วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

Panlong ตอนที่ 7-12 ยอมช่วยเหลือ




ตอนที่  7-12  ยอมช่วยเหลือ

การเดินทางบนเส้นทางสายรกร้างนี้ องค์ชายรองชาร์คแห่งเฟนไลมักสบถสาปแช่งอสูรเวทอย่างเหลืออด ในระยะห่างๆ นี้เองลินลี่ย์รีบถอดแหวนมิติเก็บสมบัติออกจากนิ้วและเก็บไว้ในกระเป๋าของเขา

 “ราชวงศ์ของเฟนไลแบ่งกองทหารเป็นหลายกลุ่มเมื่อพวกเขาออกจากอาณาจักร  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคงต้องเตรียมสถานที่ซึ่งพวกเขาจะได้พบกันไว้แน่”
ลินลี่ย์กำลังกังวลเรื่องสถานที่ที่เขาจะไปตามหาเคลย์  แต่ตอนนี้ฟ้าส่งชาร์คและกองกำลังของเขามาให้เขา แล้วลินลี่ย์จะไม่ดีใจได้ยังไง?  นอกจากนี้ลินลี่ย์สามารถเดาได้ว่า เมื่อเขาพยายามสังหารเคลย์แล้วถูกศาสนจักรเจิดจรัสจับตัวไว้ ทางศาสนจักรที่ตั้งใจไว้แต่เดิมจะใช้งานเขา จึงมีแนวโน้มว่าเคลย์จะถูกสั่งให้เงียบ
 “บางทีชาร์คผู้นี้ยังไม่ทราบว่าปีศาจที่พยายามสังหารบิดาของเขาก็คือข้าเอง”
ขณะที่เขากำลังคิดเรื่องเหล่านี้  ลินลี่ย์เริ่มเดินตรงไปที่ชาร์ค
ลินลี่ย์ก็ยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน  “ถ้าชาร์ครู้ว่าข้าพยายามฆ่าบิดาของเขา  อย่างนั้นพวกเขาก็จะไม่มีใครรอดชีวิต”  คนของชาร์คแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับอสูรเวททั้งหมดที่พวกเขาผ่านมา  แต่หากจะเทียบกับลินลี่ย์และบีบีทั้งสองที่ผิดปกติธรรมดานี้ พวกเขานับว่าไม่มีอะไรเลย
 “คารวะ, องค์ชายรอง!
ลินลี่ย์ส่งเสียงเรียกด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
ชาร์คกำลังนั่งกินเนื้อย่างพลางสบถไปด้วย ได้ยินเสียงตะโกนของลินลี่ย์  เขาหันศีรษะไปมองลินลี่ย์  ขณะที่เขาทำอย่างนั้น ลินลี่ย์กับบีบีก็มองเขาอย่างระมัดระวังด้วย และให้ความสนใจทุกสีหน้าอาการของเขาขณะจ้องมอง
 “ถ้าดูเหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้เราลงมือคร่ากุมก่อน จากนั้นค่อยฆ่า!” ลินลี่ย์มองตาและหน้าของชาร์คอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นลินลี่ย์ ชาร์คลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น  เขาพุ่งเข้ามาหา ร่างของเขากำยำสูงประมาณสองเมตรและเขาดึงลินลี่ย์เข้ามากอดทันที  น้ำเสียงของเขาดีใจมากขณะกล่าว “ใต้เท้าลินลี่ย์! ท่านออกมาได้อย่างปลอดภัยจริงๆด้วย วิเศษ นี่มันวิเศษจริงๆ!
