ตอนที่ 426 หน้าด้านไร้พรมแดน
ขณะที่เหยียนเชียนจ้งประกาศความลับของอาณาจักรสือเทียนลั่นนั่นเอง
เฟิงขวงเข้ามารายงานว่ามีคนนำสารสองสามคนมาจากวังมาร
เขาเป็นตัวแทนมารกฎฟ้ามาเชิญคุณชายสามตระกูลเย่ว์มาพบปะสนทนากันที่หุบเขาเสียหม่า
จุนอู๋โหย่วและคนอื่นมองเย่ว์หยางเหมือนกับเป็นเด็กที่น่ารำคาญ
ก่อนที่เย่ว์หยางจะออกไป
จุนอู๋โหย่วฉุดมือเย่ว์หยางไว้และถามว่า
“เจ้ามีรหัสลับอะไรที่ตกลงไว้กับมารกฎฟ้าบ้างไหม? นี่อาจเป็นกับดัก?”
เย่ว์หยางรู้สึกพูดไม่ออก
แต่ก็ยังแสดงท่าทางเหมือนกับคนมีความมั่นใจ “ความจริง
ข้ากับมารกฎฟ้าเป็นแค่สหายที่บริสุทธิ์ใจต่อกัน
เราคบหากันเพื่อฝึกฝนฝีมือให้ก้าวหน้าระดับสูง ไม่ว่าก่อนนั้นหรือตอนนี้ ความสัมพันธ์ของเราก็ยังเป็นฉันท์เพื่อนอยู่”
ทุกคนในวังหลวงแทบสลบ
ทุกคนเกือบจะทนไม่ได้อีกต่อไป
เจ้าเด็กนี่มิเพียงแต่มีความหน้าหนาอยู่ในระดับสูงเท่านั้น แต่ยังหน้าด้านได้ทุกระดับทุกท้องที่จริงๆ
แม้แต่จุนอู๋โหย่วก็มีประสบการณ์จอมเจ้าชู้เสือผู้หญิงมาแล้ว ยังแทบไม่อาจทนรับความหน้าหนาของเย่ว์หยางได้ บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่มีลูกด้วยกันและคงทำอะไรกับทุกอย่างไปแล้ว แต่เขายังกล้าพูดว่า “มีสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน”
อีกหรือ? “เพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจน่ะหรือ?
ถ้าเขาพูดเช่นนี้กับคนอื่น คงมีแต่คนโง่เท่านั้น
ที่เชื่อเขา
ไม่ว่าเป็นกับดักหรือไม่ เย่ว์หยางตั้งใจจะไปหุบเขาเสียหม่าอยู่แล้ว
ถ้ามารสัมฤทธิ์ฟ้าต้องการฆ่าเย่ว์หยางจริงๆ ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะทำเช่นนั้นจะไม่ทำที่หุบเขาเสียหม่า
มารสัมฤทธิ์ฟ้าจะทำช่วงที่เย่ว์หยางอยู่ในช่วงวิกฤติระหว่างต่อสู้กับราชาเฮยอวี้
ความจริงที่ว่าพวกเขาเชิญเขามาที่หุบเขาเสียหม่าก็หมายความว่าพอมีพื้นที่ให้หันหลังกลับ..แน่นอนว่า
เย่ว์หยางเชื่อว่ามารสัมฤทธิ์ฟ้ารู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมารมังกรฟ้า เรื่องที่เขาสังหารมารมังกรฟ้าคงปกปิดไว้ได้เพียงชั่วเวลาสั้นๆ
บางทีมารสัมฤทธิ์ฟ้าคงรู้ความจริงเรื่องนี้มานานแล้ว
แต่เขาไม่ได้พยายามเผชิญหน้ากับเย่ว์หยางทันที
ดูเหมือนเย่ว์หยางคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ในหุบเขาเสียหม่าได้ เขาไม่มีอะไรต้องสูญเสีย ถ้าเขาสู้กับมารสัมฤทธิ์ฟ้าผู้มีทุกอย่าง มารสัมฤทธิ์ฟ้าจะเป็นฝ่ายสูญเสียบางอย่าง ไม่ว่ายังไงก็คงได้เวลาพบกับมารสัมฤทธิ์ฟ้าแล้ว
หุบเขาเสียหม่า
ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่งดงาม
กล่าวกันว่าเป็นสถานที่มีทุ่งหญ้าสวยงามมาก่อน ทัศนียภาพที่งดงาม ทุ่งหญ้าที่เขียวขจี
บทเพลงของคนเลี้ยงแกะมีอยู่เต็มทั่วสถานที่นี้ตามปกติ
เป็นที่เปี่ยมสุขซึ่งหาได้ยากในโลกนี้
จนกระทั่งวันหนึ่ง บุรุษสองพี่น้องก็มาถึงยังสถานที่นี้
คนพี่ปรารถนาจะใช้ที่นี่เป็นที่ฝึกวิทยายุทธทั้งหมด เขาจึงแนะนำน้องชายว่าพวกเขาจะเดินทางไปทิศตะวันออกเพื่อตามหาเซียนบูรพาในตอนนั้นและฝากตัวเป็นศิษย์ น้องชายกลับตรงกันข้าม เขารู้สึกว่าพวกเขาควรเดินทางไปทิศตะวันตก และรู้สึกว่าเซียนประจิมนั้นกล้ารักกล้าชัง
เมื่อเทียบกับเซียนบูรพาที่ใช้ชีวิตง่ายๆ เซียนประจิมเหมาะที่จะเป็นอาจารย์พวกเขามากกว่าเซียนบูรพา
ความจริงทั้งสองพี่น้องมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แต่หลังจากบิดามารดาของพวกเขาเสียชีวิต ทรัพย์สินมรดกของพวกเขาถูกลุงของพวกเขาช่วงชิง สองพี่น้องถูกขับออกจากบ้านตัวเอง ดังนั้นน้องชายต้องการเป็นคนแข็งแกร่ง
และจะกลับมาทวงคืนบ้านและทรัพย์มรดกของพวกเขาในอนาคต
ที่น่าเจ็บใจก็คือคนพี่ถูกโจรทำร้ายบาดเจ็บหนักในระหว่างทางและได้พบกับเซียนประจิมที่ผ่านมาโดยบังเอิญ
ขณะเดียวกัน คนน้องชายได้ช่วยเด็กสาวไว้จากพวกโจร และเพราะเหตุนี้
เขาจึงได้รับความโปรดปรานจากเซียนบูรพา
เพราะเด็กสาวคนนั้นคือหลานสาวของเซียนบูรพา
สิบปีต่อมาผู้พี่ชายมีบุคลิกเปลี่ยนไปหลังจากเรียนวิชากับเซียนประจิม
เขากลายเป็นนักรบชั่วร้ายใจแคบและเจ้าอารมณ์
ตรงกันข้ามกับคนผู้น้องซึ่งได้แต่งงานกับหลานสาวของเซียนบูรพาจนมีลูกหลายคน
ภายใต้การสั่งสอนให้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุข
เขาเริ่มปล่อยวางความคิดที่จะแก้แค้นลุงของเขาและชิงเอาบ้านและทรัพย์สินมรดกกลับคืนมา เมื่อสองพี่น้องมาพบกันอีกครั้ง
เนื่องจากแนวความคิดและปรัชญาในการดำรงชีวิตแตกต่างกัน พวกเขาจึงมองหน้ากันไม่ติด ในที่สุดพวกเขาก็ต่อสู้กันเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
น้องชายมีฝีมือแข็งแกร่งกว่าพี่ชายได้พลั้งมือฆ่าพี่ชาย
จากนั้นเรื่องนี้กลายเป็นชนวนการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างเซียนประจิมที่ต้องการล้างแค้นให้ศิษย์ของเขา และเซียนบูรพาผู้ต้องการปกป้องหลานเขยของตน
การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ได้ทำลายหุบเขาเสียหม่า พื้นหุบเขาถูกเผาราบ จากนั้นน้ำก็ท่วม
