ตอนที่ 927
เจ้ารวดเร็วมาก
เมืองจินหยางมีผู้ลี้ภัยจำนวนหนึ่ง
แต่เมืองเฮยหลิงมีอาคันตุกะมากมาย
อาคันตุกะเหล่านี้ค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่บ้าง
โดดเด่นในท่ามกลางผู้คน
ที่อยู่ข้างหน้าก็คือขโมยที่กำลังขับขี่กิ้งก่าขายาวนัยน์ตาคมกริบ มีทหารรับจ้างจำนวนนับสิบอยู่ในกลางกลุ่ม
มีคนร้ายผู้ถูกเลาะฟันและทรมานร่างกาย
ในที่สุดมีมังกรบินร่างใหญ่และมังกรดินที่กำลังเดิน ตามเส้นทางมุ่งสู่เกาะกระดูก
มังกรเดินดินเดินอย่างเชื่องช้า บนหลังของมันมีบัลลังก์ทองสวยงาม
บนบัลลังก์ทองนั้น
นอกจากมีนักรบเกราะเงินสองคนนั่งอยู่ ยังมีหญิงรับใช้และเด็กหญิงผู้กำลังอุ้มเด็กทารก
ต่างจากกองคาราวานธรรมดา
คนกลุ่มนี้เหมือนกับนักค้าทาสมากกว่า
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นกลุ่มจับทาสทำตัวหรูหราฟุ่มเฟือยเหนือกว่าเจ้าเมืองที่เป็นระดับเตรียมปราณฟ้า
ขับขี่มังกรเดินดินนั่งบัลลังก์ทองซึ่งเป็นเอกสิทธิ์จำเพาะชนชั้นเจ้าเมืองขึ้นไป
ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือไม่มีคนระดับขุนนางที่ไหนจะนั่งบนบัลลังก์ทอง แต่นี่มีแต่นักรบสองคน
แม้แต่หญิงรับใช้ที่มีสถานะต่ำต้อยที่นั่งอยู่กับเด็กหญิงที่ดูก็รู้ว่าเป็นคนลี้ภัย แม้ว่าพวกนางจะนั่งอยู่แทบเท้านักรบเกราะเงินทั้งสองก็ตาม
แต่ก็ถือว่านั่งอยู่บนบัลลังก์ที่หรูหราฟุ่มเฟือยไปด้วย อาการขลาดกลัวปรากฏอยู่ในสายตาพวกนางชัดเจน
คนที่มีสายตามองออกว่าพวกนางไม่ใช่คนชั้นสูง
ตรงกันข้ามคนเหล่านี้เป็นคนที่ประสบทุพภิกขภัย!
พวกเขามีสิทธิ์อะไรถึงได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ทอง?
หัวหน้าทหารผู้รับผิดชอบเก็บภาษีผ่านประตูเมืองไม่อยากเชื่อสายตา
“เหล้าประตูหงส์และเนื้อมีกลิ่นแรง...” นักรบที่ยืนอยู่ที่ประตู
เขาได้ยินเสียงนักรบเกราะเงินทางซ้ายพูดกับนักรบเกราะเงินทางขวา
“อย่าทำถุงหนังสือหล่น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาแสดงความรู้สึก
เราต้องรีบทำงานของเราให้เสร็จ
เวลาของเรามีไม่มาก แต่จะต้องผ่านบึงหยุดลมไปให้เร็ว”
หัวหน้านายกองเฝ้าประตูเมืองได้ยินนักรบเกราะเงินคนขวามือพูด แม้ว่าจะอยู่ไกลเล็กน้อย แต่เสียงค่อนข้างดัง
และบริเวณโดยรอบมีเสียงดังเล็กน้อย แต่ได้ยินไม่ชัดเจน แต่เสียงของนักรบเกราะเงินด้านขวา
น่าจะเป็นสตรี
“พวกเจ้ามาทำอะไร?”
พวกทหารเดินเข้ามาขวางม้าและหยุดม้าข้างหน้าและตะโกนถามคนที่จะเข้ามาทำธุระในเมืองเฮยหลิง
ไม่ว่าสถานะเขาจะเป็นอย่างไรก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมตามที่เจ้าแคว้นกำหนด
เจ้าแคว้นในเมืองเฮยหลิงเป็นอนุชาของราชา
ไม่เพียงแต่แคว้นเฮยหลิง
แม้ทั่วอาณาจักรจื่อฟงไม่มีใครเสียมารยาทต่อเจ้าแคว้น
ที่นี่คือเขตปกครองของท่านเจ้าแคว้น เขาคือผู้กุมชะตาชีวิตของทุกคนในแคว้นเฮยหลิง!
