วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1060 พูดถึงประสบการณ์ชีวิต!



ตอนที่  1060  พูดถึงประสบการณ์ชีวิต!

คำถามของมหาบัณฑิตพันปี ทำให้เย่ว์หยางคิด


อะไรคือความลับของชีวิต?

เหตุใดมนุษย์ถึงยิ่งก้าวหน้าก็ยิ่งกร้าวแกร่ง?  ทำไมอสูรศึกทั้งหมดถึงวิวัฒนาการขั้นสูงสุดเป็นร่างมนุษย์?

เย่ว์หยางรู้ว่าการเปลี่ยนไปเป็นร่างมนุษย์คือรูปแบบชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุดของอสูรศึก และยังคงเป็นรูปแบบที่แข็งแกร่งที่สุด  เขารู้กระบวนการและผลลัพธ์ในเรื่องนี้  แต่เขาไม่ทราบความลับของการวิวัฒนาการว่าทำไมถึงต้องวิวัฒนาการไปในทำนองนั้น  ทำไมถึงไม่เป็นไปในทางอื่น  หรือว่าถ้าวิวัฒนาการไปในทิศอื่นจะเป็นเหตุไม่ทำให้แข็งแกร่งเท่าร่างมนุษย์?  บางทีอาจกล่าวได้ว่าการเปลี่ยนเป็นมนุษย์สามารถเรียนรู้เหมือนมนุษย์ ปลูกฝังแนวคิดในการใช้ปัญญา...  แต่ต้องย้อนถามอีกครั้ง  ทำไมมนุษย์ถึงฉลาดที่สุด?  ทำไมการเรียนรู้ การฝึกฝนและการก้าวหน้าพัฒนาของมนุษย์จึงเร็วที่สุด?

ระหว่างสวรรค์และโลก ใครสร้างชีวิตที่ซับซ้อนเช่นนี้?

และทำไมชีวิตนับไม่ถ้วนเหล่านี้จึงถูกสร้างขึ้น?  ความสำคัญของการมีอยู่ของพวกเขาในโลกนี้ก็คือ ความเป็นมนุษย์ ใช่หรือไม่?

เขาปล่อยวางคำถามเหล่านี้

เมื่อมองกลับมาที่ตนเองเย่ว์หยางจะเห็นความลับของชีวิต  แน่นอนว่าเขายังไม่เชี่ยวชาญ ดังนั้นเขาจึงยังไม่สามารถสร้างชีวิตเหมือนเทพเจ้าได้

แต่ถ้าลองคิดในทางกลับกัน ถ้าเขาเข้าใจความลับแห่งชีวิต  เขาจะสามารถสร้างชีวิตได้หรือไม่?  เทียบเท่ากับการเข้าสู่ขอบเขตของเทพหรือไม่?

ความคิดนี้

ทำให้หัวใจของเย่ว์หยางตื่นเต้นทันที

ตอนนี้เขาเป็นกังวลที่จะรู้ความลับของชีวิตจากคำพูดของมหาบัณฑิตพันปี  แม้ว่าเขาจะรู้ความลับนี้  แม้ว่าจะยังไม่บรรลุถึงระดับเทพ แต่ก็คาดว่าจะช่วยให้เขาก้าวหน้าต่อไปในอนาคต   นางพญาเฟ่ยเหวินหลีบรรลุพลังปราณราชันย์ระดับศักดิ์สิทธิ์   พลังของนางเท่ากับพลังของเทพในตำนาน นางสามารถสร้างปาฏิหาริย์โดยการสร้างโลกหิมะน้ำแข็งทั้งที่ยังอยู่ในมิติหลุมดำได้  แต่นางไม่สามารถสร้างชีวิต มีอยู่ครั้งหนึ่งนางคืนชีพเสี่ยวเหวินหลีด้วยตัวนางเอง  และนางไม่ได้มองตัวนางเอง นางรู้ว่ามีอุบัติเหตุในกระบวนการคืนชีพเกินกว่าจะคาดคิด  ดังนั้นเสี่ยวเหวินหลีจึงกลายเป็นธิดาของนาง

ถ้าเขารู้ความลับของชีวิตและใช้กับนางพญาเฟ่ยเหวินหลี  นางจะกลับขึ้นมาข้างบนได้หรือไม่?

