ตอนที่ 886 การค้นพบของแฮงค์
แฮงค์ตกตะลึงพรึงเพริด
สำหรับเขาการสู้รบไม่มีอะไรที่ยาก
มีความแตกต่างมากเกินไปในแง่จำนวนคนระหว่างทั้งสองฝ่าย ‘กองพลหน้ากากเหล็กมีคนสักกี่คนเชียว? ราวๆ 100 คน แต่ฝ่ายเรามีกันกี่คน? ที่แน่ๆ 500! อัตราส่วน 5 ต่อ 1
ห้าคนสู้คนเดียวไม่ว่ากองพลหน้ากากเหล็กจะแข็งแกร่งเพียงไหน
พวกเขาก็ยังมีพลังเหนือกว่าอยู่ดี
แต่ทำไมการสู้รบยังไม่จบ?’
ยังดีถ้ามันยังไม่จบ
แต่สิ่งที่ทำให้แฮงค์ตกตะลึงก็คือคนของเขาเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!
แม้ว่ากองพลหน้ากากเหล็กจะมีคนน้อยมาก แต่พวกเขาก็คล่องแคล่วว่องไวกันมาก พวกเขาคล่องแคล่วดุดันเหมือนกับสุนัขต้อนแกะ
ต้อนมาต้อนไปทั้งรุกและประสานกันอย่างต่อเนื่อง
องครักษ์ฝ่ายเขาเองกลับเหมือนฝูงแกะโง่สำหรับพวกเขา พวกเขาไม่สามารถแตะต้องเสื้อผ้าศัตรูได้เลย
‘เจ้าพวกโง่!’
แฮงค์สบถด้วยความโกรธกับประสิทธิภาพการทำงานขององครักษ์ฝ่ายเขา ความรับผิดชอบของพวกเขา
การตอบสนองของพวกเขากลายเป็นชักช้า
พวกเขาอ่อนล้าลงและถูกศัตรูจูงจมูกได้ตลอด
500 ต่อ 100 ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ นั่นปล่อยเอาไว้ไม่ได้
ประสิทธิภาพของพวกเขาน่ากลัวมากจนแฮงค์ตัดสินใจ
ลงมือกับพวกเขาเองเมื่อเรื่องจบ
เมื่อข่มความโกรธในใจได้ แฮงค์เริ่มวิเคราะห์กองพลหน้ากากเหล็ก
และสีหน้าของเขาค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้น
ยิ่งเขามองดูก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น ‘กลุ่มการค้าเมซฟิลด์ได้ยอดฝีมือมามากมายขนาดนั้นได้ยังไง?’
สมาชิกกองพลหน้ากากเหล็กแต่ละคนมีพลังฝีมือโดดเด่น พวกเขาว่องไวมาก
รูปแบบการเคลื่อนไหวของพวกเขาคาดเดาไม่ได้ ทำให้พวกเขายากตามจับได้ องครักษ์ฝ่ายเขาไม่คุ้นเคยกับคู่ต่อสู้แบบนั้น
และในเวลาไม่นานพวกเขาก็สูญเสียจังหวะของตน
นอกจากนั้นการประสานงานของศัตรูก็โดดเด่น เขาสามารถบอกได้ว่าพวกเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
พวกเขาเป็นกลุ่มที่เป็นผู้ใหญ่เต็มที่มีความไว้วางใจกันและกัน แฮงค์ประจักษ์มาสองสามครั้งแล้ว เหมือนกับว่าพวกเขาไม่สนใจดูการโจมตีของสหายของพวกเขา แต่ยังคงรักษาจังหวะของตัวเอง เมื่อคนหนึ่งกำลังจะเสียที มักจะมีสหายอีกคนหนึ่งไม่ทราบโผล่มาจากที่ใดมาช่วยคลี่คลายวิกฤติให้เสมอ
เห็นได้ชัดว่าเป็นกลยุทธแบบหนึ่ง
ความหนาวเหน็บผุดขึ้นในในแฮงค์
ความจริงสมาชิกฝ่ายศัตรูที่เผชิญหน้ากับอันตรายเพียงแค่ต้องหยุดการโจมตีของพวกเขาเพื่อคลี่คลายอันตรายที่พวกเขาตกอยู่ในนั้น แต่พวกเขายังเลือกที่จะโจมตีต่อไป
เมื่อเห็นได้ถึงความเชื่อใจที่พวกเขามีกันและกัน ถ้าเป็นแค่คนหรือสองคน
อาจจะยอมรับได้ว่าเป็นความเข้าใจกลยุทธระหว่างสมาชิกทั้งสองคน แต่ความถี่ในการเกิดภาพเช่นนั้นสูงมากจนเหลือเพียงความเป็นไปได้ประการเดียว กองพลหน้ากากเหล็กฝึกฝนกลยุทธนั้นมาถี่มาก
น่ากลัวมากจริงๆ!