เมื่อเซียนประจิมและเซียนบูรพาใช้พลังกันไม่มียั้ง แรงปะทะทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และสายฟ้าได้ฟาดผ่าแยกแผ่นดินจากกัน
ในที่สุดพื้นก็แยกออกเป็นสอง ก่อให้เกิดหุบเขาเสียหม่า
สำหรับอาณาจักรต้าเซี่ย หุบเขาเสียหม่าเป็นแผ่นดินของบรรพบุรุษพวกเขา ทั้งนี้เป็นเพราะตำนานนั้นมีจริง ผู้ก่อตั้งอาณาจักรต้าเซี่ยความจริงเป็นลูกหลานของผู้น้องผู้เป็นชนวนสำคัญของการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างเซียนประจิมกับเซียนบูรพา ส่วนอีกฝ่ายนักรบวิบัติจากวังมาร
ความจริงก็คือลูกหลานของผู้พี่
จากการต่อสู้ครั้งใหญ่ในหุบเขาเสียหม่า
ตั้งแต่สามพันปีมาแล้ว
ทั้งสองครอบครัวจะดำเนินการต่อสู้ในหุบเขาเสียหม่าทุกๆ สิบปี ความแค้นกินลึกลงมาถึงในรุ่นผู้เยาว์ในแต่ละรุ่น จนกระทั่งวันหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นที่รักของทั้งสองครอบครัวฆ่าตัวตายต่อหน้าอนุเสาวรีย์เลือดเสียหม่าเพื่อหยุดยั้งการต่อสู้ระหว่างสองครอบครัว จากนั้นมาสองครอบครัวจึงเลิกราการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นนี้
ลูกหลานฝ่ายน้องชายเริ่มต้นก่อตั้งอาณาจักรต้าเซี่ย
ลูกหลานของคนพี่ยังคงหลงอยู่กับความเกลียดชังตามวิธีของพวกเขาต่อไปและก่อตั้งวังมาร
พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมคืนดีกับลูกหลานของน้องชาย
เว้นแต่เด็กสาวที่ฆ่าตัวตายเวลานั้นสามารถคืนชีพได้
“นั่นเป็นเรื่องราวที่เจ็บปวดเสียวลึกถึงก้น!”
เมื่อองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเล่าตำนานเรื่องนี้ให้เย่ว์หยางฟัง เจ้าเด็กนั่นมีท่าทีเช่นนี้
ซึ่งผลในตอนนั้นก็คือ เขาโดนองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนทุบตีอย่างดุดัน และทำให้นางไม่คุยกับเขาไปทั้งวัน
ตอนนี้ ขณะที่เย่ว์หยางย่างเท้าเข้าหุบเขาเสียหม่า
เขารู้ได้ว่านี่เป็นแผ่นดินที่แห้งแล้งกันดาร
สิ่งที่น่าแปลกประหลาดที่สุดในโลกก็คือที่นี่สีแดงเหมือนเลือดมนุษย์
แม้ว่าเย่ว์หยางจะรู้ว่าไม่ใช่เพราะพื้นดินเปื้อนเลือดมนุษย์แน่นอน แต่เขาก็รู้สึกหดหู่อย่างช่วยไม่ได้
แน่นอน มีความผิดปกติอย่างเดียว
แต่ไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งหรอกหรือ?
เมื่อยังดำเนินการต่อสู้เสี่ยงชีวิตของพวกเขากันต่อไป พวกเขาช่างโง่เกินเยียวยาจริงๆ
เย่ว์หยางไม่เคยลองเอาตนเองเข้าไปเทียบ ถ้ามีคนต้องการชิงตัวเจ้าเมืองโล่วฮัว,
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนหรือเสวี่ยอู๋เสียไปจากตัวเขา เขาจะยังไม่ทำอะไรเพื่อชิงพวกนางกลับคืนมาหรือ?
