ตอนที่ 1-1 เช้าตรู่ที่เมืองเล็กแห่งหนึ่ง
อู่ซานเมืองธรรมดาเล็กๆตั้งอยู่ในอาณาจักรเฟนไล
ทิศตะวันตกเทือกเขาสัตว์วิเศษเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยูลาน
เมื่ออาทิตย์อุทัยในยามเช้าในเมืองอู่ซันยังคงเทิ้งความหนาวเหน็บก่อนอรุณรุ่งเพียงเล็กน้อย
ทว่าชาวเมืองเล็กๆแห่งนี้ทุกคนเริ่มออกมาทำงานกันบ้างแล้ว แม้แต่เด็ก 6-7 ขวบก็ลุกขึ้นจากเตียงเตรียมตัวออกกำลังกายยามเช้าอย่างที่เคยเป็นมา
บนพื้นที่ว่างในทิศตะวันออกของเมืองอู่ซันแสงอาทิตย์อบอุ่นยามเช้าส่องลอดผ่านต้นไม้โดยรอบ
ปรากฏเป็นจุดแสงบนภาคพื้น
เด็กๆกลุ่มใหญ่สามารถมองเห็นได้จากตรงนั้น
จำนวนร้อยหรือสองร้อยคนโดยประมาณ เด็กเหล่านี้แบ่งออกเป็นสามกลุ่มแต่ละกลุ่มจัดได้เป็นหลายแถว
เด็กทุกคนยืนเงียบอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของพวกเขามุ่งมั่น เด็กทั้งหมดที่อยู่ทางตอนเหนืออายุประมาณหกปี
กลุ่มที่ตรงกลางอายุราวๆ เก้าถึงสิบสองปี เด็กกลุ่มที่อยู่ทางด้านใต้อายุสิบสามถึงสิบหกปี
ข้างหน้าของเด็กกลุ่มใหญ่นี้มีบุรุษวัยกลางคนสามคน
ร่างเต็มได้วยมัดกล้ามแข็งแรง ทั้งสามคนสวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงที่ตัดอย่างหยาบๆ
“ถ้าพวกเจ้าต้องการเป็นนักรบที่แกร่งกล้า
อย่างนั้นพวกเจ้าต้องฝึกหนักตั้งแต่อายุยังน้อย”หัวหน้ากลุ่มชายวัยกลางคนเชิดหน้าสูงมือไพล่หลังพูดกับเด็กๆ
ด้วยน้ำเสียงเย็นชาเขากวาดสายตาดุ เย็นชาไปทางเด็กกลุ่มที่อยู่ด้านเหนือ เด็กหกขวบและเจ็ดขวบทุกคนเม้มริมฝีปากแน่นจ้องมาทางบุรุษนี้ด้วยดวงตากลมโต
ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง
คนที่เป็นผู้นำนามว่าฮิลแมนเขาเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของตระกูลบาลุคตระกูลชนชั้นสูงที่ปกครองเมืองอู่ซัน
“พวกเจ้าทุกคนเป็นแค่คนสามัญ
ต่างจากตระกูลชั้นสูง เจ้าไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้เกี่ยวคัมภีร์ลับที่จะสอนให้เจ้าฝึกฝนพลังปราณต่อสู้
ถ้าพวกเจ้าต้องการเป็นคนที่มีประโยชน์ ถ้าพวกเจ้าต้องการได้รับการยกย่อง อย่างนั้นพวกเจ้าทุกคนต้องใช้วิธีที่เก่าแก่ที่สุด
ง่ายที่สุดและเป็นวิธีพื้นฐานในการพัฒนาตนเอง ก็คือการออกกำลังกายของและสร้างความแข็งแกร่งขึ้นในตัวเจ้า!
ข้าพูดชัดไหม?”
ฮิลแมนกวาดสายตาไปยังกลุ่มเด็ก
“เข้าใจครับ” พวกเด็กๆตอบรับด้วยเสียงที่ชัดเจนและพร้อมเพรียงกัน
“ดี”ฮิลแมนพึงพอใจพยักหน้าอย่างใจเย็น ในสายตาของเด็กหกขวบยังแสดงอาการสับสนขณะที่นัยน์ตาของเด็กวัยรุ่นเต็มไปด้วยความมั่นใจ
พวกเขาเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำของฮิลแมน
ความจริงบุรุษทุกคนในทวีปยูลานจะฝึกฝนร่างกายอย่างหนักตั้งแต่ยังเล็ก
ถ้ามีบางคนขี้เกียจ ในอนาคตพวกเขาจะถูกคนอื่นดูถูกได้ เงินและอำนาจสิ่งเหล่านี้บ่งบอกสถานะของบุุรุษ
บุรุษผู้ไม่มีอำนาจแม้แต่สตรีก็ยังอาจดูถูกได้
ถ้าผู้ใดต้องการให้บิดามารดาภูมิใจต้องการให้สตรียกย่อง
ต้องการมีชีวิตที่รุ่งเรือง
อย่างนั้นพวกเขาต้องเป็นนักรบที่เก่งกล้า
พวกเขาทั้งหมดเป็นคนธรรมดา
ไม่มีคนใดในพวกเขามีสิทธิ์เข้าถึงคัมภีร์ที่ล้ำค่าได้ซึ่งจะใช้สอนวิธีฝึกปราณต่อสู้
ทางเดียวที่พวกเขาจะสร้างชื่อได้ก็คือฝึกฝนร่างกายตั้งแต่อายุน้อย และเพิ่มความแข็งแกร่ง
ฝึกตนอย่างหนัก พวกเขาจะฝึกให้หนักกว่าพวกคนชั้นสูง ใช้พลังงานและเลือดสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเอง
“เมื่ออาทิตย์อุทัยในยามเช้า
ทุกสิ่งเริ่มเจริญเติบโต นี่คือเวลาที่ดีที่สุดในการซึบซับธรรมชาติพลังจากรอบตัวของพวกเจ้าเอามาพัฒนาร่างกายของตัวพวกเจ้าเอง
หลักการเดียวกันนี้ใช้ได้เสมอ แยกขา ขณะที่ไหล่เปิดกว้าง งอเข่าทั้งสองเล็กน้อย มือทั้งสองลดลงระดับเอว
ท่ารวมปราณ เมื่ออยู่ในท่านี้ จำไว้รวบรวมสมาธิของพวกเจ้า ทำใจให้สงบและหายใจให้เป็นธรรมชาติ”
ฮิลแมนสอนอย่างใจเย็น
ท่าสร้างปราณเป็นท่าพื้นฐานที่สุดเป็นวิธีที่มีผลต่อการออกกำลังกายของคน
นี่คือประสบการณ์ที่ถ่ายทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า
ทันใดนั้นเด็กเกือบสองร้อยคนล้วนตั้งท่านี้กันหมด
“จำเอาไว้ ตั้งสมาธิสงบจิตใจและหายใจเป็นธรรมชาติ!”
