ตอนที่
922 ค้นหาช่องโหว่
แถวกระโจมไม่มีที่สิ้นของค่ายขนาดใหญ่ยืดขยายออกไปไกล กระโจมของกองทัพแดนเถื่อนทั้งหมดสร้างขึ้นหยาบๆ
และกินพื้นที่ระยะไกล
พวกเขามองดูเหมือนตะไคร่น้ำที่ขึ้นอยู่บนผืนหิมะ
เจียย่ามองดูครั้งเดียว จากนั้นรั้งสายตากลับ
แม้ว่ากองทัพขนาดใหญ่มองภายนอกจะดูคุกคามก็ตาม
แต่ชาวแดนเถื่อนเปิดเผยให้เห็นร่างกายที่น่าทึ่งของพวกเขา พวกเขาไม่กลัวความหนาวหรือลมหิมะ
นั่นไม่ส่งผลต่อพวกเขา
แต่เจียย่าไม่สนใจพวกเขา
ไม่ว่าชาวแดนเถื่อนจะมีมากมายเพียงไหน
ตราบใดที่ทวีปเว่ยเย่กวนยังอยู่ในเงื้อมมือของเขา
เขามีความมั่นใจว่าจะขับไล่พวกเขาทั้งหมดออกไป
เขาเพียงแต่กังวลสถานการณ์ที่ทวีปเซียน เขามีบุคลิกที่สงบและไม่ชอบดิ้นรนต่อสู้ แม้ว่าเขาจะมาจากตระกูลระดับสูง แต่ก็เป็นเพียงตระกูลเล็ก ตระกูลเจียมีอารมณ์ที่คล้ายคลึงกับเขา พวกเขาเจียมตัวและไม่ทำตัวเด่น ใช้ชีวิตโดยไม่สร้างปัญหาให้กับคนอื่น
เขารู้ถึงความขัดแย้งระหว่างวิหารและตระกูลชั้นสูงมานานแล้ว
และเขารู้สึกว่าทวีปกวงหมิงใหญ่เพียงพอแล้ว และทั้งสองฝ่ายสามารถแบ่งปันกันได้ ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำได้
พวกเขาก็ขยายอาณาเขตเหมือนกับที่ทำกับภูมิภาคใต้ เมื่อเทียบกับการขัดแย้งภายในแล้ว
เขารู้สึกว่าการสู้ในศึกสงครามยังง่ายมากกว่า นอกจากนี้เขายังรู้ว่าเขาไม่จัดเจนเรื่องนี้
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยชอบมีส่วนร่วมกับเรื่องนั้น นอกจากนี้ เขารู้ว่าไม่ว่าฝ่ายไหนชนะ พวกเขาก็ยังต้องการเขา มาตรฐานและคุณภาพของเขาอาจไม่ใช่ระดับสูง แต่เขาก็สามารถมีชีวิตได้อย่างสบายเช่นกัน
แต่เขารู้สึกว่าตระกูลต่างๆ กระทำการเกินเลยไป
ตระกูลต่างๆ
เคลื่อนไหวในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญส่งผลต่อการรุกรานลงใต้
มากจนสามารถนำไปสู่ความพ่ายแพ้ยับเยินในการรุกลงใต้ ‘ทั้งหมดล้วนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น’ เจียย่าอดถอนหายใจไม่ได้ สำหรับการเคลื่อนไหวของตระกูลส่วนใหญ่แสดงว่า
พวกเขาไม่สนใจมองภาพรวม
แต่แม้เจียย่าเองก็สามารถบอกได้ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก แต่ถ้าการรุกรานลงใต้ประสบความสำเร็จขึ้นมา
ประมุขผู้อาวุโสจะใช้โอกาสของชัยชนะและถือโอกาสเคลื่อนไหวก่อนเพื่อกวาดล้างตระกูลต่างๆ
เจียย่าไม่เข้าใจว่าวิหารและตระกูลชั้นสูงมาถึงจุดที่ไม่สามารถหวนคืนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่สำหรับเจียย่า ตระกูลต่างๆ ทำสิ่งที่โง่เขลาที่สุด
