามชุด รองเท้าผ้าสองคู่ นิยายสองสามเล่ม และกระเป๋าเงินที่มีแต่เศษเงินแล้ว เขาไม่มีอะไรอย่างอื่น

รองเท้าผ้าเป็นของที่แม่ของเขาเย็บให้ รอยตะเข็บชิดติดกันมาก

“ดาบไม้ของเจ้าไม่เลว  เจ้าซื้อมาจากไหน?”

หลู่ตี๋สูดกลิ่นและเบนสายตามาที่ดาบไม้มะเกลือสีดำ ไม่รู้ว่าเขาเห็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจางที่กระทบจมูกของเขา

“ข้าเก็บได้”

คำพูดของซุนม่อเรียบง่ายและกระชับ

ตัวดาบสร้างโดยช่างตีเหล็กจากแคว้นเหลียง เขาใช้เวลาสร้างถึงสามปี  แม้จะถูกทิ้งร้างในโกดังปล่อยให้ฝุ่นเกาะมากว่าสิบปี แต่กลิ่นหอมยังคงมีอยู่บ้าง

“ข้าจะให้เงินเจ้า 100 ตำลึง ขายให้ข้า”  จางเซิงกล่าว

บิดาของจางเซิงเป็นเจ้าของที่ดิน และตระกูลของเขาครอบครองที่ดินการเกษตรชั้นดีมากมาย เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง

“ต่อให้เป็นล้านตำลึงทอง ข้าก็ไม่ขาย”

ซุนม่อไม่ค่อยพอใจนัก น้ำเสียงจางเซิงค่อนข้างแข็งกระด้าง

“ฮึ! เจ้าโง่ เจ้าสูญเสียโอกาสทำเงินไปแล้ว”

จางเซิงหลับตาต่อ เขาแค่อยากรู้อยากเห็นเพียงชั่วครู่  เขารู้สึกว่าดาบไม้นั้นไม่เลว แต่แม้ว่าซุนม่อจะเปลี่ยนใจยอมขายแลกเงิน 100 ตำลึงในตอนนี้ เขาก็คงไม่ตกลงด้วย

“หึหึ!”

ซุนม่อกระตุกมุมปาก (ถ้าข้าบอกเจ้าว่าวิชาเซียนมหาจักรวาลไร้ลักษณ์ถูกสลักไว้บนดาบไม้นี้ ต่อให้เจ้าขายทั้งตัว เจ้าก็ไม่มีทางหาซื้อได้)

การฝึกปรือวิชาระดับเซียนที่ไม่มีใดเทียบได้ อย่าว่าแต่ทองล้านตำลึงทองเลย  ต่อให้เป็นหินวิญญาณล้านก้อน ซุนม่อก็ไม่ขาย

“งานในแผนกขนส่งพัสดุเป็นยังไงบ้าง? เหนื่อยไหม? อย่างไรก็ตาม งานครูผู้ช่วยนั้นเหนื่อยมาก มันทำให้ข้าอยากนอนทันทีที่กลับมา”

คำพูดของหยวนฟงเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและดูถูก

“ครั้งล่าสุดที่เรากินอาหารเย็นด้วยกัน เราใช้เงินไปมากกว่า 30 เหรียญ  เจ้าทำราวกับว่าข้าเชื้อเชิญเจ้า  เจ้าต้องคืนเงินส่วนเกินมาให้ข้าด้วย”  ซุนม่อกล่าวกับหยวนฟง

ซุนม่อไม่ยอมเสียเปรียบ หนึ่งตำลึงเงิน เท่ากับ 100 เหรียญ

“ตอนนี้ข้าไม่มีเงินสำรองแล้ว ข้าจะคืนเงินเจ้าอีก 2-3 วันข้างหน้า

หยวนฟงหาข้ออ้างขณะเยาะเย้ยซุนม่อในใจอย่างเยือกเย็น เนื่องจากซุนม่อเป็นคู่หมั้นของอันซินฮุ่ย  หลายคนจึงไม่พอใจเขา  รู้สึกว่าเขาเป็นคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์ ดังนั้นพวกเขาจึงมองหาโอกาสที่จะกลั่นแกล้ง  เขาคงทนทำงานในแผนกส่งพัสดุได้ไม่นาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นครูผู้ช่วย

ถ้าเขาทอดเวลาออกไปอีก 2-3 วันรอให้ซุนม่อถูกไล่ออก เขาก็ไม่ต้องชดใช้เงิน 70 เหรียญ

ปึ้ก

ซุนม่อย่างเท้าเข้าหาสองก้าวก็ถึงหน้าเตียงของหยวนฟง เขาคว้าชุดของหยวนฟงแล้วดึงขึ้น

“จ่ายข้ามาเดี๋ยวนี้!”

