วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

ยอดยุทธไร้เทียมทาน ตอนที่ 249 ชนะ

ตอนที่  249  ชนะ

ดาบเพลิงแดงปรากฏอยู่ต่อหน้าถังเทียนทันที เขาตวาดออกมา “หิมะสายฟ้า!

หิมะสายฟ้าเข้าใจความคิดของถังเทียนได้ทันที แขนทั้งสองที่กางออกพลันประกบเข้ามาทันใดแผ่นกระดานใสวิชาประทับหัตถ์ใหญ่ก่อรูปอยู่ต่อหน้าเขา เหมือนกับไม้ซุงที่ใช้กระแทกประตูเมืองได้ชนปะทะดาบเพลิงโดยตรง
สีหน้าของม่อจื่อหวีเปลี่ยนทันที  เขาไม่เคยคิดว่าคู่ต่อสู้จะใช้วิธีที่อุกอาจโจมตีใส่ดาบของเขา
ปัง!
พลังที่รุนแรงกระแทกใส่ดาบ
ดาบที่ใช้ปราณแท้ควบคุมอยู่แต่เดิมสูญเสียการควบคุมทันที  ขณะที่ชั้นรังสีดาบระเบิดออกไปทุกทิศ  เหมือนเมื่อรังต่อระเบิด ตัวต่อก็บินไปทั่วทุกทิศ  ดูเหมือนกับพลุไฟมากกว่า
ม่อจื่อหวีที่เตรียมจะใช้เคล็ดสังหารถึงกับสบถออกมา ปราณแท้ในร่างของเขาปั่นป่วนและทั้งตัวเขาไม่สามารถขยับได้
ทันใดนั้นเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของเขา
 “หิมะสายฟ้า!
โดยไม่มีคำเตือน ร่างสีฟ้าพุ่งเข้าชนคางของปะการังดังปัง.. และเรี่ยวแรงที่ทรงพลังส่งให้มันลอยละลิ่วในท้องฟ้า
แม้ว่าศีรษะของม่อจื่อหวีจะมีอาวุธจักรกลปกป้องไว้  แต่ภายใต้พลังโจมตีที่รุนแรง สมองของเขาก็ได้รับความกระเทือนเช่นกัน
ไม่ดีเลย!
ม่อจื่อหวีเป็นนักสู้สายจักรกลที่มีความเชี่ยวชาญมาก  โดยไม่ต้องคิดอะไรเขารู้แล้วว่าสถานการณ์ของเขาอาจจบลง  แต่ว่าท่าโจมตีของถังเทียนทำให้ปราณแท้ทั้งหมดในร่างของเขาปั่นป่วน เมื่อสูญเสียการควบคุมปราณแท้ สำหรับนักสู้สายจักรกลนั่นก็คือพ่ายแพ้
ปัง!