และนั่นคือการฆ่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ชาร์ลส์
เหมือนอย่างที่มีข่าวลือว่าโซเฟียถูกประมุขผู้อาวุโสสร้างขึ้นมา
มีข่าวลืออีกข่าวแพร่กระจายไปว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ชาร์ลส์เป็นลูกนอกสมรสของประมุขผู้อาวุโส
เจียย่ารู้เรื่องภายใน
โอรสศักดิ์สิทธิ์ชาร์ลส์ไม่ได้เป็นลูกนอกสมรสของประมุขผู้อาวุโส แต่เป็นหลานของประมุขผู้อาวุโส
และเป็นญาติและผู้สืบทอดให้ประมุขผู้อาวุโส มีน้อยคนนักที่รู้เรื่อง แม้แต่เจียย่าก็แค่รู้โดยบังเอิญ แต่ไม่เคยพูดออกมา
เมื่อตระกูลต่างๆ
ลอบสังหารโอรสศักดิ์สิทธิ์ชาร์ลส์
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือจากจุดนั้นเอง ประมุขผู้อาวุโสจะไม่มีทางร่วมมือกับพวกเขา
ความกังวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจียย่าก็คือ
ประมุขผู้อาวุโสตอบสนองอย่างไม่มีเหตุผล
เจียย่าเป็นคนพูดน้อย
ขนาดแม้จะอยู่ในงานเลี้ยงเขาก็ยังเพลิดเพลินนั่งอยู่ที่มุมสงบจิบเหล้าในมือ
คนเงียบๆ
มักจะค้นพบรายละเอียดที่คนอื่นไม่ทันสังเกต
ในสายตาของทุกคน ประมุขผู้อาวุโสเป็นผู้ทรงอำนาจที่ทำตัวลึกลับ
มองการณ์ไกลและมีอำนาจทุกอย่าง
แต่เจียย่ามีความรู้สึกว่าประมุขผู้อาวุโสมีความบ้าคลั่งลึกลับที่ปกปิดไว้
เมื่อคิดถึงเรื่องที่มู่จือเสียเคยเล่าให้เขาฟังครั้งหนึ่งมาก่อน
เขายิ่งกังวลมากยิ่งขึ้น’ มีญาติเพียงคนเดียวในโลกของเขาที่ถูกฆ่าตาย แม้แต่ประมุขผู้อาวุโส เขา…’
เจียย่าเชื่อหนักแน่นว่าทุกคนในโลกมีข้อจำกัดบางอย่าง
ทุกคนที่ไม่มีข้อผูกมัดจะไม่เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ง่าย ถ้าและคนอย่างนั้นเป็นนักสู้ที่มีอำนาจ หรือมีพลังไร้เทียมทาน
จะกลายเป็นหายนะแน่นอน
เมื่อคิดถึงประมุขผู้อาวุโส เจียย่าถึงกับฝืนยิ้ม
สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้นก็คืออารมณ์และความภักดีที่ประมุขผู้อาวุโสมีต่อวิหาร
นั่นเป็นสิ่งแท้แน่นอนที่สุด
ทันใดนั้นบริวารคนหนึ่งของเขาวิ่งแตกตื่นเข้ามาหาเขา
เจียย่ามีสังหรณ์อัปมงคลผุดขึ้นมาในใจทันที บริวารผู้นี้เป็นคนที่เขาส่งไปทวีปเซียนเพื่อรับรายงานเป็นพิเศษ เขาไม่ต้องการแทรกแซงทวีปเซียน แต่เขาต้องการรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่น
บริวารเดินเข้ามายืนข้างๆ
เขาและกระซิบเบาๆ “นายท่าน! ทวีปเซียนจู่ๆ ก็ถูกผนึกเอาไว้”
“ถูกผนึก?” หัวใจเจียย่าเต้นแรง
นั่นเป็นเรื่องร้ายแรง เขาตอบเบาๆ “กองเรือใดปิดล้อมทวีปเซียน?”