ฮิลแมนพูดอย่างใจเย็นขณะเดินผ่านไปตรงกลางของกลุ่มเด็ก
เท่าที่มองเขาสามารถบอกได้ว่ากลุ่มเด็กวัยรุ่นทางด้านใต้ทุกคนสามารถสงบใจและหายใจเป็นธรรมชาติได้
ขณะเดียวกันพวกเขาทุกคนมีความตั้งใจแน่วแน่และมั่นคงอยู่ในท่าของตน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับการฝึกท่าสร้างสมลมปราณมาอย่างดีในระดับหนึ่งทีเดียว
แต่พอมองไปยังกลุ่มเด็กที่อยู่ตอนเหนือเอวกับเข่าของพวกเขาอยู่ในท่วงท่าแปลก
ผ่อนแรงที่ขาไม่มั่นคง ฮิลแมนเห็นชัดว่าพวกเขายังยืนไม่มั่นคงและไม่มีพลัง
ฮิลแมนพูดกับบุรุษวัยกลางคนสองคนว่า“พวกเจ้าทั้งสองคน
คอยดูแลเด็กกลุ่มทางใต้กับตอนกลาง ส่วนข้าจะดูแลเด็กอายุน้อยที่สุดนี่เอง”
“ขอรับ หัวหน้า” บุรุษวัยกลางคนทั้งสองตอบรับทันที เอาใจใส่ใกล้ชิดกับเด็กทั้งสองกลุ่ม พวกเขามักเตะขาของกลุ่มเด็กวัยรุ่นบ่อยครั้งเพื่อตรวจสอบว่าใครยืนได้มั่นคงบ้างหรือไม่
ฮิลแมนเดินไปหากลุ่มเด็กทางด้านเหนือ
เด็กเหล่านั้นกังวลใจทันที
“แย่แล้ว หัวหน้าจอมเฮียบกำลังมา”
เด็กผมทองร่างใหญ่นัยน์ตาเป็นประกายชื่อฮาร์ดลีย์พูดเสียงเบา
ฮิลแมนก้าวเข้ามากลางกลุ่มเด็กจ้องมองพวกเขา
แม้หน้าของเขาจะดูเย็นชา แต่แอบถอนหายใจ “เจ้าพวกนี้ก็แค่เด็กเกินไปพวกเขายังขาดปัญญาและความเข้มแข็ง
เราคงตั้งความหวังจากพวกเขาไม่ได้มากนักแต่เป็นเรื่องดีที่ให้พวกเขาได้ฝึกฝนร่างกายตั้งแต่อายุยังน้อย
ถ้าพวกเขาฝึกหนักตั้งแต่ยังเด็ก ในอนาคต เมื่อพวกเขาอยู่ในสนามรบ พวกเขาจะมีโอกาสรอดมากขึ้น
และการสอนเด็กๆต้องทำให้พวกเขาสนใจ
นั่นเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด ถ้าเขาบังคับเด็กๆ มากเกินไป ก็จะได้ผลตรงกันข้าม
“พวกเจ้าทุกคน ยืนให้ดี”
ฮิลแมนคำรามเบาๆ
ทันใดนั้นเด็กทุกคนยืดอกตาจ้องไปข้างหน้า
ฮิลแมนยิ้มเล็กน้อยจากนั้นไปยืนอยู่ที่หน้าเด็กๆ
และถอดเสื้อของเขา เส้นสายพาดผ่านกล้ามเนื้อที่แข็งแรงในร่างกายของเขาทำให้เด็กๆมองจนตาแทบถลน
แม้แต่กลุ่มเด็กที่อยู่ในกลุ่มกลางและกลุ่มด้านใต้ก็ยังทำอะไรไม่ถูกได้แต่จ้องมองร่างของเขาอย่างสนใจ
นอกจากร่างกายที่มีมัดกล้ามบริบูรณ์
กายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของฮิลแมน มีรอยแผลเป็นทั้งรอยมีดรอยดาบและแผลเก่านับไม่ถ้วน
เด็กทุกคนจ้องดูแผลของเขาจนตาเป็นประกาย
รอยมีดรอยดาบ เหล่านี้คือเหรียญตราของลูกผู้ชาย
ในหัวใจพวกเขาพวกเขาเต็มไปด้วยคามเคารพต่อฮิลแมน
ฮิวแมนคือนักรบทรงพลังระดับ 6 นักรบที่ถือกำเนิดจากการดิ้นรนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
แม้แต่ในเมืองใหญ่ เขาก็มีฝีมือน่าตระหนกอยู่แล้ว ในเมื่อเล็กอู่ซัน เขาคือบุรุษผู้ที่ทุกคนให้ความเคารพ
พอเห็นสายตากระตือรือร้นของเด็กๆ
ฮิลแมนไม่ได้ทำอะไร ได้แต่แอบยิ้ม เขาต้องการกระตุ้นความรู้สึกกระตือรือร้นของเด็กๆ
ให้ปรารถนาจะเป็นแบบเขาด้วยวิธีแบบนั้น พวกเขาจะฝึกหนักและมีแรงจูงใจมากขึ้น
“มาเติมเชื้อไฟกันหน่อยก็ดี”
ฮิวแมนยิ้มเร้นลับจากนั้นเดินไปอยู่ต่อหน้าหินก้อนมหึมา หนักประมาณ
300-400 ปอนด์
ฮิลแมนใช้มือข้างเดียวยกก้อนหินอย่างสบายๆเขาเริ่มเลื่อนมือไปมา
ก้อนหินนั้นหนักสามร้อยปอนด์ แต่ในมือฮิลแมนดูเหมือนมันเบาราวกับไม้ เด็กทุกคนอ้าปากค้างและจ้องดูจนตาแทบถลน
“เบาเกินไป! ลอร์รี ถ้าเจ้ามีเวลาว่างหลังจากฝึก ช่วยหาหินก้อนใหญ่ให้ข้าด้วย” ด้วยการโยนอย่างธรรมดา ก้อนหินปลิวไปนับสิบเมตร โครม! ก้อนหินกระทบพื้นใกล้ต้นไม้ใหญ่และพื้นดินสะเทือนทั้งหมด ฮิลแมนเดินไปตามปกติไปหยุดอยู่หน้าก้อนหินที่สุ่มเลือกไว้
“ฮ่าห์!”