 “ข้ามีดีใจมากจริงๆ ที่ได้พบท่านที่นี่ องค์ชายรอง!” ลินลี่ย์ตรวจไม่พบพิรุธในดวงตาและสีหน้าของชาร์ค  เขาพอใจในตัวเอง
ลินลี่ย์คาดการณ์ถูก เคลย์ถูกศาสนจักรเจิดจรัสปรามให้นิ่งเงียบไว้และนั่นทำให้เขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องปีศาจที่พยายามสังหารเขาว่าคือลินลี่ย์ ไม่ว่าเคลย์จะกล้าเพียงไหน เขาก็ยังไม่กล้าขัดคำสั่งของศาสนจักรเจิดจรัสโดยตรง
 “ใต้เท้าลินลี่ย์ ท่านกินอะไรมาบ้างหรือยัง? มาเถอะ มากินกับเรา” ชาร์คพูดอย่างเป็นกันเอง
ตอนนี้, ชาร์คไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังเดินอยู่ในห้วงความเป็นความตาย ถ้าเพียงแต่ตอนนี้ เขาแสดงสีหน้าท่าทางที่ผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาจะต้องตาย
 “ใต้เท้าลินลี่ย์, โปรดอย่าตำหนิพระบิดาข้าว่าไม่ช่วยท่านเลยนะ  ฝูงสัตว์ประหลาดพวกนั้นมารวดเร็วเกินไป  พระบิดาของข้าไม่มีทางเลือก เขาไม่สามารถพาพระสนมของเขาไปได้ทั้งหมดด้วยซ้ำ  แค่นำไปได้เฉพาะกลุ่มคนที่สำคัญที่สุด” ชาร์คอธิบายถึงพฤติกรรมของบิดาของเขา
 “ข้าเข้าใจ” ลินลี่ย์พยักหน้าขณะที่เดินตรงเข้ามาที่ตั้งค่าย
อัศวินฝีมือดีเหล่านั้นทั้งหมดทำให้ลินลี่ย์นึกถึงอัศวินของกองกำลังพายุสายฟ้าที่เขาต่อสู้ด้วยตอนที่เขาจู่โจมเคลย์ที่วังหลวง  อัศวินที่อยู่ต่อหน้าเขามีกลิ่นอายและการกระทำที่คล้ายกัน นอกจากเหล่าอัศวินประมาณสามสิบคนแล้ว ยังมีสุภาพสตรีค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งและเด็กหญิงวัยราวๆ ห้าหรือหกขวบอีกคน
 “ถวายบังคมพระสนม, องค์หญิง”
ลินลี่ย์คำนับสตรีทั้งสองคนทันที
พระสนมผู้งดงาม ดูสุภาพวัยราวๆ สี่สิบปี แต่นางดูเหมือนกับว่ามีอายุราวสามสิบปี นางเป็นสตรีที่มีเสน่ห์น่าลุ่มหลง  พระสนมหัวเราะทันที  “ลินลี่ย์ ,  เมื่อฝ่าบาทเสด็จจากไปอย่างตระหนกตกใจ  เขาไม่ได้พาจอมเวทไปกับเขาด้วยเลยสักคน  และเขารู้สึกมั่นใจว่าศาสนจักรเจิดจรัสจะต้องมาช่วยเจ้า ดังนั้น....”
ทั้งชาร์คและพระสนมต่างก็แก้ต่างให้เคลย์ทันที
ชาร์คและพระสนมรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นต้องรักษาสัมพันธ์ที่ดีกับลินลี่ย์ไว้  พวกเขาไม่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างลินลี่ย์กับเคลย์
 “ข้าเข้าใจ” แต่ในใจลินลี่ย์กำลังหัวเราะอย่างเย็นชา  ก่อนนั้นเมื่อเขาสู้กับคนของเคลย์ในวัง  ลินลี่ย์สังเกตไว้แล้วว่า เหล่าองครักษ์ประกอบด้วยพวกอัศวินล้วนๆ ไม่มีนักเวทปรากฏตัวให้เห็น  ในทำนองเดียวกัน ไม่มีนักเวทปรากฏตัวที่นี่หรือในกองทหารของชาร์คด้วยเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเคลย์หนี  เขาไม่มีเวลาตามตัวนักเวทของเขาแม้แต่น้อย
แม้ว่านักเวทจะมีประโยชน์มากเมื่อเกิดการต่อสู้  แต่เวลานี้พวกเขาได้แต่หนี ไม่ได้สู้กับอสูรเวท  การนำจอมเวทไปด้วยจะทำให้การเดินทางล่าช้า  จอมเวทจะเดินทางได้เร็วและทรงพลังเท่านักรบได้ยังไง?  นักรบที่แข็งแกร่งทรงพลังมากบางคนสามารถวิ่งได้ราวกับลมพัด แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีม้าก็ตาม  แต่นักเวทเล่า?