ที่หลังของเขา เขารู้สึกถึงแรงปะทะที่ทรงพลัง  ถ้าไม่ใช่พลังป้องกันของอาวุธจักรกล  หลังของม่อจื่อหวีคงไม่เหลือแน่
ปะการังกลายเป็นริ้วแสงสีแดงในอากาศพุ่งกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง
อิฐนับไม่ถ้วนปลิวกระเด็น และในหลุมตื้นนั้นปกคลุมไปด้วยรอยแตกรอยร้าว ปะการังนอนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง
ถนนใหญ่ตลอดสายเงียบเป็นป่าช้า
สายลมกระโชกพัดแรง หิมะสายฟ้ายังลอยอยู่ในอากาศ ชิ้นส่วนชำรุดบนร่างของมันทั้งหมดที่ถูกลมพัดใส่ส่งเสียงดังแคล้งๆ อยู่ในท่ามกลางถนนเงียบ  ทุกคนได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
ปลาปะการังถือว่ามีชื่อที่สุดในตระกูลม่อ  นอกจากหอคอยห้าวหาญแล้ว เขาเป็นนักสู้สายจักรกลที่แข็งแกร่งที่สุด  แต่นักสู้สายจักรกลที่แข็งแกร่งที่สุดนี้ กลับพ่ายแพ้วีรบุรุษไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง
ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นศิษย์ของตระกูลม่อ และพวกเขารู้จักความแข็งแกร่งของม่อจื่อหวีดี  ปะการังคืออาวุธจักรกลที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากหอคอยห้าวหาญ และพวกเขาใช้ทุนถึง 30 ล้านเหรียญดาวเพื่อสร้างมัน  แต่อาวุธจักรกลนี้กลับถูกอาวุธจักรกลชำรุดที่เหมือนจะพังได้ตลอดเวลาถล่มยับเยิน
ศิษย์ทุกคนกำลังมองดูด้วยความโกรธแค้น
นี่คือเมืองม่อเฉิงและการแข่งขันมีอยู่ทั่วทุกมุม ตระกูลม่อจะทนอับอายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  ศิษย์บางส่วนที่ไร้ยางอายก้าวออกมาจากฝูงชน ในถนนที่เงียบอยู่ก่อนนั้นเพิ่มชุดอาวุธจักรกลมากกว่ายี่สิบชุด
ในห้องใต้หลังคาห่างออกไป ท่านจางที่ตอนแรกตกใจเพราะฝีมือของถังเทียน ปล่อยเสียงหัวเราะลั่น  “นั่นคือตระกูลเก่าแก่!  พวกเขาจะเรียกตัวว่าตระกูลเก่าแก่ได้อย่างไร ถ้าพวกเขาไม่เด็ดขาด?”
หลิ่วย่าจือมองดูเงียบๆ  นัยน์ตาของเขาจับจ้องดูอาวุธจักรกลชำรุดนั้น
อาวุธจักรกลนั้นนอกจากมีสภาพที่น่าอนาถ ยังสามารถใช้ปราณแท้ระดับห้าได้ ความจริงด้วยระบบการทำงานอย่างนี้ ยังไม่อาจเทียบได้กับคิงคองเลยแม้แต่น้อย  แต่ความเคลื่อนไหวที่อาจหาญก่อนหน้านั้นทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว  เป็นอาวุธจักรกลที่ว่องไวเหลือเกิน
มีอาวุธจักรกลที่คล่องแคล่วว่องไวขนาดนั้นอยู่ในโลกด้วยหรือนี่!
เมื่อเทียบกันแล้ว  แม้ว่าคิงคองของเขาจะทรงพลังมาก แต่มันก็ยังงุ่มง่ามมาก ที่ทำให้สั่นสะท้านเสียวสันหลังก็คือความเชี่ยวชาญที่น่ากลัวขนาดนั้น บวกกับรูปแบบการโจมตีจากอากาศ ถ้าเขาสู้กับมัน เขาจะมีโอกาสชนะหรือไม่?
เขาไม่มั่นใจ
มันแตกต่างจากอาวุธจักรกลที่เขาเคยพบมาก่อนนั้น ระบบการทำงานอาวุธจักรกลที่ลึกลับนั้นยังไม่เข้ากันดีเท่าไหร่ และนักสู้สายจักรกลนั้นมีพลังสูงส่ง เข้ากันได้เป็นอย่างดี  พลังที่สมบูรณ์แบบนั้นทำให้หลิ่วย่าจือไม่ต้องการสู้กับเขาแม้แต่น้อย
นอกจากความว่องไวของอาวุธจักรกลที่เห็นแล้ว  ในแง่มุมอื่นยังนับว่าไม่มีอะไรดี  แต่นักสู้สายจักรกลผู้นั้นเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากการต่อสู้ได้ดี ทั้งที่การผสานยังไม่สมบูรณ์ แต่กลับร่วมมือกันได้ดีอย่างคาดไม่ถึง และยากจะรับมือได้
จุดนั้นทำให้หน้าของหลิ่วย่าจือยิ่งบิดเบี้ยวน่าเกลียด
เจ้าหมอนั่นโผล่ออกมาจากไหนกันแน่?
