วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2565

บทที่ 5 ฝึกแบบนั้นไม่ถูกต้อง

 

 

บทที่ 5 ฝึกแบบนั้นไม่ถูกต้อง

ในที่สุดการต่อสู้ก็ไม่เกิดขึ้น

 

ซุนม่อเก็บเงินและออกไปหาอาหาร แม้ว่าความขัดแย้งจะเพิ่งเกิดขึ้น แต่ภายในจิตใจของเขาสงบ  ทั้งนี้เป็นเพราะเขามั่นใจว่าตราบใดที่หยวนฟงยังมีสมองอยู่บ้าง เขาคงอดทนได้  ต่อให้เขาทนไม่ได้ แต่เพื่อนร่วมห้องอีกสองคนก็คงจะห้ามเขา

นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจฝ่าฝืนกฎของโรงเรียนในระหว่างฝึกสอนได้ มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกไล่ออก  ตอนนี้เขาตกเป็นเป้าของผู้ไม่หวังดีไปแล้ว  พวกมันแค่รอให้เขาทำผิดก่อนที่จะไล่เขาออก

ถ้าหยวนฟงโจมตี เขาคงโชคร้ายไปด้วยกัน

ปกติแล้วถ้าเกิดการทะเลาะต่อสู้ขึ้น ซุนม่อก็ไม่กลัวเช่นกัน

“ข้าต้องรีบค้นคว้าพลังปราณจิตและฝึกวิชาเซียนมหาจักรวาลไร้ลักษณ์ให้จงได้  ถ้าเกิดความขัดแย้งขึ้นอีก ใครจะยังทะเลาะด้วยอีก? ข้าจะระเบิดศีรษะสุนัขมันเสีย!”

สำหรับความขัดแย้งระดับนี้ ซุนม่ออาจดูเหมือนกระวนกระวายใจมากและต้องการต่อสู้ทันทีที่พวกเขาทะเลาะกัน  อย่างไรก็ตามจิตใจของเขาสงบนิ่งมาก  เขาไตร่ตรองสถานการณ์และวิธีรับมือทั้งหมดมานานแล้ว

หยวนฟงถลึงตามองด้วยความไม่พอใจและทุบกำปั้นกับผนัง

“วันที่มันถูกไล่ออกข้าจะซื้อประทัด 100 ตับมาจุดฉลองส่งมันด้วยความยินดี”

หยวนฟงกัดฟันกรอด

“เจ้านี่ไม่รอดแน่นอน  ทำไมเจ้าต้องลดตัวไปทะเลาะกับเขาด้วย”

หลู่ตี๋ปลอบโยน จากมุมมองนี้ ไม่มีทางที่ซุนม่อจะเข้าร่วมงานได้  ขณะที่หยวนฟงยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานในอนาคตของขา  ดังนั้นเขาจึงพูดคุยกับหยวนฟงอย่างเป็นกันเอง

วิทยาเขตภายใต้แสงดาวให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ลมยามราตรีพัดกระโชกขณะที่ซุนม่อกำลังเดินไตร่ตรองถึงเรื่องของเขาและคู่หมั้น

แม้ว่าอันซินฮุ่ยจะอายุมากกว่าซุนม่อสามปี แต่พวกเขาก็เป็นคู่รักมาตั้งแต่วัยเด็ก

ซุนม่อเติบโตที่สถาบันจงโจวตั้งแต่วัยเด็ก เขาไม่ได้อยู่กับมารดาจนอายุได้ 8 ขวบ เพราะบิดาของเขาเป็นครูใหญ่ของสถาบัน เป็นลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของปู่ของอันซินฮุ่ยอดีตครูใหญ่ ครั้งหนึ่งเขาเอ่ยปากในวันเกิดว่าทั้งสองครอบครัวจะเกี่ยวดองแต่งงานกัน

เมื่ออันซินฮุ่ยเติบโตขึ้น พรสวรรค์ที่ตระหนกของนางก็ฉายแววออกมา ในที่สุดนางเลือกเข้าเรียนในสถาบันเทียนจีในแคว้นหวินโจว  จากนั้นนางก็มีชื่อเสียงเลื่องลือในขณะที่ยังเป็นน้องใหม่ด้วยซ้ำ

ในทางตรงกันข้าม ความสามารถของซุนม่อนั้นด้อยกว่าบิดาของเขามาก  ก็แค่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเพียงเล็กน้อย  เขาได้แต่พึ่งพาความพากเพียรอย่างหนักแทบไม่สามารถเข้าเรียนในสถาบันซงหยางด้วยซ้ำ