ฮิลแมนสูดลมหายใจลึก เส้นเลือดทั้งหมดบนกล้ามเนื้อร่างกายของเขาปูดออกมาเป็นเส้น
ขณะที่ฮิวแมนจงใจต่อยหินสีน้ำเงินที่อยู่ใกล้ๆ เสียงหมัดแหวกอากาศทำให้เด็กทุกคนจ้องมองนัยน์ตาเบิกกว้าง
หมัดที่ทรงพลังของฮิลกระแทกใส่ก้อนหินนั้น
แครก! เสียงหมัดกระแทกลงบนหินทำให้หัวใจเด็กๆทุกคนสั่นสะท้าน
นั่นเป็นก้อนหินที่แข็งมาก
หินสีฟ้าสั่นสะเทือนในทันใดนั้น
เกิดรอยแยกใหญ่หกหรือเจ็ดรอยปรากฏขึ้น ขณะที่มีเสียงดังปังมันแตกออกเป็นสี่หรือห้าเสี่ยง
แต่หมัดของฮิลแมน ไม่มีริ้วรอยบาดเเจ็บอะไรให้เห็นเลย
“หัวหน้าก็น่ากลัวเหมือนอย่างเคย”
ลอร์รีหนึ่งในสองบุรุษวัยกลางคนหัวเราะขณะที่ฮิลแมนเดินตรงมาที่พวกเขา
บุรุษวัยกลางคนอีกคนหนึ่งโรเจอร์ก็เดินมาสมทบด้วย
ปกติเมื่อเด็กๆฝึกท่าสร้างปราณพื้นฐาน ก็จะมีเวลาให้ทั้งสามคนได้พักคุยกัน ขณะที่คอยเตือนเด็กๆ
ที่ฝึกย่อหย่อน
ฮิลแมนหัวเราะพลางส่ายศีรษะ“ไม่มีทาง!ในอดีต เมื่อข้ายังอยู่ในกองทัพ ทุกๆ วันข้าจะฝึกเป็นบ้าเป็นหลัง ขณะอยู่ในสนามรบข้าก็กระหายจะต่อสู้ประจัญบาน
จนวันนี้ทั้งหมดที่ข้าทำคือผ่อนคลายยืดเส้นยืดสายนิดหน่อยในยามเช้า ข้าไม่มีพลังมากเหมือนในอดีตแล้ว”
เด็กๆทุกคนจ้องมองฮิลแมนอย่างเทิดทูน
ก้อนหินสีฟ้าก้อนใหญ่แตกทำลายโดยฮิลแมนต่อยใส่ทีเดียวนี่มันพลังแบบไหนกัน
ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้น ก้อนหินหนักสามหรือสี่ร้อยปอนด์ยังถูกโยนออกไปง่ายๆด้วยการสะบัดมือเท่านั้น
นี่มันพลังแบบไหนกัน?
ฮิลแมนหันศีรษะไปจ้องมองเด็ก
เขาพอใจอย่างมากต่อผลตอบรับของเด็ก
“จำเอาไว้ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถพัฒนาการฝึกปราณได้
ในทางทฤษฎี ถ้าพวกเจ้าฝึกฝนร่างกายจนมีประสิทธิภาพเต็มที่ พวกเจ้าก็ยังสามารถกลายเป็นนักรบระดับ
6ได้ และนักรบระดับ 6 ตอนเข้าร่วมในกองทัพสามารถเป็นนายทหารระดับกลางได้อย่างสบายๆ
และสามารถได้รับคู่มือทหารซึ่งสอนวิธีพัฒนาลมปราณ ต่อให้เจ้าไม่อาจเป็นนักรบระดับ
6 ได้ แต่เจ้าก็ยังสามารถเป็นนักรบทั่วไประดับ 1 ได้เจ้ามีความสามารถเพียงที่จะเข้าร่วมกับกองทัพได้ จำเอาไว้ ถ้าลูกผู้ชายคนหนึ่งไม่สามารถเป็นได้แม้แต่นักรบระดับ
1 แล้วคนผู้นั้นไม่อาจเรียกว่าลูกผู้ชายได้เลย”
“ถ้าเจ้าเป็นลูกผู้ชาย เจ้าต้องแอ่นอกขึ้นยอมรับการท้าทายทุกอย่าง
ไม่ต้องกลัวต่ออะไรทั้งนั้น
พอได้ยินคำพูดเหล่านี้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเด็ก 6 ขวบและ
7 ขวบ พวกเขาทุกคนบังคับตนเองให้นิ่ง คำพูดเหล่านี้เป็นเหมือนมนต์ที่ฮิลแมนใช้กับเด็กๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีหมด
“ทั้งหมด ยืนตรง!