‘คนที่กล้าออกแบบกลยุทธที่อันตรายแบบนั้นกล้าจริงๆ
แม้จะใช้แค่กลยุทธทั่วไปก็ตาม!’ สำหรับแฮงค์การร่วมมือประสานงานแบบนั้นสามารถแสดงพลังได้เข้มแข็งมาก และสามารถใช้รักษาจังหวะของการสู้รบได้
แต่จำเป็นต้องมีความประสานงานกลยุทธในระดับสูงล้ำระหว่างสมาชิกแต่ละคนอันตรายและกล้าหาญมาก!
ตราบใดที่พวกเขาไม่ตั้งใจและสนับสนุนช้าไปครึ่งก้าวนั่นจะสายเกินไป
และจะนำไปสู่การบาดเจ็บรุนแรงหรือไม่ก็ตาย
กลยุทธแบบนั้นเหมือนกับกายกรรมไต่ราว
ตราบเท่าที่มีความผิดพลาดสักอย่างก็ไม่มีโอกาสกู้คืน
แต่ในเวลาอันรวดเร็ว แฮงค์ก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง
เพราะเขารู้ได้ทันที่ว่าแม้ว่ากองพลหน้ากากเหล็กจะใช้กลยุทธอันตรายอย่างนั้น
แต่พวกเขาไม่เคยล้มเหลวเลย
‘เป็นแบบนี้ได้ยังไง...’
แฮงค์เชื่อมั่นในวิจารณญาณของตน นอกจากนี้ยังเป็นการตัดสินพื้นฐาน ‘ข้าพลาดได้อย่างไร? มีบางอย่างที่ข้าไม่ทันได้สังเกตได้ยังไง?’
แฮงค์ไม่กังวล
เขาลืมตาและไตร่ตรองมากขึ้น กลัวว่าจะพลาดรายละเอียด
สายตาของเขามีประสบการณ์
เมื่อมีความสงสัยเกิดขึ้นในใจของเขาแล้ว เขาจึงค้นพบสิ่งใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว หน้าของเขายิ่งซีดขึ้นทุกที สีหน้าที่มั่นคงของเขาแสดงอาการตกใจ
ขณะที่เหงื่อเกาะที่หน้าผากของเขา
ถ้าเขาไม่เห็นกับตาตนเอง
เขาไม่มีทางเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
‘สัญชาตญาณ
ในแต่ละคนของกองกำลังหน้ากากเหล็กมีสัญชาตญาณต่อสู้กันทุกคน พวกเขาสามารถรู้สึกได้ถึงอันตรายก่อนจะกลายเป็นวิกฤติ
ทำให้พวกเขาเบี่ยงเบนจุดวิกฤติได้ทันท่วงที
พวกเขาทำอย่างใจเย็น
เหตุผลที่เขารู้สึกว่าพวกเขามีทักษะมากเมื่อเขาแลดูพวกเขา
‘แต่,
นั่นเป็นไปได้ยังไง!’