มีอ่าวพลังงานหลายแห่งมุ่งสู่ทวีปเซียนลำหรับบางคนที่สามารถผนึกทวีปเซียนได้ พวกเขาต้องอาศัยกองเรือขนาดใหญ่
“ไม่ทราบได้”
เห็นได้ชัดว่าบริวารของเขาเดินทางมาโดยไม่ได้พัก
เสียงของเขาแหบแห้ง
“เป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์
เพลิงทองศักดิ์สิทธิ์
อ่าวพลังงานทั้งหมดถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์ขัดขวางไว้
ใครก็ตามที่พยายามฝ่าออกมาจะถูกเผามอดไหม้เป็นจุล”
เมื่อเขาพูดประโยคสุดท้าย เขานึกย้อนไปถึงฉากภาพที่น่าสยดสยอง เสียงของเขาออกอาการกระวนกระวายอย่างช่วยไม่ได้
‘เพลิงศักดิ์สิทธิ์?’ เจียย่าตกใจ
เขาไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ผนึกทวีปเซียนไว้จะเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ‘ถ้าเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์
อย่างนั้นก็ต้องเป็นวิหารที่ใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์เพื่อผนึกอ่าวพลังงานไว้?’
‘ดะ..เดี๋ยวก่อน! เพลิงทองศักดิ์สิทธิ์!’
เจียย่าคิดถึงประมุขผู้อาวุโสทันที ในทั่วทั้งวิหาร
คนเดียวที่มีเพลิงทองก็คือประมุขผู้อาวุโส
เจียย่าระลึกถึงคำพูดของมู่จือเสียได้ทันที และหน้าของเขาไร้สีเลือดทันที
***************
ทวีปเซียนในปัจจุบันตกอยู่ในความโกลาหลแล้ว
เพลิงทองศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนลอยอยู่ในท้องฟ้าสวยสง่างามมาก
ในวันธรรมดารัศมีของเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะสงบมาก
แต่ในวันนี้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์และข่มขวัญซึ่งเย็นยะเยือกเหมือนลมฤดูหนาวทำให้ทุกคนรู้สึกความเย็นแล่นไปตามกระดูกสันหลัง
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทุกดวงแสดงว่ามีคนตาย
ตระกูลต่างๆ ตกอยู่ในความวุ่นวาย
พวกเขาฝึกอยู่ในวิชาที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูล และไม่เคยสัมผัสเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สำคัญเมื่อเผชิญหน้ากับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจะรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตของพวกเขาไม่อยู่ในความควบคุมของพวกเขา
และรู้สึกกลัวอย่างมาก
สัญชาตญาณเพื่อให้ชีวิตทำให้พวกเขาต้องสู้ พวกเขาพยายามใช้วิธีต่างๆ
ต้องการหาวิธีรอดชีวิต
แต่ใครก็ตามที่สัมผัสเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็จะมอดไหม้เป็นจุล ตราบใดที่พวกเขาสัมผัสเปลวเพลิงแม้แต่นิ้วเดียว
เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะดับเปลวเพลิงได้ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร
เพลิงศักดิ์สิทธิ์จะแผดเผาจนวิญญาณของพวกเขาหายไปไม่เหลือ
โชคดีที่ม่านพลังงานยังคงใช้งานได้บ้าง เพลิงทองศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยแรงกดดันที่รุนแรงทำให้สีหน้าของทุกคนบิดเบี้ยวน่าเกลียด ความสิ้นหวังเต็มอยู่ในหัวใจ สิ่งที่พวกเขาสามารถยินดีได้ก็คือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ถูกใครจัดการจะลอยอยู่ในท้องฟ้า
ม่านพลังงานสามารถคงอยู่ได้ระยะเวลาหนึ่งซึ่งเป็นการจรรโลงใจให้พวกเขา
เมืองหิมะที่เคยคึกคักแต่เดิมกลายเป็นเงียบ
ไม่มีเสียงร้อง หรือเจ็บปวดราวกับว่าเป็นเมืองตายแล้ว
เพียงแต่พื้นที่โดยรอบกลุ่มการค้าเมซฟิลด์ยังมีสัญลักษณ์ของชีวิต
ถังเทียนและพวกกำลังทำงานอย่างหนักและทำการทดสอบ แต่พวกเขาแตกต่างจากผู้รอดอยู่คนอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาทดสอบก็คือขุนพลวิญญาณ แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจความตั้งใจของวิหาร นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหลบหนีได้ บรรยากาศตึงเครียดมาก
เนื่องจากทุกคนรู้ว่าถ้าพวกเขาไม่พบหนทางก่อนที่ศัตรูจะแข็งแกร่งมากขึ้น พวกเขาจะตกอยู่ในอันตรายแท้จริง
ไม่มีใครมั่นใจความสนใจในขุนพลวิญญาณของวิหาร แต่ไม่มีใครสงสัย ถังเทียนแสดงความตั้งใจจะคลี่คลายของเขา เขาทุ่มเททุกอย่างกับขุนพลวิญญาณโดยไม่ลังเล
เสี่ยวม่านและอาซิ่นเผชิญกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์อย่างระมัดระวัง
วิหารใช้เวลามากมายในการก่อตัว
และเสียสละชีวิตมากมาย ดังนั้นเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในแผนการ
เพลิงศักดิ์สิทธิ์สามารถเสริมพลังให้กับขุนพลวิญญาณ
นั่นเป็นการเชื่อมโยงที่ง่ายที่สุด
ขุนพลวิญญาณของเสี่ยวม่านทั้งหมดจะมีสติปัญญาที่ด้อย แม้ว่าพวกเขาจะสามารถฟังคำสั่งได้
แต่จะให้พวกเขาได้รับการรู้แจ้งก็เหมือนกับสีซอให้ควายฟัง
มีแต่เสี่ยวม่านและอาซิ่นที่สามารถคลี่คลายความลับของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้
กองพลเกราะเทพเจ้ารักษาม่านพลังปกป้องเอาไว้ และลดการใช้แรงงานลงอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นเรื่องที่จนใจ ไม่มีการปกป้องด้วยม่านพลัง ทุกคนจะตกอยู่ในอันตราย
โชคดีที่แม้แต่จี๋เจ๋อและพวกไม่ต้องปรับม่านพลังงาน พวกเขาเริ่มแสดงสัญญาณของการก้าวหน้าภายใต้ความเข้มข้นด้านพลังงานสูงในการระดับสายใยกฎธรรมชาติ
พวกเขาควบคุมม่านพลังงานได้ง่ายดาย แต่ไม่นานต่อมาพวกเขาเริ่มรู้สึกลำบากเล็กน้อย
“พลังงานเข้มข้นกำลังเลื่อนลงมา!” จี๋เจ๋อตะโกน “เดี๋ยวก่อน, ไม่สิ! เพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปเป็นคุณสมบัติพลังงานแสงรังสี!”