ดูรุ่นพี่ๆ ทางด้านใต้สิแล้วกลับมาดูวิธียืนของพวกเจ้า” ฮิลแมนดุพวกเขา
เด็ก6 ขวบพยายามปรับท่ายืนให้มั่นคงทันที
หลังจากผ่านไปชั่วขณะเด็ก 6 ขวบและ
7 ขวบก็เริ่มตัวโยกไม่มา ทุกคนรู้สึกเกร็งที่ขา แต่พวกเขาก็กัดฟันทน
หลังจากนั้นไม่นานเด็กก็ร่วงลงไปนั่งกับพื้นทีละคนๆ
หน้าของฮิลแมนดูเย็นชาและไร้น้ำใจ
แต่ในจิตใจของเขา เขาแอบพยักหน้า พึงพอใจสำหรับการฝึกของเด็ก6 ขวบและ
7 ขวบ
หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มเด็ก 10 ขวบตรงกลางก็ไม่สามารถทนได้
เริ่มจะร่วงลงไปทีละคนๆเหมือนกัน
“อดทนให้นานเท่าที่พวกเจ้าจะทำได้
ข้าจะไม่บังคับพวกเจ้า แต่ถ้าหากในอนาคต พวกเจ้าอ่อนแอกว่าใคร เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าจะโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง”
ฮิลแมนพูดอย่างเย็นชา
“หืม?”ทันใดนั้นลอรี่จ้องไปทางกลุ่มทางทิศเหนือด้วยความประหลาดใจ
ในเวลานี้เด็กๆ หลายคนในกลุ่มเด็กขนาดกลางร่วงลงไปมาก
แต่ในกลุ่มเด็กตอนทิศเหนือ เด็กหกขวบคนหนึ่งยังอดทนเข้มแข็งอยู่ได้
“นี่ต้องเป็นลินลี่ย์ที่เข้ามาฝึกในวันแรกแน่
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเข้มแข็งนัก?” ลอรี่พูดด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้นโรเจอร์และฮิลแมนก็ยังคงสังเกตดูเขา พอดูตรงตำแหน่งนั้นพวกเขาเห็นว่าเด็กผมสีน้ำตาลคนหนึ่งยังคงอดทนแข็งขัน
ริมฝีปากของเขาเม้มแน่นเด็กชายจ้องมองไปข้างหน้าอย่างตั้งใจ หมัดทั้งสองกำแน่นแน่จนมือซีดเป็นสีขาว
แววชื่นชมประหลาดใจปรากฏอยู่ในดวงตาของฮิลแมน
“ทำได้ดีมาก เจ้าหนู!”
ฮิลแมนแอบชื่นชม เนื่องจากเขายังแค่อายุหกขวบยังไม่สามารถตั้งท่วงท่าสร้างพลังปราณได้จนกว่าจะมีอายุสิบขวบ
ลินลี่ย์มีชื่อเต็มว่าลินลี่ย์
บาลุค เป็นบุตรคนโตและเป็นทายาทตระกูลบาลุค ที่ปกครองเมืองอู่ซัน ตระกูลบาลุคเป็นตระกูลที่เก่าแก่มาก
ครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากผ่านไปหลายพันปี เหลือสมาชิกอยู่เพียงสามคน
ผู้นำตระกูลคือฮอค บาลุคและบุตรชายสองคน คนพี่ชื่อลินลี่ย์ บาลุคอายุหกขวบ คนน้องชื่อวอร์ตัน
บาลุคอายุสองขวบขณะที่ภรรยาของเขา เมื่อนางให้กำเนิดบุตรคนเล็ก นางเสียชีวิตระหว่างให้กำเนิดบุตร
ปู่ของลินลี่ย์ก็เสียชีวิตไปแล้ว ท่านเสียชีวิตในสงคราม
ขาของลินลี่ย์สั่น แม้ว่าเขาจะมีจิตใจเข้มแข็ง
แต่กล้ามเนื้อขาของเขาตึงสุดๆแล้วและเริ่มสั่นจนควบคุมไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ทรุดตัวนั่งลง
“ลินลี่ย! เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฮิลแมนยิ้มขณะเดินเข้ามาหาเขา
ลินลี่ย์ฉีกยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวน้อยๆ
ของเขา
“ข้าไม่เป็นไร, ลุงฮิลแมน” ในฐานะหัวหน้าหน่วยป้องกันตระกูลบาลุค ฮิลแมนเห็นลินลี่ย์เจริญเติบโตมาตลอด
ปกติทั้งสองจะสนิทกันมาก
“ดีมาก เจ้าทำตัวสมเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งแล้ว”ฮิลแมนยีหัวลินลี่ย์ ทันใดนั้นผมบนหัวลินลี่ย์กลายเป็นยุ่งเหยิงเหมือนทุ่งหญ้าที่ถูกลมพัด
“ฮ่าฮ่า” ลินลี่ย์ยิ้มกว้าง เขารู้สึกเป็นสุขในใจที่ลุงฮิลแมนยกย่องเขา
หลังจากพักชั่วครู่พวกเขาก็ออกกำลังกายกันต่อ
รูปแบบการฝึกเด็กหกและเจ็ดขวบจะผ่อนปรนมาก แต่สำหรับเด็กวัยรุ่น การฝึกฝนจะเข้มงวดน่ากลัว
เด็กกลุ่มใหญ่รวมทั้งเด็กหกขวบและเจ็บขวบนอนเอาหัวและเท้าพาดขวางอยู่บนแผ่นหินเรียบใช้กำลังตนเองยืดเอวให้ตรงเหมือนไม้กระดาน
“เอวและต้นขาจากพื้นที่สามเหลี่ยม”
ฮิลแมนบอกโดยยกมือแสดงถึงพื้นที่ๆเขากำลังอธิบาย “พื้นที่นี้คือหัวใจหลักของทุกคนความเร็วและพลังทั้งหมดมาจากพื้นที่หลักสามเหลี่ยมตรงนี้ทำให้พื้นที่ตรงนี้เป็นตำแหน่งสำคัญมาก”
ขณะที่ฮิลแมนพูด เขายังคงเดินไปด้วย
ตรวจสอบเด็กอย่างระวังดูว่าพวกเขามีการเคลื่อนที่ได้ถูกต้อง
“เกร็งไว้! เอวของพวกเจ้าจำเป็นต้องตรง” ฮิลแมนตวาด
ในทันใดนั้นเอวของเด็กๆหลายคนตั้งตรง
นี่เป็นวันแรกที่ลินลี่ย์เข้ามาฝึก หัวและเท้าน้อยๆ ของเขาพาดกับหินแต่พอมาถึงจุดนี้ลินลีย์รู้สึกได้ว่าเอวของเขาตึงและร้อนขึ้นทุกที
“ทนเอาไว้ ข้าทำได้ดีที่สุด!”