จื้อจุน จักรพรรดินีราตรี นางเซียนหงส์ฟ้า เสวี่ยอู๋เสีย เชี่ยนเชี่ยน...ทุกคนมีสถานะที่แตกต่างกัน  ถ้าพวกนางเชี่ยวชาญความลับของชีวิตในตอนนี้ และฝึกฝนจะได้ผลลัพธ์ของการฝึกฝนเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว

นอกจากนี้หากตัวเขาเองชำนาญความลับของชีวิต  อย่างนั้นบางที อาหมัน อาหง เจี้ยงอิง ภูตฟ้าปั่นป่วน ฯลฯ อาจจะมีวิวัฒนาการที่ดีได้

หากกล่าวว่ามีเรื่องที่จำเป็นต้องทำเร่งด่วน อย่างนั้นก็ต้องทำเรื่องนี้

ความลับของชีวิต....  หัวใจของเย่ว์หยางเต้นแรงเป็นร้อยครั้ง เพราะมหาบัณฑิตพันปีหยุดและไม่พูดอะไรต่อ  เขาต้องการเข้าไปหาแล้วให้ชายชราเล่าเรื่องความลับของชีวิต สอบถามเกี่ยวกับแนวคิดขั้นต่อไป  แต่เมื่อเย่ว์หยางยังฝึกฝนอยู่ในระดับต่ำ เขาจึงไม่เข้าใจความต้องการของเขามากนัก  เขาไม่ได้สำรวจลึกลงไป และคัมภีร์โบราณที่หอทงเทียนก็มีเป็นจำนวนมาก  แต่ไม่มีพูดถึงแนวทางนี้

บางทีความรู้ที่ได้รับตกทอดมาจากพี่สาวแม่สี่  ทั้งยังมีมรดกนักรบที่โลกพฤกษาและแก่นพลังวงเวทรูนยักษ์ที่เขาเก็บไว้

ส่วนที่ซ่อนเร้นซึ่งเย่ว์หยางยังไม่สามารถมองเห็นได้นั้น ก็คือสัจจะ

แม้แต่การสอนปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ของเทพธิดากระบี่ฟ้ายังมีปริศนา  น่าเสียดายที่ในเวลานั้นเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจถึงวิถีกระบี่ที่ลึกซึ้ง

เขาต้องคว้าโอกาสไขปริศนา

ความลับของชีวิต ความจริงเป็นเช่นไรกันแน่?

ไม่เพียงแต่เย่ว์หยางเท่านั้นที่อยู่นอกหน้าต่าง  แต่ผู้เกิดใหม่ก็นั่งฟังอยู่ด้วย แต่พวกเขาก็อยากรู้อยากเห็น

 “ประการแรกเลย สิ่งที่ข้าอยากจะบอกก็คือมิติดินแดนฝึกฝีมือคือสถานที่ให้นักรบได้เลื่อนระดับไปเป็นระดับเทพ  กล่าวอีกอย่างหนึ่งนี่คือสถานที่ฝึกฝนเทพเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นด่านแรก หรือด่านที่สิบวัตถุประสงค์ล้วนเหมือนกัน  บางคนในที่นี้อาจนึกว่าข้าไม่ได้พูดอะไรมากมาย  แต่ข้าอยากจะบอกถึงประเด็นอย่างอื่น นั่นคือสถานที่มิติดินแดนฝึกฝนแห่งนี้ทำให้ผู้คนเข้าใจความลับของชีวิต  แต่ละระดับมีการเปิดเผยชีวิตที่แตกต่างกัน ลองนึกย้อนกลับไปอีกครั้ง สามด่านแรก เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการท้าทายของชีวิตเมื่อเผชิญความยากลำบากต่างๆ นานา  ตั้งแต่ด่านที่สี่หุบเขาราคะ เราเริ่มเข้าใจตัวของเราเอง ทำอย่างไรจึงจะเผชิญหน้ากับความปรารถนาที่ยากที่เราจะปล่อยวางในที่สุดและควบคุมจิตใจของเราไว้  จากนั้นเป็นหุบเขาอสูรซึ่งเป็นด่านที่ห้า  เราก็เริ่มเข้าใจพวกอสูร ชีวิตที่มีความภักดีใกล้ชิดเราที่สุด  เราพยายามเข้าใจกระบวนการเติบโตของชีวิต  แม้ว่าจะเป็นความรู้เพียงผิวเผินก็ตาม  แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี”