ขโมยผู้เบิกเส้นทางนั่งอยู่บนหลังกิ้งก่าขายาวตาเป็นประกาย เขายิ้มเต็มหน้าเหมือนได้พบสหายเก่าที่ไม่ได้พบเห็นมานานแล้วเข้ามาทักทายและยัดถุงเงินในมือของหัวหน้าทหารยามพร้อมกับกระซิบที่หูชั่วขณะ เขาชี้ไปที่มังกรดินและพูดคุยบางอย่าง
ในที่สุดขโมยผู้เบิกทางหยิบถุงเงินใบใหญ่กว่าและเสนอให้หัวหน้ายาม นัยว่านั่นเป็นภาษาเงิน..
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องธรรมดา ปกติคาราวานหรือกลุ่มค้าทาสก็ทำแบบนี้
การติดสินบนทหารย่อมเป็นการกระทำที่ธรรมดาที่สุด
แต่การจ่ายเงินภาษียังคงเป็นแนวกฎหมายที่มีความสำคัญในแต่ละพื้นที่
ขั้นตอนที่ปกติธรรมดานี้ทำให้หัวหน้าทหารประจำประตูเมืองลอบมองและขมวดคิ้ว
ไม่ทราบว่าเขารู้สึกยังไง
นายกองทหารมักจะรู้สึกว่ารอยยิ้มของขโมยผู้เบิกเส้นทางนี้ไม่ใช่เป็นการยกยอ
แต่เป็นการเย้ยหยันที่อธิบายไม่ได้
ดูเหมือนว่านายกองผู้รวบรวมเงินจะโชคร้ายในไม่ช้า....
แต่เหรียญทองไม่มีปัญหา เมื่อนายกองทหารยามเปิดถุงเงินเพื่อลงบัญชีภาษี
เขาพบว่าเหรียญทองเป็นของจริง ไม่มีการปลอมหรือหลอกลวง
และมีจำนวนมากกว่ากลุ่มค้าทาสธรรมดา แม้แต่กองคาราวานขนาดใหญ่ทั่วไป
นี่..คนเหล่านี้ใช้จ่ายเงินมือเติบเกินไปหรือเปล่า?
เมื่อมองดูทาสผู้หลบหนี
และพวกที่ถูกทรมานจนแทบไม่อาจมีชีวิตต่อไป พวกนี้ไม่มีค่าแม้แต่น้อย
นี่ควรค่าแก่การจ่ายพันเหรียญทองเพื่อทาสเหล่านี้หรือ? นอกจากนี้ ถ้าเป็นคนอื่นจ่ายร้อยเหรียญทอง
พวกเขาก็พากันบ่นว่าเสียแล้ว
แต่เจ้าขโมยผู้เบิกทางกลับจ่ายพันเหรียญทองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
แปลกเกินไป!
รอจนเมื่อคนกลุ่มนี้เข้ามาในเมือง
นายกองทหารยามไม่เข้าใจว่าเขากระวนกระวายใจเรื่องอะไร?
เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับภาษีจำนวนมาก
และตนเองก็จะได้ส่วนแบ่งมากขึ้น
เขาควรจะมีความสุข แต่ทำไมเขาไม่สบายใจ?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ฮุยโก่ว!
เมื่อครู่นี้พวกเขาพูดอะไรกันบ้าง?”
