บทที่ 5 ฝึกแบบนั้นไม่ถูกต้อง
ในที่สุดการต่อสู้ก็ไม่เกิดขึ้น
ซุนม่อเก็บเงินและออกไปหาอาหาร แม้ว่าความขัดแย้งจะเพิ่งเกิดขึ้น แต่ภายในจิตใจของเขาสงบ ทั้งนี้เป็นเพราะเขามั่นใจว่าตราบใดที่หยวนฟงยังมีสมองอยู่บ้าง เขาคงอดทนได้ ต่อให้เขาทนไม่ได้ แต่เพื่อนร่วมห้องอีกสองคนก็คงจะห้ามเขา
นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจฝ่าฝืนกฎของโรงเรียนในระหว่างฝึกสอนได้ มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกไล่ออก ตอนนี้เขาตกเป็นเป้าของผู้ไม่หวังดีไปแล้ว พวกมันแค่รอให้เขาทำผิดก่อนที่จะไล่เขาออก
ถ้าหยวนฟงโจมตี เขาคงโชคร้ายไปด้วยกัน
ปกติแล้วถ้าเกิดการทะเลาะต่อสู้ขึ้น ซุนม่อก็ไม่กลัวเช่นกัน
“ข้าต้องรีบค้นคว้าพลังปราณจิตและฝึกวิชาเซียนมหาจักรวาลไร้ลักษณ์ให้จงได้ ถ้าเกิดความขัดแย้งขึ้นอีก ใครจะยังทะเลาะด้วยอีก? ข้าจะระเบิดศีรษะสุนัขมันเสีย!”
สำหรับความขัดแย้งระดับนี้ ซุนม่ออาจดูเหมือนกระวนกระวายใจมากและต้องการต่อสู้ทันทีที่พวกเขาทะเลาะกัน อย่างไรก็ตามจิตใจของเขาสงบนิ่งมาก เขาไตร่ตรองสถานการณ์และวิธีรับมือทั้งหมดมานานแล้ว
หยวนฟงถลึงตามองด้วยความไม่พอใจและทุบกำปั้นกับผนัง
“วันที่มันถูกไล่ออกข้าจะซื้อประทัด 100 ตับมาจุดฉลองส่งมันด้วยความยินดี”
หยวนฟงกัดฟันกรอด
“เจ้านี่ไม่รอดแน่นอน ทำไมเจ้าต้องลดตัวไปทะเลาะกับเขาด้วย”
หลู่ตี๋ปลอบโยน จากมุมมองนี้ ไม่มีทางที่ซุนม่อจะเข้าร่วมงานได้ ขณะที่หยวนฟงยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานในอนาคตของขา ดังนั้นเขาจึงพูดคุยกับหยวนฟงอย่างเป็นกันเอง
วิทยาเขตภายใต้แสงดาวให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ลมยามราตรีพัดกระโชกขณะที่ซุนม่อกำลังเดินไตร่ตรองถึงเรื่องของเขาและคู่หมั้น
แม้ว่าอันซินฮุ่ยจะอายุมากกว่าซุนม่อสามปี แต่พวกเขาก็เป็นคู่รักมาตั้งแต่วัยเด็ก
ซุนม่อเติบโตที่สถาบันจงโจวตั้งแต่วัยเด็ก เขาไม่ได้อยู่กับมารดาจนอายุได้ 8 ขวบ เพราะบิดาของเขาเป็นครูใหญ่ของสถาบัน เป็นลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของปู่ของอันซินฮุ่ยอดีตครูใหญ่ ครั้งหนึ่งเขาเอ่ยปากในวันเกิดว่าทั้งสองครอบครัวจะเกี่ยวดองแต่งงานกัน
เมื่ออันซินฮุ่ยเติบโตขึ้น พรสวรรค์ที่ตระหนกของนางก็ฉายแววออกมา ในที่สุดนางเลือกเข้าเรียนในสถาบันเทียนจีในแคว้นหวินโจว จากนั้นนางก็มีชื่อเสียงเลื่องลือในขณะที่ยังเป็นน้องใหม่ด้วยซ้ำ
ในทางตรงกันข้าม ความสามารถของซุนม่อนั้นด้อยกว่าบิดาของเขามาก ก็แค่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเพียงเล็กน้อย เขาได้แต่พึ่งพาความพากเพียรอย่างหนักแทบไม่สามารถเข้าเรียนในสถาบันซงหยางด้วยซ้ำ