อย่าว่าแต่พวกนางเลย
ต่อให้มีคนบังอาจคิดแทะเล็มสาวน้อยเอลฟ์ทองผู้น่ารัก เย่ว์หยางคงตัดศีรษะเจ้าคนผู้น่าสงสารนั้นได้อย่างไม่ลังเลใจเลย
แล้วการชิงผู้หญิงไปจากคนที่มาจากมิติอื่นเล่า? นี่เป็นการขัดต่อบัญชาฟ้าชัดๆ
มารกฎฟ้าไม่มีทางเชิญเย่ว์หยางมาในที่แบบนี้แน่นอน นี่ต้องเป็นมารสัมฤทธิ์ฟ้า
การเชิญเย่ว์หยางมาหุบเขาเสียหม่ามีความหมายแฝงที่ลึกซึ้ง
เป็นเหมือนกับว่าพวกเขาต้องการใช้สิ่งนี้เพื่ออธิบายว่าพวกเขาทั้งสองครอบครัวมีชะตากรรมต่อต้านกันตลอดไป ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกัน
เย่ว์หยางเข้าใจเรื่องนั้นดี
แต่แกล้งทำเป็นไม่พาตัวอยู่วงนอก แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจอะไร เขาถือคติว่าด้านได้ อายอด มีแต่พวกโง่ๆ
เท่านั้นที่ส่งคนซื่อตรงไปเจรจากับศัตรู
“ตง, ตง, ตง, ตง, ตง.....”
เสียงกลองแว่วมาจากที่ไกล ทำให้หัวใจของผู้อื่นเต้นเร็ว นี่ไม่ใช่กลองศึก แต่เป็นกลองงานศพที่ทำให้คนอื่นอึดอัดใจเสียมากกว่า
เมื่อเย่ว์หยางได้ยินเสียงนี้
เขาเปลี่ยนจังหวะก้าวเดินทันที ทำเหมือนกับว่ากำลังฉายภาพสโลว์โมชั่นและเขาเดินขึ้นหน้าช้าๆ
เมื่อเขาไปถึงแหล่งของเสียงกลอง นักรบร่างยักษ์กำลังตีกลองอย่างหนัก ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
นักรบร่างยักษ์กล้ามเนื้อเป็นมัดจึงหยุดตีกลองในที่สุด และใช้ตาที่เหมือนกับตาวัวจ้องมองเย่ว์หยาง คำรามใส่เย่ว์หยางดูราวกับว่าต้องการจะกินเย่ว์หยางทั้งตัว “เจ้าทำบ้าอะไรอยู่?
เดินช้าอืดอาดอย่างนั้น
นี่ข้าใจดีมากแล้วนะถึงได้ตีกลองบอกให้เจ้าได้รู้ตำแหน่งนัดพบ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก ถ้าเจ้าขอบคุณข้าเสียบ้าง แต่เจ้ายังกล้าเดินช้าเหมือนทากคลานอย่างนั้น! เจ้าคิดจะสร้างความลำบากใจให้ข้าใช่ไหม? มาเลย,
ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้า”
เมื่อเย่ว์หยางได้ยินเช่นนี้
เขายิ้มกว้างจนเห็นฟันทุกซี่สดใสเหมือนดวงตะวันทันที
พวกเขากล่าวกันว่าคนเราจะไม่ทุบตีคนที่เป็นมิตรยิ้มแย้มแจ่มใส
หมัดของนักรบยักษ์จวนจะถึงปลายจมูกของเย่ว์หยาง แต่เขาก็ยั้งหมัดไว้ในที่สุด “ไม่ต้องมายิ้ม ให้ข้าทุบตีเจ้าให้เละก่อน
เอาให้โชกเลือด
ข้าโมโหทุกทีที่เห็นเด็กหน้าตาดีอย่างเจ้า”
เย่ว์หยางยิ่งยิ้มกว้างอีกขณะที่หัวเราะ
“พี่ชายท่านนี้ จะให้ข้าเรียกท่านอย่างไรดี? มารฟ้าพิโรธ
หรือว่ามารฟ้าสังหาร?”
“ใครเป็นพี่เจ้า?