แฮงค์รู้สึกว่าองค์ความรู้ของเขาถูกถล่มทลาย
ขณะเดียวกันเขาเชื่ออย่างมั่นคงในสัญชาตญาณของตนเอง เพราะเขาเองก็ผ่านศึกมามากมาย สัญชาตญาณต่อสู้ที่น่าเชื่อถือของเขาขัดเกลาจากการผ่านการสู้รบมาเป็นร้อยศึก เป็นสิ่งที่ได้รับยากเย็นยิ่งกว่าวิทยายุทธหรือกลยุทธเสียอีก เพราะมันไม่มีจุดเริ่มต้น
แฮงค์มักจะถือดีในสัญชาตญาณสู้รบที่แข็งแกร่งของเขา แต่....
องครักษ์หน้ากากเหล็กทุกคนที่บินอยู่ทั้งหมดนี้มีสัญชาตญาณไม่ด้อยไปกว่าเขา
‘พวกเขาเป็นคนแบบไหนกัน!’
เหมือนกับว่าใจของแฮงค์ตกอยู่ในคลื่นทะเลปั่นป่วน
แฮงค์ไม่เคยรู้ว่ายังมีดินแดนที่โหดร้ายและป่าเถื่อนอยู่ในโลกเรียกกันว่าแดนบาป
เป็นที่ซึ่งทุกคนหากต้องการมีชีวิตต่อไป
พวกเขาต้องสู้
พวกเขาต้องคอยสู้ต่อไป! ไม่มีความปราณี, พวกเขาเกิดมาในการสู้รบ
บางสิ่งที่พลเมืองชาวกวงหมิงไม่สามารถจินตนาการได้ จะเรียกกว่าประสบการณ์การต่อสู้ในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์
ถือว่าไม่มีอะไรเลยเมื่อตกไปอยู่ในแดนบาป
แต่ไม่มีใครสามารถตำหนิแฮงค์ได้ ตั้งแต่เริ่มเขาไม่ได้เชื่อมโยงพวกเขาเข้ากับแดนบาป
แม้จะเป็นความจริงที่ว่าการฟื้นขึ้นมาของแดนบาปจะกวนใจทวีปกวงหมิงก็ตาม
แต่รายงานที่พวกเขามีเกี่ยวกับแดนบาปน้อยนิดจนน่าสงสาร แม้แต่วิหารกวงหมิงก็ไม่รู้ชัดว่าปัจจุบันนี้แดนบาปเป็นเช่นไร
ความเข้าใจที่พวกเขามีต่อแดนบาปหยุดอยู่ที่ความรู้เมื่อสองสามร้อยปีที่แล้ว
แต่เมื่อเทียบสัญชาตญาณของพวกเขา
การผสานพลังของกองพลหน้ากากเหล็กยากจะผ่านได้ และพวกเขามีเพียงกลยุทธเดียว
แต่พลังของแต่ละคนครอบงำจุดอ่อนของพวกเขา
‘ดูเหมือน 500
คนคงจะไม่พอ’
จี๋เจ๋อและพวกไม่รู้เรื่องความหงุดหงิดของแฮงค์ พวกเขามีความสุขมากที่ได้ต่อสู้
ตั้งแต่พวกเขาออกมาจากแดนบาปและเข้าสู่ทวีปกวงหมิงพวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่
และนั่นก็คือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีพลังงานหนาแน่นของดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ จุดสำคัญของการสู้รบก็คือ พลังงานในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์หนาแน่นเกินไป
และการต่อสู้รูปแบบเดิมของพวกเขาไม่เหมาะกับดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยน
ตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาออกจากแดนบาป
พวกเขาไม่เคยหยุดการฝึกที่โหดหินร้ายกาจเลย
ความจริงการฝึกหนักต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อตั้งกองพลเกราะเทพเจ้า ในแง่มุมอื่นเจ้านายถือว่าเป็นคนดี
ไม่ว่าใครต้องการอะไรก็จะได้รับ
แต่ในแง่การฝึก เจ้านายถือว่าเป็นจอมโหดไม่มีการลดหย่อนให้พวกเขา เข้มงวดกับพวกเขาจนแทบจมน้ำลายตาย
‘เขาทดแทนการเดินทางด้วยการฝึก
โอว, เร็วๆ นี้เขายอมให้เราได้นั่งเรือสินค้า นับว่าเป็นความเมตตาปราณียิ่งนัก!’