ซุนม่อรู้ดีว่าเขาไม่คู่ควรกับอันซินฮุ่ย เขาไม่คิดเอาคำพูดตลกๆ ของครูใหญ่คนเก่ามาใส่ใจ แต่ใครจะรู้ว่าไม่กี่วันก่อนที่เขาจะจบการศึกษา อันซินฮุ่ยส่งจดหมายนัดและสัญญาการแต่งงานมาให้เขา นอกจากจ้างให้เขาเป็นครูฝึกสอนในสถาบันจงโจวแล้ว นางหวังว่าจะแต่งงานกันได้โดยเร็วที่สุด
อันซินฮุ่ยเป็นหญิงงามผุดผ่อง และนางก็คือรักแรกของซุนม่อ ดังนั้นเมื่อเขาเรียนจบ เขารีบเก็บของและเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในท้ายที่สุดเขาตกเป็นเป้าหมายในทุกที่และถูกไล่ต้อนเข้าไปอยู่ในแผนกรับส่งพัสดุ
“ตัวตนข้าคนเก่าโง่มาก แน่นอนว่ามีแรงจูงใจซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้”
ซุนม่อพูดไม่ออก เขายังเข้าใจเช่นกันถึงเหตุผลที่ซุนม่อคนเก่าต้องออกไปผ่อนคลายที่ชานเมือง ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่ใครๆ กำลังรอกินกุ้งมังกรเมนูเลิศรส แต่กลับพบว่าได้กินแกลบแทน
“แล้วข้าควรจะทำยังไงดี?”
ซุนม่อคงไม่อาจหวนกลับคืนได้ นอกจากนี้ ยังมีภารกิจสองอย่างที่ระบบมหาคุรุมอบหมายให้เขาทำ ดูเหมือนว่าเขาคงได้แต่เป็นครูเท่านั้น
โชคดีที่เขามีประสบการณ์ในการเป็นครูผู้ดูแลมาหกปี(ในโลกเก่า) และตอนนี้เขายังมีเวทเนตรทิพย์อีกด้วย ด้วยสิ่งเหล่านี้ คงไม่มีปัญหาสำหรับเขาในการปักหลักอยู่ในสถาบันจงโจว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าซุนม่อจะลืมไปว่าสิ่งที่สอนในดินแดนที่นี้ไม่ใช่วิชาภาษาต่างประเทศ ฟิสิกส์ หรือเคมี มันคือวิทยายุทธ์ อักขระวิญญาณ วิชาสมุนไพร โหราศาสตร์ ฯลฯ
“ข้าสงสัยว่าเงินเดือนเป็นอย่างไร ค่าจ้างจะเท่ากับที่เก่าไหม แม้ว่าจะทำงานมาห้าปีติดต่อกัน?”
เมื่อคิดถึงอัตราค่าเช่าที่น่าสะพรึงกลัว อัตราค่าเช่าของเมืองจินหลิงคงไม่สูงจนคนต้องกระโดดตึกตายหรอกใช่ไหม?
ทะเลสาบม่อเปยของสถาบันจงโจวเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงในเมืองจินหลิง ภายใต้แสงจันทร์เงินยวงดูงามตายิ่งนัก
ซุนม่อเดินไปได้ครึ่งรอบ จู่ๆ เขาได้ยินเสียงเบาดังมาจากป่าด้านขวามือ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไป
ในป่าโปร่งมีเด็กหนุ่มถอดเสื้อกำลังฝึกวิชาหมัดมวย กางเกงผ้าฝ้ายของเขาเปียกโชกและถูกถลกขึ้น เขาสวมรองเท้าผ้า
เหงื่อไหลย้อยลงมาที่หลังของเขา ขณะที่เขาใช้วิชาหมัดทหาร เหงื่อของเขากระเซ็นไปในอากาศจากแรงอัดกระแทก
ซุนม่อรู้สึกอยากผิวปากแสดงความชื่นชม หุ่นของหนุ่มน้อยคนนี้ดูดีมาก แม้ว่าเขาจะตัวไม่สูง แต่ก็ไม่มีร่องรอยของเนื้อส่วนเกินบนร่างกาย รูปลักษณ์กล้ามเนื้อของเขาชัดเจน ร่างของเขาแข็งแรง การเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ทำให้ซุนม่อนึกถึงร่างทรงพลังที่เพรียวบางกว่าของบรู๊ซ ลี
ปัง ปัง ปัง!