นายกองทหารเรียกคนของตนมาถาม
“หัวหน้า! นั่นคือกลุ่มนักจับทาสที่ไล่จับทาสที่หลบหนี
พวกเขาอยู่ในอาณาจักรจื่อฟงและขวงเปา ครั้งนี้พวกเขาแค่ผ่านมา ตามคำบอกกล่าวของพวกเขา พวกเขาว่าส่วนใหญ่พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการลักลอบขนสินค้า
ส่วนค้าทาสเป็นเพียงงานเสริมเท่านั้น
ข้าคิดว่าพวกเขาซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากในครั้งนี้ พวกเขาใจกว้างมาก พวกเขาจ่ายภาษี 800 เหรียญทอง ก่อนอื่น
เรารวยแล้ว นี่เป็นการจ่ายให้ในอัตราสูงสุดเกินกว่าสองร้อยเหรียญทอง ท่านสามารถแบ่งได้มากกว่าหกร้อยเหรียญทอง
พี่น้องของพวกเราจะได้ฉลองกัน! ในสถานที่ยากจน บ้านแตกสาแหรกขาดแบบนี้
แทบไม่มีรายได้เราไม่เคยเห็นแกะอ้วนแบบนี้มาครึ่งเดือนครึ่งปีเห็นจะได้ “ ทหารยามตื่นเต้นดีใจ และรายงานนายกองทั้งหมด
นายกองพยักหน้าแสดงว่าเขารับรู้
แม้ว่าเขาจะมีโอกาสเติมเงินเข้ากระเป๋า
แต่เขาไม่มีความสุขและค่อนข้างหวั่นใจ
เป็นไปได้หรือที่กลุ่มค้าทาสจะจ่ายค่าภาษีได้ถึง
800 เหรียญทอง? ต่อให้ลอบขนสินค้าและขายทำรายได้
ก็ไม่มีทางจ่ายภาษีมากขนาดนั้นขณะที่เข้าเมือง
นี่เป็นพฤติกรรมของคนโง่อย่างแท้จริง
ใครกันจะกล้าโปรยเงินอย่างไม่มีเหตุผล
ถ้ากลุ่มค้าทาสนี้จงใจทำเช่นนั้น
เขาทำไปเพื่ออะไร?
ทำไมพวกเขาต้องจ่ายสินบนอย่างมือเติบเพื่อเข้าเมือง?
เจ้าขโมยผู้เบิกทางยิ้มเยาะเย้ยด้วยสายตาทำไม
และเด็กหญิงผู้ลี้ภัยมีสิทธิ์นั่งบนบัลลังก์ทองได้อย่างไร?
ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือนักรบเกราะเงินทั้งสองแต่งตัวเหมือนกัน
แต่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด แต่ทำไมพวกเขาจึงรู้สึกกลัวสองคนนั้น?
นายกองทหารเฝ้าเมืองผู้รับเงินภาษีคิดแล้วคิดอีก
เขาไม่รู้ว่าอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่
ในทิศทางระยะไกลปรากฏกริฟฟินตัวหนึ่งพร้อมกับผู้ส่งสารร่างโชกเลือด
ยังไม่ทันจะเข้าเมืองผู้ส่งสารก็ล้มลง
เมื่อนายกองทหารเฝ้าประตูเมืองคว้าตัวผู้ส่งสารได้
เขาพบว่าคนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสเหลือแต่ลมหายใจรวยริน เขาตะลึงในทันที
ในช่วงที่ใกล้ตายเขาได้สติและจับมือของนายกองทหารยามแน่น “เร็วเข้า รีบไปรายงานท่านเจ้าแคว้นโดยเร็ว เมืองหยางถี
เมืองซาเหยียน เมืองเกอปี้ เมืองจิงจี๋และเมืองหูเถา... ข้า ข้า ข้าเป็นเพียงผู้เดียวที่หลบหนีออกมาได้...
บอกคนของเจ้าแคว้น มีศัตรู... ขอความช่วยเหลือจากราชา...”
คนส่งสารดูเหมือนได้พูดสิ่งที่ต้องการแล้ว แต่เขาไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป
ศีรษะของเขาห้อยพับลงและตายอย่างคับแค้น
“ข้าจะไปเอง...” นายกองได้ทราบข่าวก็พรวดพราดลุกขึ้น
ทั่วทั้งแคว้นเฮยหลิงแตกแล้ว เกิดอะไรกันแน่ เขาไม่รู้ว่าเป็นใคร พื้นที่ซึ่งไม่ใช่เขตสงครามถูกรุกราน ไฟสงครามลามขยายมาถึงพื้นที่บึงหยุดลมหรือ?
เขาเตรียมใช้ความเร็วที่สุดไปยังวังของเจ้าแคว้นเพื่อรายงานข่าวที่น่าเศร้า
แต่ขณะนั้นมีภาพนักโทษที่ถูกมัดและถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม
เลือดนองปรากฏขึ้นมาในใจของเขา
เมืองหยางถี
เมืองซาเหยียน เมืองเกอปี้ เมืองจีจิ้ง เมืองหูเถาและเมืองสุ่ยหนิวถูกศัตรูทำลายทั้งหมด
อย่างนั้นเจ้าเมือง ขุนพลผู้ประจำการจะถูกจับทั้งหมดหรือไม่?