‘แต่นั่นเป็นเพราะนายท่านเกรงว่าเราจะเปิดเผยสถานะของพวกเรา...’
แต่ภายใต้การฝึกโหดหินเช่นนั้น
จี๋เจ๋อและพวกก็เริ่มจะชินกับวิธีต่อสู้แบบใหม่ และในเวลารวดเร็ว
พวกเขาก็สามารถมีประสบการณ์ถึงรูปแบบต่อสู้ใหม่ๆ ด้วยตนเอง
โดยการใช้กฎควบคุมพลังงาน พวกเขาพบว่า
พวกเขาทรงพลังมากเพียงไหน กฎธรรมชาติของพวกเขาสามารถควบคุมพลังงานต่างๆ ได้มากมาย! เมื่อเทียบกับแดนบาป
นอกจากนี้ความเข้าใจกฎธรรมชาติที่ลึกซึ้งของพวกเขาทำให้การควบคุมพลังงานของพวกเขาถึงระดับที่พิถีพิถันมาก แม้แต่ซือหม่าเซี่ยวที่มาจากสวรรค์วิถีก็ยังอดตกใจกับความสามารถในการควบคุมพลังงานของพวกเขาไม่ได้ ตราบใดที่นักสู้แดนบาปสามารถเอาชนะความรู้สึกไม่สบายสำหรับพลังงาน
ต่อให้พวกเขาไม่เคยเรียนวิทยายุทธของสวรรค์วิถีมาก่อน
ด้วยการควบคุมพลังงานที่ดี
พวกเขาก็สามารถเอาชนะเซียนจากสวรรค์วิถีได้
นั่นคือข้อได้เปรียบที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา
พวกเขาใช้พลังมหาศาลเพื่อเอาชนะอุปสรรคด้านพลังงาน
ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงฝีมือ
เกือบตลอดเวลาเป็นเจ้านายเองที่คอยรับมือและคลี่คลายปัญหาให้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีโอกาสแสดงฝีมือได้น้อยซึ่งเป็นเรื่องโหดร้ายยิ่งกว่าการฝึกโหดหินเสียอีก
การสู้รบนี้
โอ๊ะ..ไม่สิ การต่อยตีกันครั้งนี้ทำให้พวกเขาตื่นเต้น ในที่สุดพวกเขาก็ได้สู้เสียที น่าเสียดายที่ไม่ใช่การสู้รบที่แท้จริง ป้องกันพวกเขาไม่ให้ใช้พลังได้เต็มที่ ‘ก็ได้..ดีกว่าไม่ได้ยืดเส้นยืดสายเลย’
กลุ่มของพวกเขากระโจนเข้าไปในกลุ่มศัตรูจนเกิดความโกลาหล
เนื่องจากพยุหะห่วงต้องห้ามที่พวกเขาใช้ค่อนข้างมีข้อจำกัด อีกอย่างหนึ่ง พวกเขาเหมือนกับหมาป่าและพยัคฆ์ แต่อีกฝ่ายพวกเขาเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า
ดังนั้นจึงดึงตัวออกมาในระยะไกล
ในการทะเลาะกันที่ไม่ยอมให้พวกเขามีการฆ่า
กำลังใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
และเรื่องสำคัญที่สองไม่ใช่กลยุทธและวิธีการร่วมมือ แต่เป็นร่างกายของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถฆ่าได้
อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องดูกันว่ากลุ่มไหนจะมีความอดทนมากกว่า
จี๋เจ๋อและพวกตะลุยเข้าไปตรงๆ เหมือนกลุ่มควายป่า
เมื่อจี๋เจ๋อสร้างม่านพลังงานและตะลุยเข้าหาศัตรูโดยตรง การป้องกันของฝ่ายตรงข้ามมีอย่างเดียว
และสร้างม่านพลังงานและตะลุยเข้าปะทะกับเขา
ผลก็คือจี๋เจ๋อและพวกไม่เป็นอะไร ขณะที่คู่ต่อสู้
แม้ว่าม่านพลังงานของพวกเขาไม่แตก แต่พวกเขาก็มึนงง
ทุกคนตัวหมุนเป็นวงจนเวียนหัวล้มลงกับพื้น
คนอื่นพบว่าเป็นวิธีที่ได้ผล ไม่มีใครตาย
แต่ได้ผลที่น่าพอใจจึงทำให้พวกเขาตื่นเต้น
ทันใดนั้นทุกคนเริ่มเลียนแบบจี๋เจ๋อทันที
สร้างม่านพลังงานและตะลุยเข้าหาศัตรู เมื่อศัตรูพวกเขาเห็นเช่นนั้น
พวกเขาก็ไม่ถอยหลัง แต่สู้โดยตรง ‘เราห้าคนจะรับมือคนหนึ่งไม่ได้หรือไง?’