ลินลี่ย์ยังคงให้กำลังใจตนเอง ลินลี่ย์มีร่างกายที่แข็งแกร่งอยู่เสมอ
แม้ตั้งแต่ยังเป็นทารก เขาแทบไม่เคยป่วย เขามีความพยายามอย่างหนักมาโดยตลอดสำหรับเขาการพยายามอย่างหนักไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร
“ตุ้บ” เด็กคนแรกร่วงลงมา
อย่างไรก็ตามหินที่เด็กใช้หัวและเท้าพาดมีความสูงเพียงยี่สิบเซนติเมตร
แม้ว่าเด็กจะร่วงลงไปก็จะไม่เจ็บตัวมาก
“ตุ้บ!” “ตุ้บ!”เมื่อเวลาผ่านไปเด็กก็ร่วงลงมามากขึ้น ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
ลินลี่ย์กัดฟันเขาสามารถรู้สึกได้ชัดถึงแรงตึงที่เอวเขา
มันใกล้จะถึงขีดจำกัดที่จะทนได้ จนเขาเริ่มชาจนไม่รู้สึกอะไร“ตัวของข้าช่างหนักนัก
ข้าเกือบจะควบคุมไม่ได้อยู่แล้ว ต้องทนอีกนิด” มาถึงตอนนี้ในกลุ่มเด็กอายุหกถึงแปดปี
เหลือเพียงลินลี่ย์เท่านั้น
พอจ้องดูลินลีย์ ฮิลแมนไม่ได้ทำอะไรแต่ก็ยังรู้สึกทึ่งและมีความสุข
“ลอร์รี่” ฮิลแมนตะโกนเรียกทันที
“หัวหน้า!” ลอร์รี่ตรงเข้ามาหาทันทีและยืนรอรับคำสั่ง
ฮิลแมนออกคำสั่ง “พรุ่งนี้จัดเตรียมสีย้อมพิเศษจำนวนหนึ่งไว้
เมื่อพวกเขาฝึกพลังเอวให้วางกิ่งไม้ไว้ใต้เอวพวกเขาแล้วป้ายสีย้อมกิ่งไม้ไว้ด้วย ถ้ามีคนขี้เกียจและปล่อยให้เอวสัมผัสกิ่งไม้
ตลอดทั้งตัวพวกเขาก็จะเปื้อนสีไปด้วยและรูปแบบการฝึกจะยากขึ้นเป็นเท่าตัว”
“ขอรับหัวหน้า” ลอร์รี่รับทราบคำสั่ง เขายังไม่ได้ทำอะไรแต่กระตุกยิ้มและแอบหัวเราะ
“หัวหน้ามักมีความคิดร้ายๆ อยู่มากมายเจ้าเด็กพวกนี้ได้เจอดีแน่”
แค่นั้นยังไม่พอหรือ?
ท่าทางดูเจ็บปวดปรากฏอยู่บนใบหน้าของเด็กวัยสิบขวบทุกคน
ปกติแล้วพวกเขาสามารถปรับท่าผ่อนคลายได้เล็กน้อย แต่ด้วยความคิดของฮิลแมนพวกเขาไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นอีกแล้ว
ฮิลแมนพูดอย่างเย็นชาต่อ“ข้าขอบอกพวกเจ้าทุกคน
เมื่อนักสู้ฝึกพลังภายในของตน พลังภายในขนาดเท่ากำมือจะถูกเก็บกักไว้ที่ตำแหน่งใต้สะดือ
พวกเจ้าควรเข้าใจว่าส่วนนี้เป็นพื้นที่สามเหลี่ยมที่ข้าได้พูดถึงมาก่อน ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะเข้าใจถึงความสำคัญของพลังที่กักในพื้นที่สามเหลี่ยมนี้
พลังหลักของเจ้าอยู่ตรงนี้ ถ้ามันล้มเหลวอย่างนั้นร่างกายของพวกเจ้าก็ล้มเหลว ไม่ว่าร่างกายส่วนอื่นของพวกเจ้าจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม
อาจารย์ที่ดีก็สำคัญต่อเด็กๆด้วยเช่นกัน
และความจริงแล้วฮิลแมนก็เป็นนักรบที่น่ากลัว
เขารู้ส่วนที่สำคัญสำหรับการฝึกและรู้วิธีเพิ่มความยากในการฝึกขึ้นไปทีละขั้น เขารู้จักว่าเครื่องมือชนิดใดเหมาะกับคนวัยใด
ถ้ามันหนักเกินไป ก็อาจทำให้ร่างกายของเด็กๆรับไม่ไหว
“พลังภายใน”
พอได้ยินคำเหล่านี้พวกเด็กๆ
ทุกคนรวมทั้งกลุ่มเด็กที่อายุน้อยที่สุดที่พักอยู่ด้านข้างก็เบิกตากว้างจ้องดูฮิลแมน
คนโดยทั่วไปทั้งหมดจะกระตือรือร้นเพื่อเรียนรู้เรื่องพลังภายใน
แม้แต่ลินลีย์ที่เป็นทายาทของชนชั้นสูงก็ยังพลอยกระตือรือร้นอย่างมากไปด้วย
“ตุ้บ!”
ในที่สุดลินลี่ย์ก็ทนต่อไปไม่ไหว
แต่เขายังใช้แขนตนเองยันตัวไว้ขณะที่ค่อยๆกลิ้งลงมา
“รู้สึกดีจังเลย!”
ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ว่าเอวชาจนไปถึงกระดูกมันสบายจนตาเขาย่นเล็กน้อย
“ข้าสามารถทนได้นานแค่ไหน?”