ซุนม่อจ้องหยวนฟง น้ำเสียงของเขาเย็นชา

“เอ๋!”

ไม่เพียงแต่หยวนฟงและหลู่ตี๋ที่ตกตะลึง แต่แม้แต่จางเซิงที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าประหลาดใจ ทำไมซุนม่อผู้มีบุคลิกอ่อนโยนจึงเปลี่ยนไปแบบกลับตาลปัตรแบบนี้?

“ปล่อยข้านะ!”

หยวนฟงฟื้นคืนจากอาการตกใจและรู้สึกโมโห  เขาเคยถามเรื่องนี้ไปแล้ว เนื่องจากซุนม่อเพิ่งย่างเข้าสู่ขอบเขตเผาผลาญโลหิตเมื่อไม่นานนี้ ซุนม่อมีระดับที่ต่ำกว่าเขาหนึ่งระดับ  ย่อมไม่ใช่คู่มือของเขาแน่นอน

“อย่าทะเลาะกัน!”

หลู่ตี๋ตกใจ เขารีบเข้ามาแยกทั้งสองคนและยืนคั่นอยู่ตรงกลาง

“หลีกไปให้พ้น!”

หยวนฟงไม่ยอมรับเรื่องนี้

“ตอนนี้ยังเป็นช่วงฝึกงานอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเจ้าถูกไล่ออกทั้งคู่เพราะต่อสู้กัน?”

ถ้าหลู่ตี๋ไม่กลัวว่าจะถูกพัวพันเข้าไปด้วย เขาจะสนับสนุนให้พวกเขาสู้กัน ถ้าสองคนถูกไล่ออก เขาจะมีคู่แข่งลดน้อยลงไปสองคน

ไม่ แค่น้อยกว่าหนึ่งรายเท่านั้น  ซุนม่อก็แค่สวะ โดยพื้นฐานได้รับการยืนยันแล้วว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป”

“ถ้าพวกเจ้าต้องการสู้กัน ก็ออกไปสู้ข้างนอก!”

สีหน้าของจางเซิงเปลี่ยนไป เขากังวลถึงผลที่จะตามมา

แปะ

ซุนม่อยื่นมือไปคว้าเงินในมือของหยวนฟงกลับคืน  “โอว ค่อยกลับมาตามหาข้า เมื่อเจ้ามีเงินสำรองแล้ว”

“เจ้านึกจริงๆ หรือว่าจะได้แต่งงานกับครูใหญ่อันซินฮุ่ย?”

หยวนฟงเย้ยหยัน “ขอบอกเรื่องนี้กับเจ้า, เจ้าไม่มีทางได้กิน ‘ข้าวนุ่ม’ อย่างที่เจ้าตั้งใจไว้ได้แน่”

“โอว, อย่างนั้นเหรอ?  ถึงยังไงก็ยังดีกว่าคนอย่างเจ้าที่ไม่มีคุณสมบัติจะได้กิน ‘ข้าวนุ่ม’ ด้วยซ้ำ”

ซุนม่อกระตุกยิ้ม ราวกับว่าแสงแดดแห่งฤดูใบไม้ผลิฉายลงมาที่เขา  ฟันขาวของเขาเป็นประกายชวนให้ผู้คนเวียนหัว

“เจ้าผู้นี้ ปากร้ายนัก”

หลู่ตี๋รำพึงเงียบๆ (คำพูดนี้มันน่าโมโห สร้างความประทับใจได้เพียงเพราะเจ้าหล่อเหรอ)

“เจ้า...เจ้า...”

หยวนฟงโกรธ หัวใจเต้นแรง หน้าของเขาซีดเผือดยิ่งดูเหมือนกบมากขึ้น ขณะที่กำหมัดแน่นจ้องมองซุนม่อ

 

 

 

1 ความคิดเห็น:

eak_sj กล่าวว่า...

อยากรู้จิงว่าพระเอกจะเก่งอะไรก่อน

แสดงความคิดเห็น