 “ด่านที่หกหุบเขาปีศาจ มองผิวเผินเหมือนกับเป็นสงครามชาติพันธุ์ เป็นการต่อสู้ของสองค่ายฝ่ายมืดกับฝ่ายสว่างเพื่อเอาชนะกัน   ความจริงนั้นมีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงเพิ่มขึ้นมานอกจากการสำรวจความลับของชีวิตให้มากขึ้น  ความเข้าใจที่ดีขึ้นผ่านการเติบโตของอสูรศึกและการพัฒนาตนเอง  นอกจากนี้ยังมีความหมายที่ซ่อนอยู่นั่นคือ ความคล้ายคลึงกันและความแตกต่างกันแห่งชีวิต เมื่อต้องทำตัวเลือกที่แตกต่างกัน”

 “ชีวิตไม่ใช่เส้นตรง มีผลต่างกันหลังจากที่พวกเจ้าเลือก

 “อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง”

 “ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง ในฐานะคนเลือกเจ้าต้องรับผลที่ตามมาจากการเลือกของเจ้า  ในฐานะของผู้เป็นใหญ่เจ้าควรคิดถึงตัวเลือกที่เจ้าเลือกไว้ เพราะว่าตัวเลือกไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด นั่นจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของเจ้าไม่มากก็น้อย”

 “ถ้าพวกเจ้ายังไม่พร้อมจะรับผลตามมาที่เลวร้ายที่สุด   ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าหยุดและคิดเรื่องนี้ให้ดี  เมื่อเจ้าพบกับตัวเลือกที่สำคัญในอนาคต”

 “ชีวิตจะไม่มีโอกาสกลับมาได้อีก”

 “เมื่อเลือกผิด เจ้าก็ต้องจ่ายด้วยคุณค่ามหาศาลเพื่อชดเชยความสูญเสียที่เกิดจากการเลือกผิดของพวกเจ้า และแม้แต่ตัวเลือกบางตัวก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้”

 “ไม่ว่าจะเพื่อตนเอง หรือเพื่อญาติสนิทมิตรสหายของพวกเจ้า  เจ้าต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับตัวเลือกของเจ้า  และเจ้าไม่สามารถโอนเอนไปทางซ้ายหรือขวาได้ และอย่าคาดหวังผู้อื่น พวกเจ้าต้องควบคุมชีวิตของตัวเจ้าเองและตัดสินใจด้วยตนเอง  ผู้ที่สามารถกุมชะตาของตนเองและสามารถสร้างจิตสำนึกส่วนตัวให้มีทางเลือกได้หลากหลายในชีวิต พวกเขาคือผู้ทรงอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง  ตอนนี้พวกเจ้าอาจเข้าใจว่าหากพวกเจ้าต้องการเข้าใจความลับของชีวิตอย่างแท้จริง  พวกเจ้าต้องเริ่มต้นด้วยการควบคุมชีวิตตัวพวกเจ้าเอง”

 “พวกเจ้าไม่สามารถเชี่ยวชาญในการคุมชะตาตนเอง  แล้วจะรู้ความลับที่แท้จริงของชีวิตได้อย่างไร?”