ลินลี่ย์เบิกตากว้างมองดูรอบๆ ตัว
เด็กอายุหกขวบร่วงลงมาหมดทุกคนแล้ว
แม้แต่เด็กสิบขวบกว่าครึ่งหนึ่งก็ร่วงลงมาเช่นกัน อย่างไรก็ตามเด็กๆ สิบสี่ขวบทุกคนยังทนได้
ฮิลแมนยังคงมีสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม
“พวกเจ้าทุกคนต้องจำไว้ ร่างของเจ้าเหมือนภาชนะเปล่า
เหมือนแก้วเหล้าพลังภายในก็เป็นเหมือนเหล้า ปริมาณเหล้าที่ภาชนะจะสามารถรับไว้ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของภาชนะ
เช่นเดียวกับร่างกายความสามารถของคนเราที่จะฝึกพลังภายในก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาฝึกของแต่ละคน
ถ้าร่างกายอ่อนแอเกินไป แม้ว่าจะได้รับคัมภีร์ฝึกพลังภายในอย่างดี แต่ร่างของเขาก็ไม่สามารถทนต่อพลังภายในได้มาก
และเขาก็ไม่อาจกลายเป็นนักรบที่ทรงพลังได้” ฮิลแมนแจ้งให้ทราบถึงความสำคัญและให้คำแนะนำเด็กๆ
บางข้อ
นักรบหลายคนเนื่องจากไม่ได้รับคำแนะนำที่ดีตั้งแต่เยาว์วัยเพียงแค่เข้าใจความเชื่อมต่อระหว่างพลังภายในและความแข็งแกร่งของร่างกายเมื่อใช้ชีวิตต่อมาอีกนาน
แต่ในวัยขนาดนั้นจะไม่ค่อยมีความก้าวหน้านักเมื่อเขาฝึกฝนตนเอง
บรรพบุรุษหลายคนเดินทางที่ผิดและได้รับประสบการณ์มากมาย
ฮิลแมนยังคงบอกเล่าประสบการณ์เหล่านี้ต่อไปเหมือนกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิบ่งบอกฝนที่ให้ชีวิต
ประสบการณ์ต่างๆเหล่านี้ค่อยซึมซับเข้าไปอยู่ในใจของเด็กๆ พวกนี้ ฮิลแมนไม่ต้องการให้เด็กเหล่านี้ดำเนินไปในเส้นทางที่ผิดเช่นกัน
หลังจากฝึกท่าสร้างพลังปราณเอว
หลัง ต้นขา ไหล่และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ตอนนี้เด็กๆ ทุกคนกำลังนั่งพักอยู่บนพื้น ตารางการฝึกของฮิลแมนเกือบจะสมบูรณ์ในระดับที่ยากตามที่เขาประเมินแต่ละกลุ่มไว้
“การฝึกในวันนี้ จบลงเพียงเท่านี้”
ฮิลแมนประกาศ
การฝึกของเมืองอู่ซันเป็นตารางที่ถูกกำหนดไว้
ทุกๆ วันจะมีการฝึกสองครั้งตอนเช้าครั้งหนึ่ง ตอนเย็นอีกครั้งหนึ่ง
“ลุงฮิลแมน เล่าเรื่องต่างๆ
ให้เราฟังบ้าง!” หลังจากฝึกเสร็จ เด็กๆ จะเรียกร้องทันที โดยที่ทุกวันหลังจากฝึกเสร็จ
ฮิลแมนจะเล่าเรื่องต่างๆ ในช่วงที่เขาอยู่ในกองทัพหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทวีปให้เด็กๆ
ฟัง
เด็กๆทุกคนอาศัยอยู่ในเมืองมาทั้งชีวิต
พวกเขากระหายใคร่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับกองทัพ
ฮิลแมนยิ้ม เขามีความสุขที่ได้เล่าเรื่องให้เด็กๆ
ฟัง นี้เป็นวิธีทำให้เด็กๆ ตั้งใจฝึกฝนมากขึ้น ฮิลแมนรู้สึกอยู่เสมอว่าแค่ทำให้เด็กๆ
สมัครใจฝึกฝนจะให้เกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมได้
“วันนี้ ข้าจะเล่าเรื่องตระกูล
4 สุดยอดนักรบในตำนานที่ทุกคนในทวีปนี้ควรรู้จัก” สีหน้าที่น่าเกรงขามปรากฏบนใบหน้าของฮิลแมน
เด็กต่างก็เงี่ยหูฟังทันทีและนัยน์ตาของพวกเขาเป็นประกาย
ลินลี่ย์นั่งอยู่บนพื้นรู้ว่าได้ว่าใจของเขาเต้นรัว“สี่สุดยอดนักรบในตำนานหรือ?”
ลินลี่ย์เงี่ยหูฟังอย่างช่วยไม่ได้เช่นกันขณะที่เขาจ้องฮิลแมนตาไม่กระพริบ
ในดวงตาของฮิลแมนบ่งบอกถึงความตื่นเต้นทว่าเสียงของเขายังคงราบเรียบ “ในทวีปของเรา
เมื่อหลายพันปีมาแล้วปรากฏมีสี่สุดยอดนักรบที่ทรงพลัง สุดยอดนักรบทั้งสี่เป็นเจ้าของพลังเทียบเท่ามังกรร้าย
พวกเขาสามารถเดินเข้าไปในท่ามกลางกองทัพได้อย่างสบายๆและตัดหัวขุนพลในกองทัพได้อย่างง่ายดาย
สุดยอดนักรบเหล่านี้ได้แก่ นักรบเลือดมังกร, นักรบเพลิงม่วง,นักรบพยัคฆ์และนักรบอมตะ”
“พวกนักรบถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับ
ข้า.. เป็นเพียงนักรบระดับที่หกสามารถทำให้หินใหญ่แตกได้ง่ายดายและเตะต้นไม้ใหญ่จนโค่นล้มได้
แต่นักรบระดับเก้าคนหนึ่ง แม้แต่ภายประเทศฟินเลย์ของเราก็ยังถูกมองว่าเป็นนักรบระดับสูง
แต่เหนือกว่านักรบระดับเก้าขึ้นไปก็คือสี่สุดยอดนักรบ พวกเขาอยู่เหนือกว่านักรบระดับเก้าและอาจนับได้ว่าเป็นสุดยอดนักรบก็ได้พวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับนักรบระดับเซียนในตำนาน!”
ตาของฮิลแมนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น“นักรบระดับเซียนในตำนานสามารถละลายภูเขาน้ำแข็งได้
ทำให้ทะเลเกิดคลื่นปั่นป่วนได้ทำให้ภูเขาสูงสั่นสะเทือน ทำให้เมืองที่มีผู้คนเป็นล้านล่มสลายก็ได้
และทำให้อุกกาบาตตกลงมาจากฟากฟ้าก็ได้ พวกเขาเป็นมนุษย์ที่มีพลังสูงสุด”
ความเงียบปกคลุมไปทั่ว
เด็กๆ ตะลึงไปหมดทุกคน
ฮิลแมนชี้ไปทางภูเขาทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
“ดูเมืองอู่ซันสิ ใหญ่ไม่ใช่หรือ?”