ทันใดนั้น เสียงเย็นชาดังออกมาจากด้านหลังของศิษย์ทุกคน
 “ทุกคน ถอยออกไป!
ศิษย์ทุกคนของตระกูลม่อพากันสั่น ขณะที่พวกเขาหันไปมองบุรุษวัยกลางคนที่แต่งตัวคล้ายชาวนาที่มีใบหน้าเขียวคล้ำปรากฏตัวอยู่บนถนน
 “ปรมาจารย์เหล่ง!” ศิษย์ทุกคนทักทายพร้อมกัน
ทุกคนสูดหายใจหนาวเหน็บ ขณะที่สายตาทุกคนจับจ้องอยู่ที่บุคคลผู้แต่งตัวมอซอผู้นี้  ในเมืองม่อเฉิง ผู้ที่ได้รับยกย่องเรียกว่าปรมาจารย์เหล่ง มีอยู่เพียงคนเดียว และนั่นก็คือม่อเหล่ง  ปรมาจารย์วิศวจักรกลของตระกูลม่อ  ตำแหน่งปรมาจารย์ทางด้านวิศวจักรกลมิใช่ว่าจะได้มาง่าย  ในสวรรค์วิถีทั้งหมด พวกที่รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์วิศวกรจักรกล แทบจะนับด้วยนิ้วมือข้างเดียวได้เลย และทั้งหมดนั้นมีความรู้เรื่องจักรกลในระดับที่สูงส่ง
ตระกูลม่อมีความสามารถเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรกลสุดขอบฟ้าได้ ก็เพราะพวกเขามีปรมาจารย์วิศวจักรกลอยู่กับพวกเขา
นี่นับเป็นครั้งแรกที่หลายๆ คนได้เห็นม่อเหล่ง
ส่วนม่อเหล่งทำเป็นไม่ได้ยินคำทักทายของพวกเขา เขาเดินเฉียดไหล่เหล่าศิษย์ในตระกูลไปทีละคน และเดินตรงไปหาถังเทียนและถาม  “ใครเป็นคนสร้างอาวุธจักรกลนี้?”
ถังเทียนชี้ไปที่ประตูลานบ้าน “นางอยู่ข้างใน”
เขาหันหน้าไปอีกทางโดยไม่พูดอะไรและเดินตรงเข้าไปในลานบ้านโดยไม่สนใจถังเทียน
แต่ถังเทียนคาดเดาได้แล้วว่าใครตั้งคำถามกับเขา และเดาสถานะของคนผู้นี้ได้ ใจของเขาพองโต เขาสู้มาเป็นเวลานานทีเดียว ก็เพื่อดึงดูดให้ระดับสูงของตระกูลม่อปรากฎตัวไม่ใช่หรือ?
ปรมาจารย์วิศวจักรกล เขาน่าจะมีอำนาจเพียงพอ!
ถังเทียนวิ่งตรงเข้าไปที่ลานบ้าน
ศิษย์ทุกคนมองกันเองอยู่นาน  พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง
 “พาจื่อหวีกลับไป  ตรวจดูว่าเขาบาดเจ็บหนักหรือไม่”  เสียงเย็นชาดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา
ทุกคนหน้าซีดกันหมด  เป็นประมุขตระกูลนั่นเอง!