ลมกระโชกจากหมัดของเขาทำให้อากาศแตกกระจายเป็นริ้วเกิดเสียงระเบิดเบาๆ เด็กหนุ่มมีความมุ่งมั่นอย่างมาก เขาพยายามออกหมัดให้สมบูรณ์แบบที่สุดโดยไม่สนใจจะเหลือบมองซุนม่อ คนแปลกหน้าที่โผล่ออกมากะทันหัน
ซุนม่อยืนกอดอกพิงต้นเมเปิลจ้องมองเขาจากด้านข้าง
พลังตาทิพย์ของเขาถูกเปิดใช้งาน
เหนือศีรษะเด็กหนุ่ม มีสามคำปรากฏขึ้นทันที
“ชีเซิ่งเจี่ย? เป็นชื่อที่ดี”
ซุนม่อแอบชื่นชม
หลังจากนั้นก็มีข้อมูลไหลออกมาจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายของเขา
ความแข็งแกร่ง : 8 ถือว่าโดดเด่นในหมู่สหาย ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาที่จะฆ่าวัวด้วยหมัดของเขา
สติปัญญา : 4 โง่อยู่บ้าง และพูดช้า ดีแต่ขยันฝึกเท่านั้น
ความคล่องแคล่ว : 6 ได้มาตรฐานทั่วไป
ปณิธาน : 3 สามารถไปถึงระดับ 7 เป็นอย่างมาก ไม่ใช่เรื่องปกติที่เด็กหนุ่มจะมีปณิธานแบบนี้
......
ปณิธาน?
เทียบกับหลี่จื่อชีข้อมูลของชีเซิ่งเจี่ย มีสถานะปณิธานเพิ่มเติม มีตัวบรรยายสีแดงด้วย
“เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งพบกับความพ่ายแพ้ ปณิธานของเขาจึงค่อยๆ ลดลง”
“ระบบมหาคุรุให้ความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง มันยังรู้วิธีเน้นข้อความสีแดงเสียด้วย”
ซุนม่อขมวดคิ้วถามระบบในใจ “มาตรฐานปกติในปัญญาของคนธรรมดาเป็นยังไงบ้าง?”
“ห้า!”
ระบบตอบอย่างกระชับ ตรงประเด็น เหมือนกับว่าถ้าพูดอีกคำเดียวมันอาจเหนื่อยตายได้
“นั่นก็หมายความว่าชีเซิ่งเจี่ย ค่อนข้างโง่ไม่ใช่เหรอ?”
ซุนม่อพูดไม่ออก คำตอบของระบบนั้นง่ายเกินไป อย่างไรก็ตาม ด้วยสติปัญญาของซุนม่อ เขาเข้าใจว่าจุดเริ่มต้นของคนธรรมดาคือ 5
ระบบไม่จำเป็นต้องสนทนากับเจ้า
“ความอดทน 7, การระเบิดพลัง 6 ไม่เลว”
ซุนม่อคิดถึงหลี่จื่อชี ความฉลาดของสาวงามนั้นคือ 10 ดังนั้นคุณค่าที่เป็นไปได้ของนางจึงสูงมาก แม้ว่านางค่อนข้างซุ่มซ่าม แต่ระบบก็ยังแนะนำให้เขารับนางเป็นศิษย์
สำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้หลังจากซุนม่อพบข้อมูลคุณค่าที่เป็นไปได้ของเขาซึ่งเปิดเผยอยู่ด้านข้างเขา เขาก็อดส่ายหน้าไม่ได้
คุณค่าศักยภาพ : ต่ำ
แม้ว่าซุนม่อจะไม่รู้คุณค่าเฉลี่ยที่เป็นไปได้ของคนธรรมดา แต่เมื่อเห็นคำว่า ‘ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก’ เขารู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีอนาคต
อายุ : 15
ขอบเขตพลัง : ระดับ 3 ของการเสริมสร้างร่างกาย
เมื่อซุนม่อเห็นข้อมูลนี้แล้ว เขาขมวดคิ้ว หลังจากอ่านหนังสือในห้องสมุดเป็นเวลาหนึ่งวัน เขาก็เข้าใจวิถีแห่งการฝึกปรือแล้ว
ขอบเขตพลังเริ่มต้นแห่งวิถีของการฝึกปรือ คือขอบเขตการเสริมสร้างร่างกาย หมายถึงการฝึกปรือวิทยายุทธ์ น้ำยา อาหาร และโอสถสำหรับอาบเพื่อเสริมสร้างร่างกาย
กายเป็นต้นกำเนิดแห่งมนุษย์ ตราบเท่าที่ร่างกายแข็งแกร่งเพียงพอ พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวความเจ็บป่วยและสามารถอยู่รอดได้แม้ได้รับบาดแผลมากมาย ขอเพียงมีชีวิตพวกเขาก็สามารถก้าวสู่ขอบเขตที่สูงกว่าได้
พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าความตายของคนเราเทียบเท่ากับแสงที่ดับลง ขอบเขตการเสริมสร้างร่างกายก็ช่วยให้เปลวไฟนี้มีความสว่างขึ้นเป็นเวลานานยิ่งขึ้น จะไม่ดับลงเพียงเพราะลมกระโชกแรง
ขอบเขตการเสริมกายมีทั้งหมดเจ็ดระดับ สัญญาณที่โดดเด่นที่สุดก็คือความก้าวหน้าในแง่ขอบเขตการฝึกปรือความแข็งแกร่ง
ขอบเขตของชีเซิ่งเจี่ย เข้ากันกับสิ่งที่เขาประเมินคุณค่าที่เป็นไปได้ คือระดับต่ำเตี้ย
โดยปกติเมื่อยังเด็ก พวกเขาจะยังไม่ฝึกฝนขัดเกลาร่างกาย เพราะพวกเขายังไม่เติบโตเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการหลงเหลือบาดแผลไว้เบื้องหลัง ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะแบ่งเบาภาระทางร่างกายของพวกเขาด้วยการเรียนรู้อักขระวิญญาณ คัมภีร์สี่เล่ม พื้นฐานห้าอย่าง และศิลปะทั้งหก
ในเก้าแว่นแคว้นของแผ่นดินใหญ่ ผู้ฝึกปรืออายุ 12 ปีถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ในขณะนั้นเราสามารถเริ่มฝึกเสริมสร้างร่างกายไปทีละเล็กน้อย
อายุ 15 ตามปกติ ผู้ฝึกจะต้องไปถึงระดับ 4 หรือ 5 แล้ว
ซุนม่อไม่รู้สึกแปลกใจ นักเรียนของสถาบันจงโจวมีเครื่องแบบของพวกเขา แต่ชีเซิ่งเจี่ยไม่สวมใส่ขณะฝึกปรือตอนกลางคืน เพราะถ้าเขาทำเสียหาย เขาจะต้องใช้เงินเพื่อซื้อชุดใหม่
ชุดฝ้ายบุนวมชุดนี้สีเดิมหายไปแล้ว และยังมีรอยปะบนเสื้อผ้า สำหรับคนที่มาจากครอบครัวยากจนไม่จำเป็นต้องพูดถึงยาเพิ่มพลังหรือการอาบน้ำโอสถ คนจนทำได้เพียงพึ่งพาความสามารถและขยันหมั่นเพียรเท่านั้น
การเคลื่อนไหวของชีเซิ่งเจี่ยผิดเพี้ยนเล็กน้อยและไม่มีอะไรที่เขาทำได้ เมื่อถูกซุนม่อจ้องมอง เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ดังนั้นเขาเลือกหยุดพักและเดินไปที่เสื้อผ้าที่วางอยู่บนพื้นหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม 2-3 อึก
“เลิกฝึกซะเถอะ” ซุนม่อกล่าว
หืม?
ชีเซิ่งเจี่ยหันหน้าไปมองซุนม่ออย่างงุนงง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้กำลังพูดกับเขา
“เลิกฝึก กลับไปนอนได้แล้ว”
ในฐานะครู ซุนม่อยังคงชื่นชมนักเรียนที่ขยันฝึกฝนเช่นเขา
อึกๆ
ชีเซิ่งเจี่ยดื่มน้ำของเขาและถูที่กล้ามเนื้อแขนและต้นขาของเขา จากนั้นเดินไปที่ว่างข้างหน้าและเริ่มต้นฝึกหมัดหมาป่าฟ้าต่อ
การทดสอบในโถงประลองในอีกสัปดาห์ข้างหน้าคือโอกาสสุดท้ายของเขา ถ้าเขายังผ่านไม่ได้ เขาจะต้องกลับบ้าน ไปเป็นชาวนา ถ้าเขาไม่ฝึกให้หนักในตอนนี้ เขาจะไม่มีโอกาสฝึกหนักในอนาคต
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชีเซิ่งเจี่ยก็ปล่อยหมัดด้วยความพยายามมากขึ้น
“เจ้าฝึกแบบนี้มันไม่ถูก”
ซุนม่อไม่ใช่คนยุ่มย่าม อย่างไรก็ตามจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าระดับความเหนื่อยล้าของเด็กหนุ่มนี้สูงมากแล้ว นอกจากนี้กล้ามเนื้อหลายส่วนของเขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยบ้างแล้ว
“ท่านคือ...”