ไม่ถูก..
นายกองทหารยามหวาดกลัวทันที
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้
ขโมยผู้เบิกเส้นทางและจ่ายภาษีอย่างหนักพร้อมกับยิ้มแย้ม
นึกถึงคนวรรณะต่ำผู้ไม่สามารถนั่งบนบัลลังก์ได้ นึกถึงคนที่ถูกจองจำและทรมานในรถนักโทษ
และจำคำสนทนาของนักรบบุรุษสตรีชุดเกราะเงิน นายกองทหารยามหลั่งเหงื่อโชกราวกับถูกฝนพรมร่าง
“เกิดอะไรขึ้น, หัวหน้า!”
ทหารยามหลายคนมองนายกองโดยไม่รู้ตัว
“ข้ามีเรื่องสำคัญมาก ต้องไปรายงานราชา พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ว่าแต่ข้าไม่ต้องการส่วนแบ่งภาษี พวกเจ้าแบ่งไว้บ้างสักเล็กน้อยเถอะ จดจำคืนวันที่ดีเอาไว้!”
นายกองทหารปาดเหงื่อพยายามข่มความกลัวในใจให้สงบลง
“เข้าใจแล้ว! หัวหน้ารีบไป รีบกลับมาเร็วๆ!”
พวกทหารหลายคนได้ยินว่านายกองไม่สนใจเงิน จะรีบไปเฝ้าราชาเพื่อรายงาน พวกเขามีความสุขกันมาก
“กริฟฟินพร้อมแล้ว!”
ฮุยโก่วฉลาดรีบจัดพาหนะเดินทางให้นายกองโดยเร็ว
“พี่น้องทั้งหลาย!
ลาก่อน” นายกองทหารยามขึ้นขี่กริฟฟินและจงใจพูดเช่นนี้
จากนั้นเขากระตุ้นให้กริฟฟินบินอย่างบ้าคลั่ง
เขาปล่อยให้มันบินเร็วที่สุดเท่าที่จะบินได้
สองวันต่อมา
เพราะกริฟฟินทำงานเกินกำลังของมันหนักเกินไป มันบินด้วยความเร็วสูงทั้งวันทั้งคืน มันล้มกับพื้นด้วยความอ่อนแรง นายกองทหารจึงจำต้องทิ้งมัน
นายกองทหารทุ่มเทกำลังทั้งหมดของตนรีบเร่งเดินทาง
สิ่งที่สำคัญที่สุดในใจของเขาคือไม่ใช่แจ้งข่าวกับราชา
เช่นเดียวกันว่าข่าวนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานเลย เชื่อได้ว่าราชาคงจะได้รับข่าวแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือรักษาชีวิต เขาต้องแยกหลบหนีไปทางเมืองที่พระราชาอยู่
เพราะนั่นจะเป็นที่ปลอดภัยที่สุด
เมืองลู่หลิวเมืองหลวงของอาณาจักรจี่ฟงปรากฏขึ้นในสายตา
เมืองลู่หลิวเป็นแผ่นดินที่สงบไม่เคยเกิดสงคราม
เพราะความเข้มแข็งของราชาจื่อฟง
เนื่องจากเมืองตั้งอยู่ในเขตแนวหลังของภูมิภาคสวนสวรรค์
พื้นดินที่นี่ในระยะห้าร้อยลี้อุดมสมบูรณ์ ไม่เคยมีทหารหรือกองกำลังใดๆ
ที่สามารถเข้าโจมตีที่นี่ นายกองเริ่มเห็นภาพเมืองลู่หลิวเลือนราง
นี่ทำให้เขาโล่งใจขึ้นบ้างเล็กน้อย
ดีจริงๆ
ที่เขาหนีมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
เขาถอดชุดนายกองออกและโยนทิ้ง
จากนั้นนำหนังกวางที่ได้มาจากการล่ามานุ่งห่มทำตัวเหมือนว่าเป็นนายพรานที่ดำรงชีวิตอยู่ในป่ามาเป็นเวลานาน
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าการต่อสู้จะดำเนินไปอย่างไร
แต่เขาตัดสินใจทิ้งสถานะของอดีตนายกองทหาร
เปลี่ยนสถานะตนเองปะปนเข้าไปในเมืองลู่หลิวและใช้ชีวิตในเมืองนี้อย่างสงบ เขามั่นใจว่าไม่กลัวอดตาย
ตราบเท่าที่สถานที่อยู่อาศัยมีความปลอดภัยมากพอ จะอยู่ในสถานะใดก็ไม่สำคัญ
เขาตรวจสอบทั้งด้านบนและด้านล่างแล้ว
ไม่พบอะไรผิดปกติ
อดีตนายกองบินออกมาจากพื้นที่ป่าและไปที่ประตูเมืองลู่หลิว
เขาแสดงบัตรประจำตัวพิสูจน์สถานะปลอมและจ่ายค่าธรรมเนียมพร้อมกับยิ้ม
เขาบอกว่าเขาต้องการเข้าเมืองไปซื้อขนสัตว์
“คนป่า!”