ม่อเว่ยเทียนเดินผ่านพวกเขาทุกคนไปด้วยสีหน้าเย็นชา ทำให้ทุกคนชะงักอยู่กับที่ไม่กล้าขยับตัวสักนิ้ว  อำนาจของประมุขตระกูล คนภายนอกไม่มีวันเข้าใจได้
ม่อเว่ยเทียนเข้าไปในลานบ้านและมีนักสู้ใบหน้าเย็นชาสองสามคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก  นักสู้สองสามคนเหล่านี้มีปราณที่แข็งแกร่งและอันตราย  ทุกคนเป็นนักสู้สวรรค์วิถี  สำหรับตระกูลเก่าแก่ด้านจักรกลที่มั่งคั่ง การจ้างนักสู้สองสามคนเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
เมื่อม่อเว่ยเทียนปรากฏตัว  หลิ่วย่าจือและท่านจางมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
พวกเขามองหน้ากันเอง ลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นในใจพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านจาง เขาเค้นสติปัญญาของเขา  ทุกสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องคุยโตทั้งหมด และเมื่อจ้องมองลงไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนกับเป็นการตบหน้าของเขา ทำให้สีหน้าของเขาบัดเดี๋ยวแดง บัดเดี๋ยวสีเขียวสลับกันไป  หลิ่วย่าจือไม่มีแก่ใจเยาะเย้ยเขา  ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยฝีมือของอาวุธจักรกลลึกลับ  นั่นทำให้กลุ่มของผู้อาวุโสสูญเสียความเชื่อมั่นเขาไปแล้ว  ถ้างานนี้ยังผิดพลาดอีก  อย่างนั้นวันคืนของเขาในองค์การก็คงจะนับวันได้เลย
สำหรับองค์การแล้ว  งานนี้ถือว่าสำคัญมาก!
 “ตอนนี้เราจะทำยังไงดี?”  หลิ่วย่าจือถามเสียงอ่อย  เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการวางแผน
ท่านจางสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็ว แววดุร้ายฉายผ่านหน้าเขา  เขาตอบ “รอให้คนของตระกูลม่อออกไปก่อน...”
เขาทำท่ามือเหมือนตัดศีรษะ ทำให้หัวใจของหลิ่วย่าจือสั่นไหว
มีความคิดที่สอง แต่มีความรู้สึกว่าเป็นวิธีที่ง่ายและทรงประสิทธิภาพที่สุด  ตราบใดที่ทั้งสองคนถูกกำจัด ฝ่ายตรงข้ามจะไม่สามารถหยุดสิ่งที่จะมาถึงได้  แต่ถ้าตระกูลม่อรู้ว่าเป็นพวกเขา  อย่างนั้นพวกเขาจะไม่มีทางออก  สายตาของเขากวาดมองไปที่คนสองคนที่อยู่นอกลานบ้าน  ทุกคนนั้นเป็นนักสู้ระดับสวรรค์วิถี  เขาไม่กลัวเลย
 “ให้มู่จื่อจัดการเรื่องนี้”  ท่านจางกล่าว  “ความเคลื่อนไหวของเขารวดเร็ว”
หลิ่วย่าจือลังเลชั่วขณะและไม่มีปฏิกิริยาอะไร  เขาพูดถูก คิงคองโดดเด่นมากเกินไป  ถ้าพวกเขาสู้กันชื่อเสียงของเขาจะต้องเป็นที่รู้จัก
มู่จื่อ...
หลิ่วย่าจือคิดถึงคนๆ หนึ่ง แล้วอดสะท้านใจไม่ได้ ไม่มีใครกล้าขัดใจมู่จื่อ เขาเป็นคนอันตรายในองค์การ เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งติดทำเนียบนักสู้สวรรค์วิถีและการเอาชนะนักสู้ระดับสวรรค์วิถีสองสามคน เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
 “ข้าจะต้องชิงลงมือก่อน” ประกายอำมหิตปรากฏอยู่ในดวงตาของท่านจาง
หลิ่วย่าจือตกใจ  “ม่อเว่ยเทียนกับม่อเหล่งยังคงอยู่ตรงนั้น
 “จะมีอะไรขู่ขวัญมากไปกว่าฆ่านักสู้สองคนต่อหน้าพวกเขา?”  ท่านจางกล่าวเย็นชา  “ข้าคิดว่ามันผ่านไปแล้ว  ก่อนหน้านั้นเราใช้วิธีที่ใจดีเกินไป และนั่นคือข้อผิดพลาดของข้า  เราไม่ควรให้ตระกูลม่อลังเลใจอีก  เราต้องให้พวกเขารู้ว่า ตระกูลเก่าแก่หมีหมาอันใด ก็แค่มดแมลงอ่อนแอเท่านั้น  ในโลกนี้มีหลายอย่างที่เหนือกว่าพวกเขา  เราแข็งแกร่งกว่าพวกเขาแน่นอน”
หลิ่วย่าจือไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้อีก เนื่องจากเขาเห็นท่านจางลงบันไดหายลับสายตาไป
ถังเทียนยังคงยืนสงบอยู่ข้างๆ โดยมีหิมะสายฟ้ายืนอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ม่อเหล่งลูบคลำตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง  เซรีนยังคงยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าของนางกังวล  เขาเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นเป้าหมายของนางในอดีต
 “อย่าทำอย่างนี้ได้ไหม....”