และชื่อของข้าไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า!” นักรบร่างยักษ์ยิ่งโกรธขึ้นอีก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเจ้าเด็กนี่ แต่เขายังกล้าเรียกเขาว่าพี่ชาย
ถ้าพบกับเขาอีกครั้งเจ้าเด็กนี่มิเรียกเขาว่าลุง หรือปู่หรอกหรือ เขาไม่เคยพบคนแปลกประหลาดมาก่อนในชีวิต ถ้าเจ้าเด็กนี่เข้ามาหาเขาและเริ่มสู้กับเขาทันทีโดยไม่พูดอะไร เขาก็คงไม่ว่ากระไร แต่เจ้าเด็กนี่ไม่ได้มีทีท่าอะไร แถมเรียกเขาว่าพี่อย่างใกล้ชิด เขาจึงสูญเสียเหตุที่จะหาเรื่องเล่นงานเขา
“มารกฎฟ้าคือว่าที่ภรรยาของข้า
ดังนั้นท่านก็อาจนับได้ว่าเหมือนเป็นครอบครัวของภรรยาข้า พอเห็นว่าท่านแก่กว่าข้ามาก ข้าคิดว่าเรียกท่านว่าลุงน่าจะดีกว่า!” เย่ว์หยางพูดอย่างนี้เหมือนกับว่าเขาไม่ถือสาเจ้ายักษ์ผู้นี้ เขาอาจเรียกยักษ์ผู้นี้เป็นท่านปู่ก็ยังได้
ดูเหมือนว่าเย่ว์หยางก็คาดว่าเจ้ายักษ์ผู้นี้สมควรขอบคุณเขา
“เจ้า.....” นักรบยักษ์โกรธจัดจนแทบกระอักเลือด เจ้าเด็กแสบที่ไร้ยางอายอย่างนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาเอาตัวรอดมาได้จนถึงบัดนี้?
เป็นไปได้อย่างไรที่มีเด็กหน้าด้านขนาดนี้อยู่ในโลก
“ลิ้นเจ้าทำด้วยอะไร คำพูดถึงได้หวานนัก ครอบครัวภรรยาบ้างล่ะ, ลุงบ้างล่ะ,
อาบ้างล่ะ, ถ้าความจำข้าไม่ผิดเพี้ยน เมื่อไม่นานมานี้
ยังมีลุงใหญ่ที่คุ้นเคยคนหนึ่ง ชื่อว่ามารมังกรฟ้า เจ้าเป็นคนฆ่าเขาในป้อมสายฟ้าใช่ไหม?
รบกวนเจ้าอธิบายเรื่องนี้สักหน่อยได้ไหม?
ตอนนั้นทำไมเจ้าถึงไม่คิดว่าเขาเป็นลุงของเจ้าบ้าง?”
บุรุษร่างผอมสูงสะพายกระบี่โบราณที่ด้านหลังปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเย่ว์หยางทันที เขาสวมชุดยาว
พลังของบุรุษผู้นี้ยังคงเหนือกว่ามารมังกรฟ้า
สายตาของเขาคมกริบ
ราวกับว่าคนที่ถูกเขาจ้องมองจะต้องได้รับบาดแผลทุกข์ทรมานเป็นอันมาก
เย่ว์หยางไม่ได้หันไปเผชิญหน้ากับเขา ยังคงปล่อยให้เขามองดูหลังเขาต่อไป
เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีพลังกระบี่น้ำแข็งเย็นกดดันใส่หลังของเขา
ไม่จำเป็นต้องพูด บุรุษผอมสูงคนนี้ผู้สะพายกระบี่โบราณที่หลังรั้งตำแหน่งมารฟ้าลำดับเก้าแห่งวังมาร
นามว่ามารกระบี่ฟ้า
หลังจากมารมังกรฟ้าตาย
เขากลายเป็นมารฟ้าเพียงคนเดียวที่มีพลังปราณก่อกำเนิดระดับหก ในบรรดามารฟ้าทั้งสิบคน...