ทหารแค่นเสียงรังเกียจและฝืนใจรับค่าธรรมเนียมสองเหรียญทองจากนั้นโบกมือไล่
“ไปเร็วๆ!”
“โห.. ดูๆๆ ดูตรงนั้น มีสาวอกโตด้วย
กลุ่มคนค้าทาสมาแล้ว พระเจ้า!
กลุ่มค้าทาสกลุ่มนี้ดูเหมือนมีน้ำ น้ำมันมากมาย ดูบนหลังมังกรดินสิ
มีบัลลังก์ทอง นี่เป็นกลุ่มค้าทาสกลุ่มไหนกัน?”
ทหารยามหลายคนพูดด้วยความประหลาดใจ
อดีตนายกองทหารจากเมืองเฮยหลิงเมื่อได้ยินถึงกับตัวแข็งทื่อ
เขาหันหลังกลับไปมอง ไม่อยากจะเชื่อหู
และพบว่ากลุ่มค้าทาสที่เขาเคยพบเห็นที่เมืองเฮยหลิงกำลังมาถึงเมืองลู่หลิว
กลุ่มของพวกเขาดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
จำนวนทหารรับจ้างที่รับผิดชอบคุ้มกันมีมากขึ้นกว่าสิบคน
และจำนวนรถนักโทษมีหลายคน
ที่คงเดิมอยู่อย่างเดียวก็คือขโมยผู้ขับขี่กิ้งก่าขายาว ใบหน้าของเขายังคงยิ้ม...
และบนบัลลังก์ทองยังคงเป็นสาวใช้และเด็กหญิงที่อุ้มทารก
เหนือบัลลังก์ยังคงเป็นนักรบเกราะเงินสองคน
อดีตนายกองหวาดกลัวจนแทบล้มลงกับพื้น
เขารู้จักระยะทางระหว่างเมืองเฮยหลิงและลู่หลิวดี
อย่าว่าแต่ใช้มังกรดินเดินทางเลย แต่ให้ใช้กริฟฟินบิน ก็ยังต้องใช้เวลาสิบวัน
เหตุผลที่เขามาถึงที่นี่ได้ภายในสามวันเป็นเพราะเขาพบรอยแยกมิติที่ไม่รู้จัก
และการผ่านรอยแยกมิติที่ไม่รู้จักนี้ อย่างน้อยก็ทำให้การเดินทางมีความปลอดภัยถึง
70%
กลุ่มค้าทาสก้าวย่างเดินทางอย่างนี้จากเมืองเฮยหลิงมายังเมืองลู่หลิว...
อดีตนายกองทหารคิดไม่ถึงจริงๆ เขาไม่กล้ามองเพราะเขาพบว่าร่างโชกเลือดที่ถูกจองจำดูคุ้นเคย..
เจ้าขโมยที่ทำหน้าที่เบิกทางสายตาแหลมคม เขากระโดดลงจากหลังกิ้งก่าขายาว
เขายิ้มแล้วเข้ามาหานายกองของเมืองเฮยหลิงและกล่าว “เจ้ามาได้เร็วมากจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาอยู่ต่อหน้าเราได้”
8 ความคิดเห็น:
พี่เย่วกวนทุดตอนจริงๆ ^^
เละอีกเมืองแน่ๆ
โจรชัดๆ ปล้นทุกเมืองเลยนิ
ใจจ้า
ขอบคุณครับ
แล้วกิ้งก่า กะ มังกรดินมาทันได้ไง หรือว่าวาร์ปมาโดยฝีมือไอ้สามอีกแล้ว
ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากครับ
แสดงความคิดเห็น