 “ในด่านทั้งหกนั้น ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าผ่านมาได้อย่างไร  แต่ข้าสามารถบอกพวกเจ้าได้เดี๋ยวนี้เลยว่า ทุกความท้าทายคือโอกาสเติบโตก้าวหน้าอย่างแท้จริง  ทุกปัญหาคือโอกาสให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแท้จริง  แน่นอนว่าจะเป็นเหมือนกันในอนาคต หากพวกเจ้าเข้าใจ  พวกเจ้าจะไม่ยอมแลกเปลี่ยนความมั่งคั่งหรือผลประโยชน์ใดๆ ในโลกแน่  ในทางตรงกันข้าม ถ้าพวกเจ้าพลาด นั่นจะเป็นการพ่ายแพ้ที่ไม่มีโอกาสแก้ไขได้

 “นี่ไม่ใช่ปาฐกถาธรรมของคนรุ่นก่อน  แต่เป็นคำแนะนำอย่างจริงใจของผู้พ่ายแพ้คนหนึ่ง”

 “เด็กๆ ทั้งหลาย จงฟังให้ดี  ถ้าพวกเจ้าสามารถเผชิญกับความยากลำบากทุกอย่างได้  อย่างนั้นเจ้าจะพบว่าชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไป   ชีวิตน่าตื่นเต้นมากกว่าที่พวกเจ้าคิด และผลตอบรับจากการเติบโตและผลสำเร็จอื่นๆ ล้วนเกินจินตนาการของพวกเจ้า แน่นอนว่าข้ารู้ด้วยว่าเป็นเรื่องยาก และยากจะลงมือทำได้  เพราะยากจะทำให้ดูเหมือนว่าสิ่งนี้มีค่า และเป็นการฝึกฝนเพื่อการก้าวหน้าจริงๆ

มหาบัณฑิตพันปีพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้เย่ว์หยางที่นั่งฟังคล้ายเกิดสติปัญญา ทั้งตัวเต็มไปด้วยชีวิตชีวากระตือรือร้น

หลายอย่างที่ยากต่อการเข้าใจ  ปมปริศนาพลันได้รับการเฉลยในใจเขาทันที

ภายในใจ

ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกว่าตัวเขาอุดมไปด้วยความรู้นับไม่ถ้วนราวกับว่าความหมายที่แท้จริงของชีวิตอยู่ในกำมือของเขาแล้ว

แม้ว่าความลับของชีวิตเขายังไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ แต่ทุกประโยคและความจริงทุกข้อของมหาบัณฑิตพันปี เย่ว์หยางได้ยินหมดแล้ว

หากเขาไม่ได้ฟังอยู่นอกหน้าต่าง เขาอยากตะโกนโห่ร้องออกมาดังๆ ระบายความอัดอั้นตันใจที่เก็บไว้เป็นเวลานานและก้าวหน้าต่อไปได้ทันที  เย่ว์หยางไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของมิติดินแดนฝึกฝีมือ  แต่เมื่อใกล้จะจบ เขาตระหนักได้เป็นธรรมดาถึงขอบแขตที่มหาบัณฑิตพันปีกล่าว  และตรงตามความต้องการฝึก เขาได้รับรางวัลมรดกโบราณมากมาย กลายเป็นโชคดีให้ผู้คนอิจฉา...  แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ได้โชคดี  แค่มีคุณสมบัติภายใต้ข้อกำหนดที่มองไม่เห็นของการผ่านด่าน  บางอย่าง  เย่ว์หยางจึงเป็นผู้ท้าทายผ่านด่านที่มีคุณสมบัติอย่างแท้จริง

 “ท่านมหาบัณฑิตที่นับถือ!  ข้าขอถามท่าน ความสำคัญของการผ่านด่านที่เจ็ดคืออะไร?”  บางคนทนรอไม่ไหว รีบยกมือเพื่อตั้งคำถาม

ทุกคนต้องการรู้เกี่ยวกับปัญหานี้

เมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว อย่างนั้นการจะมีส่วนช่วยเหลือในอยู่ในหุบเขามนุษย์มาก

มหาบัณฑิตพันปีไตร่ตรองปัญหานี้อยู่นานเหมือนจะพิจารณาว่าควรบอกทุกคนหรือไม่  รวมทั้งเย่ว์หยางที่อยู่นอกหน้าต่าง เขาตั้งสมาธิฟัง และทุกคนต้องการคลี่คลายปริศนา  ไม่ต้องการคำปฏิเสธ