ซุนม่อรู้ดีว่าเขาไม่คู่ควรกับอันซินฮุ่ย  เขาไม่คิดเอาคำพูดตลกๆ ของครูใหญ่คนเก่ามาใส่ใจ แต่ใครจะรู้ว่าไม่กี่วันก่อนที่เขาจะจบการศึกษา อันซินฮุ่ยส่งจดหมายนัดและสัญญาการแต่งงานมาให้เขา  นอกจากจ้างให้เขาเป็นครูฝึกสอนในสถาบันจงโจวแล้ว นางหวังว่าจะแต่งงานกันได้โดยเร็วที่สุด

อันซินฮุ่ยเป็นหญิงงามผุดผ่อง และนางก็คือรักแรกของซุนม่อ  ดังนั้นเมื่อเขาเรียนจบ เขารีบเก็บของและเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในท้ายที่สุดเขาตกเป็นเป้าหมายในทุกที่และถูกไล่ต้อนเข้าไปอยู่ในแผนกรับส่งพัสดุ

“ตัวตนข้าคนเก่าโง่มาก แน่นอนว่ามีแรงจูงใจซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้”

ซุนม่อพูดไม่ออก  เขายังเข้าใจเช่นกันถึงเหตุผลที่ซุนม่อคนเก่าต้องออกไปผ่อนคลายที่ชานเมือง  ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่ใครๆ กำลังรอกินกุ้งมังกรเมนูเลิศรส แต่กลับพบว่าได้กินแกลบแทน

“แล้วข้าควรจะทำยังไงดี?”

ซุนม่อคงไม่อาจหวนกลับคืนได้  นอกจากนี้ ยังมีภารกิจสองอย่างที่ระบบมหาคุรุมอบหมายให้เขาทำ ดูเหมือนว่าเขาคงได้แต่เป็นครูเท่านั้น

โชคดีที่เขามีประสบการณ์ในการเป็นครูผู้ดูแลมาหกปี(ในโลกเก่า)  และตอนนี้เขายังมีเวทเนตรทิพย์อีกด้วย  ด้วยสิ่งเหล่านี้ คงไม่มีปัญหาสำหรับเขาในการปักหลักอยู่ในสถาบันจงโจว

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าซุนม่อจะลืมไปว่าสิ่งที่สอนในดินแดนที่นี้ไม่ใช่วิชาภาษาต่างประเทศ ฟิสิกส์ หรือเคมี มันคือวิทยายุทธ์ อักขระวิญญาณ วิชาสมุนไพร โหราศาสตร์ ฯลฯ

“ข้าสงสัยว่าเงินเดือนเป็นอย่างไร ค่าจ้างจะเท่ากับที่เก่าไหม แม้ว่าจะทำงานมาห้าปีติดต่อกัน?”

เมื่อคิดถึงอัตราค่าเช่าที่น่าสะพรึงกลัว อัตราค่าเช่าของเมืองจินหลิงคงไม่สูงจนคนต้องกระโดดตึกตายหรอกใช่ไหม?

ทะเลสาบม่อเปยของสถาบันจงโจวเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงในเมืองจินหลิง  ภายใต้แสงจันทร์เงินยวงดูงามตายิ่งนัก

ซุนม่อเดินไปได้ครึ่งรอบ จู่ๆ เขาได้ยินเสียงเบาดังมาจากป่าด้านขวามือ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไป

ในป่าโปร่งมีเด็กหนุ่มถอดเสื้อกำลังฝึกวิชาหมัดมวย  กางเกงผ้าฝ้ายของเขาเปียกโชกและถูกถลกขึ้น เขาสวมรองเท้าผ้า

เหงื่อไหลย้อยลงมาที่หลังของเขา  ขณะที่เขาใช้วิชาหมัดทหาร เหงื่อของเขากระเซ็นไปในอากาศจากแรงอัดกระแทก

ซุนม่อรู้สึกอยากผิวปากแสดงความชื่นชม  หุ่นของหนุ่มน้อยคนนี้ดูดีมาก  แม้ว่าเขาจะตัวไม่สูง  แต่ก็ไม่มีร่องรอยของเนื้อส่วนเกินบนร่างกาย  รูปลักษณ์กล้ามเนื้อของเขาชัดเจน ร่างของเขาแข็งแรง การเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ทำให้ซุนม่อนึกถึงร่างทรงพลังที่เพรียวบางกว่าของบรู๊ซ ลี

ปัง ปัง ปัง!