ฮิลแมนยิ้ม
หลังจากได้ฟังคำของฮิลแมน
เด็กๆหลายคนกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พวกเขาพยักหน้าทันที อู่ซันสูงเกินพันเมตร
มีขอบเขตล้อมรอบหลายพันเมตร ในสายตาของผู้ใหญ่ นับได้ว่าเป็นภูเขาใหญ่ทีเดียว
“แต่นักรบระดับเซียนสามารถทำลายอู่ซันได้ภายในพริบตาเดียว”
ฮิลแมนพูดยืนยัน
นักรบระดับหกคนหนึ่งสามารถทำลายก้อนหินใหญ่ได้
แต่นักรบระดับเซียนทำลายภูเขาได้ทั้งลูก ปากของเด็กทุกคนอ้าค้าง นัยน์ตาเบิกกว้าง พวกเขาทุกคนตื่นตะลึงไปแล้วและจู่ๆหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวนักสู้ระดับเซียนขึ้นมาอย่างไม่อาจบรรยายได้
“ทำลายภูเขาลูกหนึ่งได้เชียวหรือ?”
คำพูดของฮิลแมนสร้างผลกระทบต่อลินลีย์อย่างมาก
ในช่วงเวลาสั้นๆเด็กที่ตกตะลึงก็กลับไปที่บ้านของพวกเขา
ฮิลแมน,
โรเจอร์และลอร์รี่เป็นพวกสุดท้ายที่ออกมา พอเห็นเด็กๆ ค่อยๆแยกย้ายกลับไปเป็นกลุ่มละสามคนหรือห้าคน
รอยยิ้มก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าของฮิลแมน
“เด็กๆเหล่านี้คือความหวังและอนาคตของอู่ซัน”
ฮิลแมนพูดทั้งยิ้ม
โรเจอร์และลอร์รี่ก็ยังจ้องมองกลุ่มเด็กๆ
ในทวีปนี้ลูกหลานของคนธรรมดาต้องฝึกหนักตั้งแต่อายุยังน้อย พอเห็นเด็กๆแล้วโรเจอร์และลอร์รี่นึกย้อนไปสมัยที่ตนเองยังเด็ก
“หัวหน้าฮิลแมนเป็นคนที่น่าเกรงขามอย่างแท้จริงยิ่งกว่าผู้เฒ่าพอตเตอร์ที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว
ภายใต้การแนะนำของท่าน ข้าเชื่อว่าเมืองอู่ซันจะกลายเป็นเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศเราแน่นอนจะเหนือกว่าเมืองอื่นๆ
อีกสิบเมืองแน่” ลอร์รี่พูดไปยิ้มไป
ความเข้มแข็งของครูผู้สั่งสอนสามารถประเมินถึงอนาคตของสถานที่ได้
“โอ..หัวหน้า ท่านรู้จักเรื่องพลังของนักรบระดับเซียนหรือสุดยอดนักรบทั้งสี่ได้อย่างไร?”
จู่ๆ ลอร์รี่ก็นึกขึ้นได้แล้วถามดู
ฮิลแมนละอายเล็กน้อยจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า“เอ่อ..อ่า.. ความจริงข้าก็ยังรู้ไม่ชัดนักว่าสุดยอดนักรบทั้งสี่มีพลังมากขนาดไหน
ที่สำคัญคือพวกเขาเป็นตำนานเล่าขานที่ไม่เคยถูกพบเห็นมาหลายปีแล้ว”
ลอร์รี่และโรเจอร์ประหลาดใจ “ท่านไม่รู้อะไรเลยแล้วยังไปโกหกเด็กๆอย่างนั้นหรือ?”
ฮิลแมนยิ้มเล็กน้อย “แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยรู้เรื่องความแข็งแกร่งของสี่สุดยอดนักรบ
แต่ข้ารู้ว่าจอมเวทระดับเซียนนี้ อาจกล่าวได้ว่าการบรรลุเป็นจอมเวทระดับเซียนสามารถใช้เวทกำจัดกองทัพได้เป็นหมื่นหรือเมืองทั้งเมือง
เนื่องจากจอมเวทระดับเซียนมีพลังมากนักข้าคาดว่านักรบระดับเซียนก็คงไม่ด้อยไปกว่านี้แน่นอน
“ที่สำคัญมากกว่าเหตุผลที่ข้าบอกเรื่องนี้กับเด็กๆ
เพื่อให้พวกเขาพยายามมากยิ่งขึ้น เจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกเด็กๆ ตื่นเต้นขนาดไหนหลังจากได้ฟังเรื่องนี้”
ฮิลแมนยิ้มอย่างสบายใจ
ลอร์รี่และโรเจอร์พูดไม่ออกทั้งคู่
…..
“ไว้เจอกันนะ ลินลี่ย์”
“ไว้เจอกันนะฮาร์ดลี่ย์”
พออำลาเพื่อนรักอย่างฮาร์ดลี่ย์แล้วลินลีย์ก็เดินกลับบ้านคนเดียว
หลังจากเดินไปได้สักครู่เขาก็เห็นคฤหาสน์บาลุค
พื้นที่ของคฤหาสน์บาลุคกว้างขวาง
ตัวคฤหาสน์ปลูกสร้างไว้มีขนาดไหญ่มีต้นมอสเกาะอยู่บนกำแพงและมีไม้เถาวัลย์เกาะอยู่กำแพง
ร่องรอยชำรุดมีให้เห็นบนกำแพง คฤหาสน์บาลุคตั้งอยู่ในเมืองอู่ซัน เป็นบ้านเก่าแก่ของตระกูลบาลุค
ตัวบ้านทรงโบราณคงอยู่มานานเกินกว่าห้าพันปีและผ่านการบูรณะซ่อมแซมมานับครั้งไม่ถ้วนจนกระทั่งยืนยงมาถึงบัดนี้
แต่ด้วยความตกต่ำถดถอยของตระกูล
ทำให้สถานะการเงินของตระกูลบาลุคกลายเป็นย่ำแย่เช่นกัน จนถึงที่สุด ต้องขายสมบัติเก่าเลี้ยงตระกูล
เกินกว่าร้อยปีมาแล้ว ผู้นำตระกูลบาลุคเจาะจงว่าสมาชิกตระกูลจะต้องมาอาศัยอยู่ที่ลานหน้าบ้าน
ส่วนที่ของคฤหาสน์ที่เหลือไม่ต้องดูแลรักษาอีกต่อไป ด้วยวิธีนี้ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
แต่แม้จะใช้มาตรการเหล่านี้ก็ตามในช่วงเวลานี้
ฮ็อค บาลุคบิดาของลินลีย์ ก็ยังจำเป็นต้องขายสมบัติของครอบครัวเพื่อรักษาสถานะครอบครัวต่อไป
ประตูของซุ้มประตูหน้าถูกเปิด
“นักรบระดับเซียน?”