ชีเซิ่งเจี่ยหยุดเคลื่อนไหว
“......”
ซุนม่อไม่รู้จะพูดยังไง เขามีเกียรติศักดิ์ศรีเป็นของตนเอง หากไม่ได้รับการยอมรับจากสถาบันก่อน เขาจะไม่อ้างว่าเป็นครูฝึกสอน
“ท่านเป็นครูฝึกสอนใช่ไหม?”
ชีเซิ่งเจี่ยถามต่อ ซุนม่อสวมชุดยาวสีน้ำเงิน และนี่เป็นสิ่งที่ครูฝึกสอนเท่านั้นใช้สวมใส่ เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้เขารู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ตราบใดที่ครูฝึกสอนสามารถแนะนำเขาได้บ้าง ความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถเพิ่มขึ้นได้
“ข้าชื่อซุนม่อ”
“อา...คู่หมั้นของครูใหญ่อันเหรอ?”
เมื่อเขาได้ยินชื่อนี้ ชีเซิ่งเจี่ยร้องทักออกมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาเบิ่งตากว้างสำรวจมองซุนม่อ ความจริงซุนม่อเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์หล่อเหลาไม่น้อย ใบหน้าของเขาราวกับหยก ต้นทุนที่เขามีอยู่นั้นทำให้เขาสามารถกิน ‘ข้าวนุ่ม’ ได้นั้น แข็งแกร่งนัก
เทียบตัวเองกับอีกฝ่าย เขาเป็นเหมือนก้อนกรวดริมทาง
“ข้าบอกว่ามันไม่ถูกต้องที่เจ้าจะฝึกฝนด้วยวิธีแบบนี้ เจ้าควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
ซุนม่อเกลียดการเสียเวลาอย่างที่สุด ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาต้องพูดซ้ำๆ กันถึงสามสี่ครั้งทำให้น้ำเสียงของเขาแข็งขึ้น
“โอว!”
ชีเซิ่งเจี่ยพึมพำแต่เขาไม่ฟังซุนม่อ
ซุนม่อขมวดคิ้ว จากนั้นเขาหัวเราะเยาะตัวเองแล้วหันหลังเดินจากไป อีกฝ่ายไม่เชื่อคำแนะนำของเขา นอกจากนี้เขาไม่ตั้งใจจะให้คำแนะนำใดๆ เพียงแต่พูดออกมาเพราะถูกกระตุ้นโดยชีเซิ่งเจี่ยที่ฝึกฝนหนักขนาดไหน?
ชีเซิ่งเจี่ยสงสัยซุนม่อจริงๆ เนื่องจากเขาเป็นประเด็นร้อนในสถาบัน จากมุมมองของชีเซิ่งเจี่ย ครูฝึกสอนผู้นี้ไม่สามารถเป็นครูผู้ช่วยและต้องทำงานจิปาถะ ในแผนกรับส่งพัสดุไม่มีมาตรฐานการสอนที่ดี
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา ชีเซิ่งเจี่ยจะฟังคำแนะนำเดาสุ่มไม่น่าเชื่อถือได้อย่างไร?
“ใส่ใจแขนขวาและขาซ้ายของเจ้าเอาไว้ อย่าใช้กำลังในส่วนนั้นมากเกินไป”
ที่ด้านนอกป่า คำเตือนเลื่อนลอย ใครที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะพูดว่าเสียงของซุนม่อน่าฟัง
ชีเซิ่งเจี่ยอดหัวเราะไม่ได้ ด้วยการฝึกฝนที่หนักหน่วงนี้ ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บแทบทุกที่ แต่เขาจะทำยังไงได้ นอกจากอดทน
ไม่ว่ายังไงก็ตาม การฝึกฝนอย่างหนักไม่มีทางผิดพลาด
จากมุมมองที่เรียบง่ายของชีเซิ่งเจี่ย เขารู้สึกว่ายิ่งพยายามมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
2 ความคิดเห็น:
โดนมองโบ๋ซะแล้ว
ตามแพทเทิร์นของนิยายเลย
แสดงความคิดเห็น