แน่นอนว่า พลังปราณก่อกำเนิดระดับหกของเขายังมีพลังมากกว่าของมารมังกรฟ้า
แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหก แต่เย่ว์หยางคิดว่าต่อให้มีมารมังกรฟ้าสองคนก็คงไม่อาจเอาชนะมารกระบี่ฟ้าได้
จุดอ่อนของมารกระบี่ฟ้าอาจมีเพียงเรื่องเดียวคือเชื่อมั่นในกระบี่โบราณระดับศักดิ์สิทธิ์ของเขามากเกินไป จึงไม่สามารถบรรลุในระดับสูงได้
แน่นอนว่า ได้ครอบครองกระบี่โบราณชั้นศักดิ์สิทธิ์
พลังของมารกระบี่ฟ้าผู้นี้ก็แทบจะใกล้เคียงนักรบยักษ์ผู้ตีกลองแล้ว ขณะที่นักรบยักษ์ผู้ตีกลองจะครอบครองกลองโทมนัสฟ้า
ของระดับแพลตตินัม
“กระบี่โบราณเล่มนี้เป็นอาวุธที่ดี...” เย่ว์หยางน้ำลายไหลเล็กน้อย ถ้ามารกระบี่ฟ้ามาเพียงลำพัง
เขาคงชิงเอากระบี่โบราณไปจากมารกระบี่ฟ้าแล้ว อย่างไรก็ตาม
ไม่รู้ว่ามารสัมฤทธิ์ฟ้าอยู่ตรงไหน
ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องกระบี่โบราณในเวลาอย่างนี้ เย่ว์หยางกลับเข้าหัวข้อสนทนาหลัก ขณะที่เขายิ้มตอบคำถามของมารกระบี่ฟ้า เขาพูดอย่างไร้ความอายว่า “ความจริง
เรื่องที่ท่านลุงกังวลนั้น เป็นเรื่องจัดการง่ายมาก ถ้ามีคนยินดีจะเป็นลุงข้าจริงๆ แต่เมื่อมีคนไม่ยินดีจะเป็นลุงข้า
และยังพยายามต่อสู้เพื่อแย่งตำแหน่งสามีของภรรยาข้า คนผู้นั้นก็คงเป็นลุงของข้าต่อไปไม่ได้”
“เมื่อเป็นอย่างนั้น
ข้าก็อยากจะสู้ด้วยเหมือนกัน
ลองดูซิว่าจะเป็นยังไง”
มารกระบี่ฟ้าปล่อยปราณกระบี่นับร้อยนับพันทันที
สร้างรอยตัดบนพื้นยาวสิบเมตรต่อหน้าเย่ว์หยาง
นี่คือพลังเพ่งมองของมารกระบี่ฟ้าล้วนๆ
รอยตัดฟันจำนวนหนึ่งปรากฏอยู่บนเกราะหนังมังกรของเย่ว์หยาง เหมือนกับว่ามันถูกฟันด้วยมีดคม
อย่างไรก็ตาม อย่าว่าแต่ฟันใส่แก้มได้สักแผลเลย
เย่ว์หยางไม่ปล่อยให้เขาคุกคามเขาได้แม้แต่ผมเส้นเดียว เขาปัดเศษไม้ออกอย่างใจเย็นและรำคาญ
และพูดอย่างไว้ท่าว่า “ท่านก็ควรทำตัวเป็นเหมือนลุงของข้าด้วยนะ ด้วยหน้าตาอย่างท่าน ถ้ายังขืนสู้กับข้า มีแต่จะทำให้ข้าขำตาย เคยตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างไหม? ยิ่งกว่านั้น ถึงข้าไม่ทุบตีท่านในตอนนี้ แต่มารกฎฟ้าภรรยาข้าจะต้องทุบตีเจ้าแน่นอน คนที่ยิ่งใหญ่ก็ควรรู้ข้อจำกัดของตนเอง ข้าขอรบกวนให้ท่านหลบไปข้างๆ ก่อนได้ไหม
ข้าคิดว่าท่านยังไม่มีคุณสมบัติพอนับญาติเป็นครอบครัวเดียวกับภรรยาข้า ถ้าท่านเปลี่ยนใจ บอกข้าได้ทุกเมื่อ ขอบคุณนะ”
“เจ้า....!” มารกระบี่ฟ้าโกรธจัดจนหน้าแดง,