ลมกระโชกจากหมัดของเขาทำให้อากาศแตกกระจายเป็นริ้วเกิดเสียงระเบิดเบาๆ เด็กหนุ่มมีความมุ่งมั่นอย่างมาก เขาพยายามออกหมัดให้สมบูรณ์แบบที่สุดโดยไม่สนใจจะเหลือบมองซุนม่อ คนแปลกหน้าที่โผล่ออกมากะทันหัน

ซุนม่อยืนกอดอกพิงต้นเมเปิลจ้องมองเขาจากด้านข้าง

พลังตาทิพย์ของเขาถูกเปิดใช้งาน

เหนือศีรษะเด็กหนุ่ม มีสามคำปรากฏขึ้นทันที

“ชีเซิ่งเจี่ย? เป็นชื่อที่ดี”

ซุนม่อแอบชื่นชม

หลังจากนั้นก็มีข้อมูลไหลออกมาจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายของเขา

ความแข็งแกร่ง : 8  ถือว่าโดดเด่นในหมู่สหาย ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาที่จะฆ่าวัวด้วยหมัดของเขา

สติปัญญา : 4 โง่อยู่บ้าง และพูดช้า  ดีแต่ขยันฝึกเท่านั้น

ความคล่องแคล่ว : 6  ได้มาตรฐานทั่วไป

ปณิธาน : 3  สามารถไปถึงระดับ 7 เป็นอย่างมาก  ไม่ใช่เรื่องปกติที่เด็กหนุ่มจะมีปณิธานแบบนี้

......

ปณิธาน?

เทียบกับหลี่จื่อชีข้อมูลของชีเซิ่งเจี่ย มีสถานะปณิธานเพิ่มเติม มีตัวบรรยายสีแดงด้วย

“เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งพบกับความพ่ายแพ้ ปณิธานของเขาจึงค่อยๆ ลดลง”

“ระบบมหาคุรุให้ความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง มันยังรู้วิธีเน้นข้อความสีแดงเสียด้วย”

ซุนม่อขมวดคิ้วถามระบบในใจ “มาตรฐานปกติในปัญญาของคนธรรมดาเป็นยังไงบ้าง?”

“ห้า!”

ระบบตอบอย่างกระชับ ตรงประเด็น เหมือนกับว่าถ้าพูดอีกคำเดียวมันอาจเหนื่อยตายได้

“นั่นก็หมายความว่าชีเซิ่งเจี่ย ค่อนข้างโง่ไม่ใช่เหรอ?”

ซุนม่อพูดไม่ออก คำตอบของระบบนั้นง่ายเกินไป อย่างไรก็ตาม ด้วยสติปัญญาของซุนม่อ เขาเข้าใจว่าจุดเริ่มต้นของคนธรรมดาคือ 5

ระบบไม่จำเป็นต้องสนทนากับเจ้า

“ความอดทน 7, การระเบิดพลัง 6  ไม่เลว”

ซุนม่อคิดถึงหลี่จื่อชี ความฉลาดของสาวงามนั้นคือ 10 ดังนั้นคุณค่าที่เป็นไปได้ของนางจึงสูงมาก แม้ว่านางค่อนข้างซุ่มซ่าม  แต่ระบบก็ยังแนะนำให้เขารับนางเป็นศิษย์

สำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้หลังจากซุนม่อพบข้อมูลคุณค่าที่เป็นไปได้ของเขาซึ่งเปิดเผยอยู่ด้านข้างเขา เขาก็อดส่ายหน้าไม่ได้

คุณค่าศักยภาพ : ต่ำ

แม้ว่าซุนม่อจะไม่รู้คุณค่าเฉลี่ยที่เป็นไปได้ของคนธรรมดา  แต่เมื่อเห็นคำว่า ‘ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก’  เขารู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีอนาคต

อายุ : 15

ขอบเขตพลัง : ระดับ 3 ของการเสริมสร้างร่างกาย

เมื่อซุนม่อเห็นข้อมูลนี้แล้ว เขาขมวดคิ้ว หลังจากอ่านหนังสือในห้องสมุดเป็นเวลาหนึ่งวัน เขาก็เข้าใจวิถีแห่งการฝึกปรือแล้ว

ขอบเขตพลังเริ่มต้นแห่งวิถีของการฝึกปรือ  คือขอบเขตการเสริมสร้างร่างกาย หมายถึงการฝึกปรือวิทยายุทธ์ น้ำยา อาหาร และโอสถสำหรับอาบเพื่อเสริมสร้างร่างกาย