หิมะสายฟ้าโอดครวญและประท้วงถังเทียนอย่างอ่อนอกอ่อนใจผ่านการติดต่อทางใจ เขาปลอบโยนมันทันที “ไม่เป็นไรหรอกน่า  ให้เขาแตะนิดแตะหน่อย  เจ้าไม่เสียหายอะไรสักหน่อย”
ม่อเว่ยเทียนมองดูถังเทียนด้วยความสนใจ  ม่อเหล่งอยู่กับอาวุธจักรกลทำให้เขาเบาใจได้  เขาจึงให้ความสนใจถังเทียนมากขึ้น  จากการต่อสู้นั้น เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง  สำหรับเขาแล้ว ม่อจื่อหวีไม่มีข้อผิดพลาดอะไร  ตรงกันข้าม  เขาระมัดระวังมากและไม่เปิดช่องว่างแต่อย่างใด  แต่รูปแบบการต่อสู้ของคู่ต่อสู้ดูเหมาะสมเหตุสมผลและด้วยเหตุนี้จึงสร้างโอกาสให้ตัวเขาเอง
สำหรับหลายๆ คนม่อจื่อหวีแพ้อย่างอยุติธรรม
แต่ม่อเว่ยเทียนไม่ได้เห็นทำนองนั้น  คนผู้นี้ที่อยู่ต่อหน้าเขา ไม่ใช่คนที่ใช้วิธีต่อสู้แบบดั้งเดิม และทำให้เขานัยน์ตาเป็นประกาย  เขาเชื่อว่าถังเทียนจะชนะได้อย่างง่ายดาย ต่อให้ถังเทียนกับม่อจื่อหวีสู้กันอีกครั้ง
สำหรับเขาแล้วเห็นว่าโอกาสที่นักสู้สายจักรกลจะเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างถังเทียนมีน้อยนิด
ม่อเว่ยเทียนไม่ได้เชี่ยวชาวญอาวุธจักรเท่ากับม่อเหล่ง  แต่ในฐานะที่เป็นประมุขตระกูลม่อ  เขาเป็นผู้มองการณ์ไกลและละเอียดสุขุม และสามารถอยู่ในมุมสูงเพื่อแก้ปัญหา
รูปแบบการต่อสู้นี้เป็นการฉีกกฎเกณฑ์การต่อสู้แบบเก่า มันโดดเด่นมากและต้องการคุณสมบัติชั้นสูงจากอาวุธจักรกล  อาวุธจักรกลธรรมดาไม่มีทางคล่องแคล่วว่องไวได้ขนาดนั้น
ตอนนี้ อาวุธจักรกลมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกที  อาวุธจักรกลสูงสามหรือสี่เมตรสามารถพบเห็นได้บ่อยขึ้น
สำหรับความรู้ของทุกคน อาวุธจักรกลจะต้องหนาแน่น หนัก งุ่มง่าม, แข็งแกร่งและมีพลังป้องกันอย่างดี
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญกับอาวุธจักรกลที่ประณีตขนาดนั้น
พอถึงตอนนี้ ม่อเหล่งหยุดเคลื่อนไหวและขมวดคิ้ว

3 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

windwolf กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น