ขณะเดินไปลินลีย์ยังวนเวียนคิดถึงเรื่องนี้ “ในอนาคตข้างหน้าเราจะเป็นนักรบระดับเซียนได้ไหมนะ?”
“ลินลีย์!” เสียงฮิลแมนดังมาจากด้านหลังของเขา ฮิลแมน, โรเจอร์และลอร์รี่ตามเขาทันจนได้
ลินลีย์หันมาและพูดอย่างดีใจว่า“ลุงฮิลแมน!”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ลินลี่ย์สูดลมหายใจลึก
เงยหน้ามองฮิลแมน ถามฮิลแมนด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า“ลุงฮิลแมน!
นักรบระดับเซียนยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? แล้วข้าล่ะ
เป็นไปได้ไหมที่ข้าจะกลายเป็นนักรบระดับเซียน?” ในใจลินลี่ย์ก็มีควมต้องการเหมือนกับเด็กทุกคน
ฮิลแมนตะลึงนอกจากเขาแล้ว
โรเจอร์และลอร์รี่ก็พูดไม่ออกเช่นกัน
นักรบระดับเซียนเหรอ?
“เด็กคนนี้กล้าฝันยิ่งใหญ่จริงๆ
ประเทศฟินเลย์มีพลเมืองเป็นล้าน แม้อย่างนั้น หลายประเทศนับไม่ถ้วนไม่ได้มีนักรบระดับเซียนเลยแม้แต่คนเดียว
สำหรับเรื่องเจ้าต้องการจะเป็นนักรบระดับเซียนนั้น...” ในใจฮิลแมน
เขาเข้าใจชัดเจนว่ามันยากเย็นขนาดไหนกว่าจะเป็นนักรบระดับเซียนได้
ต้องเป็นคนที่พากเพียรหนักมาตั้งแต่เยาว์วัย
ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลชนชั้นสูงและต้องมีพรสวรรค์อีกด้วยต้องอาศัยวาสนา แล้วจะเป็นนักรบระดับเซียนกันง่ายๆได้อย่างไร?
ฮิลแมนรู้ดีเขาต้องทนทุกข์ขนาดไหนกว่าจะได้เป็นนักรบระดับหกได้ต้องผ่านประสบการณ์ต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนับครั้งไม่ถ้วน
แม้ว่านักรบระดับหกก็เป็นกันได้ยากแล้วนักรบระดับเจ็ด, แปดและเก้าก็ยิ่งหนักกว่า
แล้วนักรบระดับเซียนเล่า? แม้แต่จะฝันเขาก็ยังไม่กล้าฝันที่จะเป็นนักรบระดับเซียนด้วยซ้ำ
แต่ก็เขาเผชิญกับแววตากระตือรือร้นของลินลีย์
“ลินลี่ย์! ลุงฮิลแมนเชื่อในตัวเจ้า ลุงมั่นใจว่าเจ้าจะกลายเป็นนักสู้ระดับเซียนได้”
พลางจ้องดูลินลีย์ฮิลแมนพูดอย่างหนักแน่น คำพูดเหล่านี้ทำให้นัยน์ตาของลินลีย์เป็นประกาย
ความทะเยอทะยานก็เพิ่มมากขึ้นในใจลินลีย์เช่นกัน
เป็นความปรารถนาที่แรงกล้าอย่างหนึ่ง
“ลุงฮิลแมน! ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าขอฝึกเช่นเดียวกับเด็กอายุสิบขวบได้ไหม?”
ลินลีย์ถามขึ้นทันที
ฮิลแมน,โรเจอร์และลอร์รี่ต่างก็จ้องดูลินลี่ย์อย่างประหลาดใจ
“ท่านพ่อของข้ามักบอกข้าไว้
ถ้าข้าต้องการเป็นบุรุษผู้ไร้เทียมทาน อย่างนั้นก็ต้องฝึกให้หนักกว่าคนอื่นๆ”
ลินลี่ย์เลียนแบบคำพูดของบิดาเขาโดยไม่รู้ตัว
ฮิลแมนยิ้มทันทีเขาได้เห็นผลของการฝึกของลินลีย์ในวันนี้แล้ว
แม้ว่าลินลี่ย์จะมีอายุแค่เพียงหกขวบ แต่สภาพร่างกายเขาเทียบได้กับเด็กเก้าขวบ เขาพยักหน้ายิ้มทันที “ก็ได้
แต่จะให้ดีที่สุดเจ้าจะต้องไม่เกียจคร้าน เจ้าต้องตระหนักไว้ว่านี่ไม่ใช่แค่วันหรือสองวันก็จะสำเร็จได้มันเป็นการฝึกที่ยาวนาน
ลินลีย์เชิดศีรษะน้อยๆด้วยความภูมิใจ
เขายิ้มอย่างมั่นใจ“ลุงฮิลแมน! ลุงคอยดูก็แล้ว”
นี่เป็นยามเช้าในเมืองอู่ซันที่ปกติมาก
อย่างไรก็ตาม ทุกๆ เช้าก็เป็นเช่นนี้เหมือนเดิม กลุ่มเด็กๆ ชาวอู่ซันจะเดินตามฮิลแมนนักรบระดับหก
และฝึกหนักภายใต้คำแนะนำของเขา มีสิ่งที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือลินลีย์เด็กหกขวบถูกจัดให้อยู่ในทีมเด็กกลางๆ
คือกลุ่มเด็กสิบขวบ
++++++++++++++
5 ความคิดเห็น:
ลินลีย์มาแล้ว ขอบคุณมากๆ ครับ ที่เอามาแปลต่อ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากค่ะ
จากต่อยเปลี่ยนเป็น ชก นาจะดีกว่านะครับ
แสดงความคิดเห็น