สีหน้าของทุกคนกลายเป็นเคร่งเครียดมากขึ้น วิหารไร้เมตตาอย่างแท้จริง พวกเขาจะไม่ให้โอกาสใครเลย เพลิงศักดิ์สิทธิ์แปลงพลังงานทั้งหมดในอากาศเป็นพลังงานแสงรังสี ไม่เพียงแต่จะทำให้ศัตรูอ่อนแอเท่านั้น
แต่ยังเสริมพลังให้พวกเขาเองเป็นการใช้กระสุนนัดเดียวยิงนกได้สองตัว
แม้กระทั่งจี๋เจ๋อและพวก
เป็นกลวิธีใช้กฎธรรมชาติป้องกันโดยไม่ใช้พลังงาน
บรรยากาศตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ทุกคนรู้สึกมีแรงกดดัน
ซือหม่าเซี่ยวกัดฟันเรียกโกวอี้ออกมา และร่วมในการจัดอันดับการคลี่คลายเพลิงศักดิ์สิทธิ์ รัศมีของโกวอี้อ่อนโยนและสงวนพลัง
ซึ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับรัศมีเพลิงศักดิ์สิทธิ์
ทำให้โกวอี้กลัวต่อเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตามสัญชาตญาณ
แต่ขณะนั้น
ทุกส่วนในการเพิ่มความแข็งแกร่งกลายเป็นเรื่องสำคัญ
ซือหม่าเซี่ยวแข็งใจและออกคำสั่งโกวอี้ โกวอี้มองเขา
ดวงตาที่มีเสน่ห์ของนางกระจ่างใสเหมือนน้ำ นางไม่พูดอะไร
และลอยตัวไปที่กลุ่มเพลิงศักดิ์สิทธิ์เล็กๆ
สายตาของโกวอี้เหมือนกับมีดกรีดใจของซือหม่าเซี่ยว
เขารู้สึกแย่ ได้แต่กัดริมฝีปากบังคับตนเองไม่ให้ทำอะไรเกินเลย
เมื่อพวกเขายังอยู่ในกลุ่มดาวแมงป่อง โกวอี้ช่วยเขาชิงตำแหน่งราชาแมงป่อง แต่โกวอี้เป็นเครื่องมือในสายตาของเขา
เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก
แต่หลังจากเข้าแดนบาป โกวอี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น และอารมณ์ที่เขามีต่อโกวอี้เปลี่ยนไป
แต่เวลานั้น แม้แต่พลังของนางก็แป็นที่ต้องการ
ถังเทียนไม่สามารถช่วยด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้ ดังนั้นเขาให้ความสนใจปมด้านอื่น เขาเริ่มศึกษาแสงลงทัณฑ์
ไม่เพียงแต่แสงลงทัณฑ์สามารถผนึกทวีปเซียนได้เท่านั้น
แต่ยังตรึงท้องฟ้าไว้ได้ ป้องกันคนไม่ให้บิน
ในการสู้รบ ความสามารถในการบินเป็นสิ่งสำคัญมาก
ไม่สามารถบินได้ก็หมายความว่าคนผู้นั้นจะเสียเปรียบตั้งแต่เริ่มรบ และเป็นความเสียเปรียบอย่างมากมาย ศัตรูสามารถครอบครองพื้นที่ได้อย่างสมบูรณ์และเริ่มโจมตีได้โดยตรง
ถ้าพวกเขาสามารถทำลายการตรึงจากลำแสงลงทัณฑ์ได้ พวกเขาก็สามารถบินได้ และนั่นจะมีผลยิ่งใหญ่ต่อการสู้รบ
ถังเทียนหลบเพลิงศักดิ์สิทธิ์รอบตัวเขาอย่างระมัดระวังและมาถึงด้านข้างลำแสงลงทัณฑ์
ลำแสงขนาดใหญ่หนายิงขึ้นสู่ท้องฟ้าและเมื่อเขาเข้าไปใกล้ เขาสามารถรู้สึกได้ถึงความสง่างามของมัน
ถังเทียนค้นพบอย่างหนึ่งได้โดยเร็ว
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ลำแสงที่รุนแรง
รัศมีที่โดดเด่นสง่างามที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ครอบงำลดลงและแทนที่ด้วยพลังผันผวนไม่เหมือนใคร
ถังเทียนประหลาดใจ
เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกคุ้นเคยกับพลังผันผวนที่เป็นเอกลักษณ์
เหมือนกับว่าเขาเคยเห็นมาก่อน
ถังเทียนเค้นสมองคิด ขณะที่เขาพยายามค้นหาความทรงจำของเขา
พยายามค้นดูว่าเขาเคยเห็นพลังผันผวนแบบนั้นที่ไหนมาก่อน
เขามีลางสังหรณ์ว่าอาจจะทำให้มีความก้าวหน้าได้!
5 ความคิดเห็น:
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณครับ
เห็นตอนอยู่สวรรวิถีช่ายมั้ย
ใช่ตอนที่ถือเพลิงวัดใจจนได้เพลิงเงินเปล่า
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น