นั่นเป็นการรูดม่านแข่งขันคนชนคนที่ไม่เคยมีมาก่อน
ปัง ปัง ปัง!
เสียงชนกันระเบิดดังสนั่นในอากาศอย่างต่อเนื่อง
ถึงขนาดทำให้แก้วหูลั่นอึงอล
แฮงค์ตกตะลึง
เขาไม่เคยเห็นฉากภาพแบบนั้นมาก่อน
แต่เขาต้องยอมรับว่าการสู้กันตรงๆ แบบนั้นไม่มีเหตุผลเลย
“บ้าจริงๆ ข้าต้องกระตุ้นและทำให้ดีด้วย!” ด้านแฮงค์ สหายคนหนึ่งอดพูดขึ้นไม่ได้
“สะใจนะ สะใจเป็นบ้า!”
เรือรบไร้เทียมทานตื่นเต้นอยู่นาน ทหารยามทุกคนบนเรือตะโกนสุดเสียงให้กำลังใจสหายของพวกเขา
บางครั้งก็มีเสียงอุทาน
บนเรือสินค้าของกลุ่มการค้าเมซฟิลด์บรรยากาศตึงเครียดมาก
ในอากาศมีกองพลหน้ากากเหล็กเผชิญหน้ากับศัตรูที่มากกว่าห้าเท่า
พวกเขาเสียเปรียบในเรื่องจำนวนทำให้ภาพที่เห็นดูน่าอนาถนัก
จอห์นสันยังคงสั่งทหารประจำขององค์กร เมื่อเห็นว่าสหายของพวกเขาเองร่วงลงมา
พวกเขาต้องเข้าไปรับ
เขาเองก็มีสีหน้ากังวล
เขาไม่รู้ว่าทำไมจี๋เจ๋อและพวกถึงได้เลือกจะสู้แบบนั้น ก่อนนั้นพวกเขาได้เปรียบอย่างชัดเจน และตราบเท่าที่พวกเขาพยายาม
พวกเขาก็เอาชนะศัตรูได้ในเวลาไม่นาน
ถ้าพวกเขาแพ้ เขารู้ว่าอะไรจะรอพวกเขาอยู่ ด้วยความเข้มงวดของระฆังศักดิ์สิทธิ์ คลอเดียไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้ แต่นางสามารถหักมือหักขาและตบพวกเขาได้
‘ถ้ามาถึงขั้นนั้น
เราก็ต้องทุ่มเทกำลัง!
ต่อให้พวกเขาต้องถูกลงโทษหรือถูกคร่ากุมโดยวิหาร เขาก็ไม่ใส่ใจ
เขาไม่สามารถทนรับความอัปยศดังกล่าว
ขณะที่ทุกคนถูกกลืนด้วยการสู้รบกลางอากาศอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่มีใครสังเกตว่าในห่วงต้องห้าม
ถังเทียนที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จู่ๆ ก็กระพริบตา

6 ความคิดเห็น:
กล้าละสายตาจากเฮียถังเดี๋ยวจะเจ็บมิใช่น้อย
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ ถังเทียนรู้แจ้ง
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น