 “ทุกคนอาจต้องการจะรู้  ถ้าข้าบอกคำตอบออกไป  ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเสียใจที่จะบอกพวกเจ้าในที่นี้ได้เลยว่า ต่อให้พวกเจ้ารู้คำตอบ ก็ไม่มีทางช่วยอะไรได้  ตรงกันข้าม พวกเจ้าอาจจะสับสนมากยิ่งขึ้น เพราะเจ้าทุกคนเป็นผู้เกิดใหม่ในหุบเขามนุษย์”  มหาบัณฑิตพันปีหัวเราะ แต่เขาไม่ได้ปกปิดอะไร  เขาส่งสัญญาณให้ทุกคนสงบลง  “ด่านที่เจ็ด ความสำคัญของการทดสอบในหุบเขามนุษย์ก็คือ เพื่อให้ทุกคนสังเกตตนเอง รายละเอียดที่ผ่านมาในชีวิตของพวกเจ้ามากขึ้นและการทดสอบต่างๆ ที่พวกเจ้าพบในหุบเขามนุษย์  นี่คือสถานที่ซึ่งจะทรมานร่างกายภายในของพวกเจ้า  หากพวกเจ้าเข้าใจว่าหัวใจของมนุษย์คืออะไร และมนุษย์ที่แท้จริงคืออะไร มนุษย์มีคุณสมบัติอย่างไร   ดังที่ข้าได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ มนุษย์อ่อนแอมากที่สุด แต่ก็มีศักยภาพมากที่สุดเมื่อทุกคนมาที่นี่ ทำไมถึงกลายเป็นมนุษย์ได้ยากที่สุด?  เหตุผลก็คือการใช้ตัวตนของมนุษย์เพื่อปลุกหัวใจของมนุษย์ของพวกเจ้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ไม่ว่าจะเป็นปีศาจ เทวดา เอลฟ์ หรือโนม  ถ้าพวกเจ้าสามารถอาศัยอยู่ในหุบเขามนุษย์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังยุทธ์ และไม่มีความช่วยเหลือจากภายนอก  ถือได้ว่าพวกเจ้าอยู่ใกล้ชีวิตมนุษย์  หลังจากรู้เรื่องนี้แล้วจึงจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และสำเร็จเป้าหมายสูงสุดของการทดสอบของหุบเขามนุษย์”

 “ทำไมในหุบเขามนุษย์จึงไม่สามารถใช้พลังยุทธ์ได้?  เหตุผลก็คือทันทีที่พวกเจ้ามีพลัง ไม่ว่ามนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อื่น พวกเจ้าจะปล่อยให้พลังครอบงำทุกอย่างในชีวิต  พวกเจ้าจะไม่เข้าใจหัวใจของมนุษย์ที่แท้จริง และพวกเจ้าจะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมนุษย์ เด็กๆ ทั้งหลาย การเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่ยากที่สุด  ถ้าพวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ นั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของความก้าวหน้า

 “มันไม่มีประโยชน์ที่จะตอบคำตอบ  เพราะพวกเจ้ามีชีวิตที่ต่างกัน เป็นตัวเองสำคัญที่สุด”

 “ใช้ชะตาของพวกเจ้าเกาะกุมโอกาส  และพวกเจ้าจะมีชีวิตที่น่ามหัศจรรย์!

 “มีประสบการณ์ที่ดีในชีวิตของพวกเจ้า  พวกเจ้ามีโอกาสพบประสบการณ์ที่มีค่าอย่างนี้ เทพเจ้าจะมอบให้กับทุกเผ่าพันธุ์  ในท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง

เย่ว์หยางยิ่งฟังก็ยิ่งพลุกพล่านใจ

เขาอดตะโกนไม่ได้ “เยี่ยม”

พูดให้ถูกก็คือ นี่คือบทเรียนที่จริงจังที่สุดที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต  รายละเอียดในบทเรียนนี้ให้ความกระจ่างในชีวิตของเขาทั้งหมด

 

5 ความคิดเห็น:

zen zen กล่าวว่า...

สาระทั้งบท

หมูน้อย กล่าวว่า...

ไม่มีน้ำ มีแต่เนื้อสาระทั้งนั้นเลย

manit กล่าวว่า...

ใจจ้า

chay กล่าวว่า...

เน้นๆ

Puisiwa กล่าวว่า...

โอ้วปรัชญา

แสดงความคิดเห็น