กายเป็นต้นกำเนิดแห่งมนุษย์ ตราบเท่าที่ร่างกายแข็งแกร่งเพียงพอ พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวความเจ็บป่วยและสามารถอยู่รอดได้แม้ได้รับบาดแผลมากมาย  ขอเพียงมีชีวิตพวกเขาก็สามารถก้าวสู่ขอบเขตที่สูงกว่าได้

พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าความตายของคนเราเทียบเท่ากับแสงที่ดับลง ขอบเขตการเสริมสร้างร่างกายก็ช่วยให้เปลวไฟนี้มีความสว่างขึ้นเป็นเวลานานยิ่งขึ้น จะไม่ดับลงเพียงเพราะลมกระโชกแรง

ขอบเขตการเสริมกายมีทั้งหมดเจ็ดระดับ สัญญาณที่โดดเด่นที่สุดก็คือความก้าวหน้าในแง่ขอบเขตการฝึกปรือความแข็งแกร่ง

ขอบเขตของชีเซิ่งเจี่ย เข้ากันกับสิ่งที่เขาประเมินคุณค่าที่เป็นไปได้ คือระดับต่ำเตี้ย

โดยปกติเมื่อยังเด็ก พวกเขาจะยังไม่ฝึกฝนขัดเกลาร่างกาย เพราะพวกเขายังไม่เติบโตเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการหลงเหลือบาดแผลไว้เบื้องหลัง  ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะแบ่งเบาภาระทางร่างกายของพวกเขาด้วยการเรียนรู้อักขระวิญญาณ คัมภีร์สี่เล่ม พื้นฐานห้าอย่าง และศิลปะทั้งหก

ในเก้าแว่นแคว้นของแผ่นดินใหญ่ ผู้ฝึกปรืออายุ 12 ปีถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ในขณะนั้นเราสามารถเริ่มฝึกเสริมสร้างร่างกายไปทีละเล็กน้อย

อายุ 15 ตามปกติ ผู้ฝึกจะต้องไปถึงระดับ 4 หรือ 5 แล้ว

ซุนม่อไม่รู้สึกแปลกใจ นักเรียนของสถาบันจงโจวมีเครื่องแบบของพวกเขา  แต่ชีเซิ่งเจี่ยไม่สวมใส่ขณะฝึกปรือตอนกลางคืน  เพราะถ้าเขาทำเสียหาย เขาจะต้องใช้เงินเพื่อซื้อชุดใหม่

ชุดฝ้ายบุนวมชุดนี้สีเดิมหายไปแล้ว และยังมีรอยปะบนเสื้อผ้า  สำหรับคนที่มาจากครอบครัวยากจนไม่จำเป็นต้องพูดถึงยาเพิ่มพลังหรือการอาบน้ำโอสถ  คนจนทำได้เพียงพึ่งพาความสามารถและขยันหมั่นเพียรเท่านั้น

การเคลื่อนไหวของชีเซิ่งเจี่ยผิดเพี้ยนเล็กน้อยและไม่มีอะไรที่เขาทำได้  เมื่อถูกซุนม่อจ้องมอง  เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ดังนั้นเขาเลือกหยุดพักและเดินไปที่เสื้อผ้าที่วางอยู่บนพื้นหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม 2-3 อึก

“เลิกฝึกซะเถอะ”  ซุนม่อกล่าว

หืม?

ชีเซิ่งเจี่ยหันหน้าไปมองซุนม่ออย่างงุนงง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้กำลังพูดกับเขา

“เลิกฝึก กลับไปนอนได้แล้ว”

ในฐานะครู ซุนม่อยังคงชื่นชมนักเรียนที่ขยันฝึกฝนเช่นเขา

อึกๆ

ชีเซิ่งเจี่ยดื่มน้ำของเขาและถูที่กล้ามเนื้อแขนและต้นขาของเขา จากนั้นเดินไปที่ว่างข้างหน้าและเริ่มต้นฝึกหมัดหมาป่าฟ้าต่อ

การทดสอบในโถงประลองในอีกสัปดาห์ข้างหน้าคือโอกาสสุดท้ายของเขา ถ้าเขายังผ่านไม่ได้ เขาจะต้องกลับบ้าน ไปเป็นชาวนา ถ้าเขาไม่ฝึกให้หนักในตอนนี้ เขาจะไม่มีโอกาสฝึกหนักในอนาคต 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชีเซิ่งเจี่ยก็ปล่อยหมัดด้วยความพยายามมากขึ้น

“เจ้าฝึกแบบนี้มันไม่ถูก”

ซุนม่อไม่ใช่คนยุ่มย่าม อย่างไรก็ตามจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าระดับความเหนื่อยล้าของเด็กหนุ่มนี้สูงมากแล้ว นอกจากนี้กล้ามเนื้อหลายส่วนของเขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยบ้างแล้ว

“ท่านคือ...”