……….

บนเส้นทางสายเปลี่ยวร้าง ชาร์คและกองทหารของเขายังคงรีบเร่งเดินทางไม่หยุด บางส่วนของหมู่บ้านที่เคยเจริญที่ได้พบเห็นระหว่างทางล่มสลายพังทลายเหลือแต่เถ้าถ่าน  ซากศพที่เน่าเปื่อยมีให้เห็นทุกที่  ในแผ่นดินที่รกร้างนี้ เหล่าอสูรเวทที่ได้พบเห็นอยู่เดี่ยวบ้าง เป็นคู่บ้าง
มนุษย์ผู้โชคดีเหล่านั้นพยายามหลบหนีการประหารหมู่ครั้งแรกได้ในที่สุดก็ถูกไล่ตามทันถูกพวกอสูรเวทเร่ร่อนเหล่านี้จับกิน
 “อาณาจักรเฟนไลของเราจบสิ้นแล้ว”
ชาร์คขี่ม้าเคียงข้างลินลี่ย์  ขณะที่กล่าวอยู่บนหลังม้าเขาสามารถมองเห็นได้ไกลๆ   บางทีอสูรเวทเตรียมจะโจมตีพวกเขา  แต่อัศวินพายุสายฟ้ากำจัดพวกมันได้อย่างง่ายดาย ชาร์คกับลินลี่ย์สนทนากันได้โดยไม่ถูกรบกวน
 “มีแนวโน้มว่าในคราวนี้พลเมืองอาณาจักรเฟนไลคงตายไปเก้าในสิบส่วน”  หน้าของลินลี่ย์เต็มไปด้วยความเสียใจสิ้นหวังเหมือนกัน
ชาร์คพยักหน้าเล็กน้อย
ในใจของเขา ชาร์คก็คงอาลัยอาวรณ์ อาณาจักรเฟนไลที่ล่มสลายก็หมายความว่าตระกูลของเขาไม่ใช่ราชวงศ์อีกต่อไป  เมื่อไม่มีอาณาจักรให้ปกครอง แล้วยังจะมีราชวงศ์ได้อย่างไร?
 “ยังโชคดีอยู่บ้าง...” ความคิดของชาร์คพลันนึกถึงการ์ดแก้วเครดิตเวทในกระเป๋าของเขา  ด้วยการ์ดเครดิตเวททั้งห้าใบนี้ แม้ว่าราชวงศ์เฟนไลจะไม่มีอาณาจักรอีกต่อไป แต่คงไม่ยากเกินไปที่พวกเขาจะกลายเป็นตระกูลที่ทรงพลังอีกครั้ง  ต้องขอบคุณความมั่งคั่งที่สั่งสมมาเป็นพันปีของพวกเขา  ทันใดนั้นลินลี่ย์ถามขึ้น “องค์ชายรอง  เราจะไปพบกับฝ่าบาทที่ไหนกัน?”