ชีเซิ่งเจี่ยหยุดเคลื่อนไหว

“......”

ซุนม่อไม่รู้จะพูดยังไง  เขามีเกียรติศักดิ์ศรีเป็นของตนเอง หากไม่ได้รับการยอมรับจากสถาบันก่อน  เขาจะไม่อ้างว่าเป็นครูฝึกสอน

“ท่านเป็นครูฝึกสอนใช่ไหม?”

ชีเซิ่งเจี่ยถามต่อ ซุนม่อสวมชุดยาวสีน้ำเงิน และนี่เป็นสิ่งที่ครูฝึกสอนเท่านั้นใช้สวมใส่  เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้เขารู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ตราบใดที่ครูฝึกสอนสามารถแนะนำเขาได้บ้าง  ความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถเพิ่มขึ้นได้

“ข้าชื่อซุนม่อ”

“อา...คู่หมั้นของครูใหญ่อันเหรอ?”

เมื่อเขาได้ยินชื่อนี้ ชีเซิ่งเจี่ยร้องทักออกมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาเบิ่งตากว้างสำรวจมองซุนม่อ  ความจริงซุนม่อเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์หล่อเหลาไม่น้อย ใบหน้าของเขาราวกับหยก ต้นทุนที่เขามีอยู่นั้นทำให้เขาสามารถกิน ‘ข้าวนุ่ม’ ได้นั้น แข็งแกร่งนัก

เทียบตัวเองกับอีกฝ่าย เขาเป็นเหมือนก้อนกรวดริมทาง

“ข้าบอกว่ามันไม่ถูกต้องที่เจ้าจะฝึกฝนด้วยวิธีแบบนี้  เจ้าควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

ซุนม่อเกลียดการเสียเวลาอย่างที่สุด ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาต้องพูดซ้ำๆ กันถึงสามสี่ครั้งทำให้น้ำเสียงของเขาแข็งขึ้น

“โอว!”

ชีเซิ่งเจี่ยพึมพำแต่เขาไม่ฟังซุนม่อ

ซุนม่อขมวดคิ้ว จากนั้นเขาหัวเราะเยาะตัวเองแล้วหันหลังเดินจากไป  อีกฝ่ายไม่เชื่อคำแนะนำของเขา  นอกจากนี้เขาไม่ตั้งใจจะให้คำแนะนำใดๆ เพียงแต่พูดออกมาเพราะถูกกระตุ้นโดยชีเซิ่งเจี่ยที่ฝึกฝนหนักขนาดไหน?

ชีเซิ่งเจี่ยสงสัยซุนม่อจริงๆ  เนื่องจากเขาเป็นประเด็นร้อนในสถาบัน  จากมุมมองของชีเซิ่งเจี่ย ครูฝึกสอนผู้นี้ไม่สามารถเป็นครูผู้ช่วยและต้องทำงานจิปาถะ ในแผนกรับส่งพัสดุไม่มีมาตรฐานการสอนที่ดี

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา  ชีเซิ่งเจี่ยจะฟังคำแนะนำเดาสุ่มไม่น่าเชื่อถือได้อย่างไร?

“ใส่ใจแขนขวาและขาซ้ายของเจ้าเอาไว้ อย่าใช้กำลังในส่วนนั้นมากเกินไป”

ที่ด้านนอกป่า คำเตือนเลื่อนลอย  ใครที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะพูดว่าเสียงของซุนม่อน่าฟัง

ชีเซิ่งเจี่ยอดหัวเราะไม่ได้ ด้วยการฝึกฝนที่หนักหน่วงนี้ ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บแทบทุกที่ แต่เขาจะทำยังไงได้ นอกจากอดทน

ไม่ว่ายังไงก็ตาม การฝึกฝนอย่างหนักไม่มีทางผิดพลาด

จากมุมมองที่เรียบง่ายของชีเซิ่งเจี่ย  เขารู้สึกว่ายิ่งพยายามมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น

 

2 ความคิดเห็น:

Puisiwa กล่าวว่า...

โดนมองโบ๋ซะแล้ว

eak_sj กล่าวว่า...

ตามแพทเทิร์นของนิยายเลย

แสดงความคิดเห็น