วัตถุประสงค์ที่ลินลี่ย์เดินทางพร้อมกับชาร์คก็เพื่อให้รู้ว่าเคลย์อยู่ที่ใด
ชาร์คกล่าวอย่างจนใจ  “ใต้เท้าลินลี่ย์  แต่เดิมทีพระบิดาของข้าและข้าไม่ได้คาดเลยว่าขอบเขตของภัยพิบัติจะกว้างขวางนัก  ดังนั้นจุดนัดพบทั้งสองจุดที่เรานัดหมายไว้แต่เดิมภายในพรมแดนอาณาจักรเฟนไลในตอนนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว  ตอนนี้สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือทำตามแผนเดิมของเรา มุ่งหน้าขึ้นเหนือ  เมื่อไปถึงเมืองที่ข้าและพระบิดาข้ากำหนดหมายไว้  เราก็จะหยุด ถ้าเมืองนั้นปลอดภัยนะ”
ลินลี่ย์เข้าใจทันที
เคลย์และชาร์คกำหนดหมายเมืองไว้มากกว่าหนึ่งแห่งเป็นจุดนัดพบที่เป็นไปได้  พวกเขามักจะกำหนดเมืองที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือจากอาณาจักรเฟนไล  เมืองไหนก็ตามที่ปลอดภัยก็จะเป็นเมืองที่พวกเขาหยุดพัก
 “แล้วเมืองไหนกันที่ท่านกับฝ่าบาทกำหนดให้เป็นจุดนัดพบ?”  ลินลี่ย์ถามกลั้วเสียงหัวเราะ
ชาร์คไม่สงสัยแม้แต่น้อย  เขาตอบทันที “มีอยู่ไม่กี่เมือง บางเมืองก็อยู่ในอาณาจักรเฟนไล  ขณะที่เมืองอื่นๆ อยู่ในอาณาจักรและแคว้นทางเหนือ  เรายังกำหนดแม้กระทั่งเมืองในจักรวรรดิโอเบรียน”
 “จักรวรรดิโอเบรียน?”  ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะ
ชาร์คกล่าวอย่างละอาย “พระบิดาของข้ากังวลว่าอสูรเวทเหล่านี้อาจชิงพื้นที่สหภาพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด  ถ้าเป็นอย่างนั้น  เราคงถูกบังคับให้หนีขึ้นไปยังจักรวรรดิโอเบรียน  จักรวรรดิโอเบรียนเป็นจักรวรรดิที่มีกำลังทหารแข็งแกร่งที่สุดในทวีปยูลาน และสามารถหยุดยั้งอสูรเวทเหล่านั้นได้แน่นอน”
ลินลี่ย์รู้มากกว่าชาร์คเสียอีก
จักรวรรดิโอเบรียนไม่มีแต่มีแค่กองทัพที่ทรงอานุภาพเท่านั้น  แต่ยังมีเทพสงครามโอเบรียน
ตราบใดที่เทพสงครามโอเบรียนปรากฏตนออกกมา  แม้แต่ราชันย์แห่งเทือกเขาสัตว์วิเศษจะต้องไตร่ตรองอย่างจริงจังว่าการบุกจักรวรรดิโอเบรียนเป็นความคิดที่ดีหรือไม่
 “ไม่ต้องคิดมากเกินไปหรอก  เราก็แค่มุ่งไปตามทางของเราต่อไป  เมื่อไปถึงจุดหมายที่ปลอดภัย  เราจะหาเมืองที่ใกล้ที่สุดที่พระบิดากับข้ากำหนดไว้  จากนั้นเราจึงค่อยพัก  ใต้เท้าลินลี่ย์  เร่งฝีเท้าเถอะ..ฮ่าห์  ฮ่าห์” ขณะพูด ชาร์คก็เร่งฝีเท้าเช่นกัน เสียงเร่งฝีเท้าม้าดังขึ้น  หน่วยอัศวินเบิกทางข้างหน้าอย่างเร่งร้อน
การเดินทางกับชาร์คและหน่วยทหารของเขา ลินลี่ย์ไม่ต้องลงมือด้วยตนเองต่อไป เมื่อพวกเขาถูกอสูรเวทโจมตี  กองกำลังพายุสายฟ้าจะกำจัดพวกที่เข้าโจมตีทั้งหมด
สามวันผ่านไป
 “สองอาณาจักรและสามแว่นแคว้นล่มสลาย”
ชาร์คและลินลี่ย์ผ่านอาณาจักรเฟนไล, อาณาจักรฮั่นและสองแว่นแคว้น พวกเขาเพิ่งเดินทางเข้าแคว้นไลโกด แต่ที่นี่ไม่ปรากฏมนุษย์ให้เห็น
ดินแดนกว้างใหญ่ขนาดนั้นได้ล่มสลายแล้ว นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าประหลาดจริงๆ
ที่สำคัญ สหภาพศักดิ์สิทธิ์มีหกอาณาจักรและสิบห้าแว่นแคว้นก็เริ่มต้นด้วยเช่นกัน
 “โฮกกกก!
 “โฮกกกก!
เสียงคำรามจากอสูรเวทดังต่อเนื่องสามารถได้ยินแต่ไกล  ผสมกับเสียงตวาดของมนุษย์   เมื่อได้ยินเสียงที่ดังสลับกันอย่างนี้ ลินลี่ย์กับชาร์ครู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
 “มีการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับอสูรเวทอยู่ข้างหน้า”  ชาร์คขมวดคิ้ว    เขาลูบคางกล่าว “ทุกคน, ระวังตัวไว้ด้วย  อ้อมพวกเขาไป” “พะย่ะค่ะ”  สมาชิกหน่วยพายุสายฟ้ารับคำโดยเคารพ
ชาร์คในฐานะผู้นำของคนพวกนี้อ้อมตีวงไปพื้นที่ข้างหน้า  แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้พื้นที่ต่อสู้  ทันใดนั้นชาร์คจ้องมองดูสนามต่อสู้  “องค์ชายหลุยส์ใช่หรือเปล่า?”
ลินลี่ย์หันไปให้ความสนใจสนามรบนั้นอย่างระมัดระวัง  องครักษ์ฝีมือดีคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่โชคไม่ดี  หน่วยทหารนี้โชคร้าย พวกเขาเข้าไปเจอกับฝูงราชสีห์เพลิง
ราชสีห์เพลิงเป็นอสูรเวทธาตุไฟระดับเจ็ด  พวกมันสามารถยิงบอลไฟจากปากได้อย่างสบาย และร่างของพวกมันจะมีเปลวเพลิงครอบคลุมตัว
แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพียงอสูรเวทระดับเจ็ด  แต่อสูรเวทโดยปกติก็ทรงพลังมากกว่ามนุษย์ในระดับเดียวกันมากอยู่แล้ว  แม้แต่นักรบระดับแปดตามปกติก็ต้องใช้ความพยายามกว่าจะสามารถฆ่าอสูรเวทธาตุไฟระดับเจ็ดได้  แต่เห็นได้ชัดว่าในอัศวินฝีมือดีกลุ่มนี้  มีนักรบระดับแปดอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นนักรบระดับเจ็ด
อัศวินในหน่วยทหารนี้ตายไปเกินกว่าครึ่ง นี่เป็นผลจากการต่อสู้กับราชสีห์เพลิงเกือบยี่สิบตัว  มีราชสีห์เพลิงเพียงสามตัวที่ถูกกำจัด
แต่แม้ว่าอัศวินจะตายไปถึงครึ่งหนึ่ง  แต่ยังไม่มีนักรบระดับแปดตาย ดังนั้นในความเป็นจริง หน่วยอัศวินนี้จึงสูญเสียความสามารถรบไปเพียงหนึ่งในสาม
 “หยุด” ชาร์ดออกคำสั่ง
กลุ่มของอัศวินสะดุ้ง แต่พวกเขาทุกคนพยักหน้า  พลังของหน่วยพายุสายฟ้า เมื่อสมทบกับกองกำลังขององค์ชายหลุยส์ น่าจะเพียงพอฆ่าราชสีห์เพลิงเหล่านี้ได้โดยไม่มีปัญหามากนัก  แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือชาร์คไม่อนุญาตให้พวกเขาต่อสู้ทันที
หลังจากคนขององค์ชายหลุยส์บาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่ง รวมทั้งสองนักรบระดับแปด ราชสีห์เพลิงก็ตายไปครึ่งหนึ่งเช่นกัน ถึงตอนนี้ชาร์คจึงออกคำสั่ง
 “ไปได้ ไปช่วยองค์ชายหลุยส์”  ทันใดนั้นชาร์คสั่งคนของเขา
 “พระเจ้าค่ะ!
หน่วยพายุสายฟ้าเริ่มบุกทันที  ด้วยการสมทบของนักรบสามสิบคนนี้ อีกสิบคนเป็นนักรบระดับแปด  ราชสีห์เพลิงห้าตัวถูกสังหารทันที  ที่เหลือเมื่อเห็นว่ามีอุปสรรค ก็รีบหันหลังหนีทันที
 “องค์ชายชาร์ค  ขอบคุณ, ขอบคุณจริงๆ”
องค์ชายหลุยส์เป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม  แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะอยู่ในสภาพอนาถ  เมื่อเห็นองค์ชายชาร์ค หลุยส์รู้สึกซาบซึ้งและวิ่งเข้าไปกอดเขา
 “องค์ชายหลุยส์ โอว, ข้าเห็นอัศวินของท่านโจมตีอยู่แต่ไกล แต่เนื่องจากต้องดูแลรักษาตัวเอง ทำให้ข้าลังเลใจชั่วขณะ หลังจากเห็นว่าเป็นท่านข้าจึงค่อยสั่งคนของข้าให้โจมตี  หวังว่าท่านคงไม่ตำหนิข้าหรอกนะ”  ชาร์คพูดอย่าง “ซื่อตรง” มาก  เขาพูดแสดงความเสียใจต่อ “ถ้ามาเร็วกว่านี้ เจ้าคงไม่สูญเสียคนเพิ่ม”
ก่อนนั้นชาร์คและอัศวินของเขารีรออยู่ในที่ไกลสักครู่หนึ่ง  ผู้เชี่ยวชาญอย่างหลุยส์และคนของเขาจะไม่รู้ได้ยังไง?
ในใจของเขาหลุยส์รู้สึกโมโหชาร์ค  แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนี้ หลุยส์ก็เชื่อเขา
มีเหตุผล
หลังจากเกิดภัยพิบัติ  ใครเล่าจะช่วยเหลือคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับตนเอง
 “องค์ชายชาร์คไม่จำเป็นต้องพูดอย่างนั้น ข้ารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งแล้ว  ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ก็มีแนวโน้มว่าเราคงเหลือเพียงสองสามคน เฮ้อ.. ไม่จำเป็น! เราสามารถจัดการศพคนของเราเองได้”  เมื่อเห็นว่าคนของชาร์คจะช่วยปลดกระเป๋าจากศพตามอำเภอใจ หลุยส์ตะโกนบอกพวกเขา
ตราบใดที่ราชสีห์เพลิงหนีไป  กองกำลังที่โชคดีรอดตายขององค์ชายหลุยส์จะไปปลดกระเป๋าจากศพทันทีแล้วเก็บเอาไว้
นี่สร้างความสงสัยให้ชาร์คเป็นธรรมดา
ทำไมต้องปลดกระเป๋าของผู้ตายด้วย? แล้วเขายังสั่งให้คนของตัวปลดกระเป๋าผู้ตายบางส่วน  แน่นอน มันสร้างความไม่สบายใจให้องค์ชายหลุยส์  “เอาล่ะ ไปกันเถอะ” อัศวินของชาร์คส่งกระเป๋าให้  เมื่ออัศวินของหลุยส์รับกระเป๋ามา เขาจ้องมองอัศวินของชาร์คอย่างไม่พอใจ
เมื่อเห็นดังนี้ ชาร์คหัวเราะเยือกเย็นในใจ
นี่เดาได้ง่ายมาก
มีอยู่เพียงไม่กี่ราชตระกูลที่ครอบครองแหวนมิติเก็บสมบัติ  ราชตระกูลแห่งเฟนไลเป็นเพียงหนึ่งในราชตระกูลที่โชคดี  ตอนนี้ภัยพิบัติเกิดขึ้น ปกติราชตระกูลเหล่านี้จะต้องขนสมบัติในคลังสมบัติของพวกเขาไปด้วย  ไม่มีแหวนมิติเก็บสมบัติ ก็มีทางเลือกเดียวที่จะขนไปคือใส่ถุงไป  สำหรับองค์ชายหลุยส์ตื่นเต้นกับเรื่องถุงเหล่านี้ มีแนวโน้มเป็นไปได้ว่าเขาจะให้บริวารของเขาขนสมบัติของอาณาจักรฮั่นไปด้วย
 “ไม่ต้องใช้คนมากไป โอกาสสำเร็จเต็มร้อย”  ชาร์คมองดูคนของหลุยส์  เขาตัดสินใจแล้ว

2 ความคิดเห็น:

tho กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
tho กล่าวว่า...

ขอบคุณคับ

แสดงความคิดเห็น