จากนั้นหน้ากลายเป็นสีม่วงแล้วก็เป็นสีดำ
เขาคิดจะชักกระบี่โบราณแล้วฟันใส่เจ้าเด็กนี่ให้ตายนับครั้งไม่ถ้วน
จากนั้นเขาจะหั่นเจ้าเด็กนี่ให้เป็นชิ้นๆ แล้วแขวนชิ้นเนื้อเป็นแถวให้ทุกคนดู เขาเคยพบคนที่น่ารำคาญมาก่อน แต่ไม่เคยพบคนที่กวนโมโหมากขนาดนี้มาก่อน
หลังจากบังคับให้มารกระบี่ฟ้ายอมรับความพ่ายแพ้ ที่ท้ายหุบเขาเสียหม่า
มีบุรุษคนหนึ่งกำลังลอยตัวอยู่ในท้องฟ้าอย่างสบาย
เขาดูผ่อนคลายมากจนเย่ว์หยางรู้สึกอิจฉาเขา เขามองมาที่เย่ว์หยางและยิ้มกว้างจนเห็นฟันทุกซี่เป็นประกายระยับเหมือนดวงดาว รอยยิ้มของเขามืดมนกว่ายามราตรี
เขาเลียนแบบวิธีสะบัดผมอย่างเย่ว์หยาง
จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนน้ำพุไหลริน
“ให้ข้าเป็นศัตรูความรักของเจ้าด้วยได้ไหม?
ถ้าเจ้ากำลังคุยเรื่องรูปลักษณ์
ข้าไม่คิดว่าแย่กว่าเจ้า สำหรับเรื่องความคิด
บางครั้งข้าก็มีความคิดเกี่ยวกับภรรยาของเจ้านะ แล้วเจ้าจะเอายังไงกับข้า?”
เย่ว์หยางเปลี่ยนจากบุรุษที่เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นขึงขังขึ้นเล็กน้อย
คำพูดของเขาจะกระด้างขึ้นเมื่อโจมตีคู่แข่งของเขา “โอวเมียจ๋า! โชคดีที่เจ้าพูดออกมาเร็ว มิฉะนั้นข้าคงต้องตบเจ้าซะแล้ว
เจ้าต้องรู้นะว่าข้าเกลียดคนที่ดูดีกว่าข้าที่สุด! แต่ถ้าเป็นผู้หญิงละก็ไม่เป็นไร ยินดีต้อนรับ
ข้าชื่อเย่ว์หยาง แต่คนทั่วไปมักเรียกข้าว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์ ข้ามีนิสัยเถรตรงและร่าเริง แล้วก็ยังมีรถหลายคันมีบ้านหลายหลัง ข้ารวยนะ
เป็นรุ่นที่สองที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินหรือเรื่องเสื้อผ้าสวมใส่ ข้ามีคนคอยปกป้องและเสียสละให้ข้า มีคนคอยแห่แหนล้อมหน้าล้อมหลัง มีทั้งอำนาจและความร่ำรวย
งานอดิเรกของข้าคือถ่ายภาพ, งานศิลป์และดูรูปโป๊
มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่ทุกคนจะสู้ด้วย....
ข้าข้องใจอยู่ว่าเจ้าสนใจจะเป็นสมาชิกฮาเร็มที่ยอดเยี่ยมของข้าบ้างไหม?”
ก่อนที่เจ้าเด็กหน้าด้านผู้นี้จะพูดจบ
อีกฝ่ายก็เป็นลมล้มกับพื้นไปแล้ว
23 ความคิดเห็น:
ขอบคุณมากคับ
หน้าแกทำด้วยอะไรห่ะหยาง
ขออีกตอน
หน้าด้าน ตามชื่อตอนไปเลย
ด้านทะลุอล่ว ฮ่า
ตามชื่อตอนเลย555
ยอมมม
55555
ที่รู้ๆแข็งกว่าเพชร
ขอบคุณครับ
5555
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
หน้าด้านอย่างยิ่ง เย่หน้าแกทำจากไทเทเนียมชิมิ
ทนทานซะจนปูนบอบบางไปเลย
หน้าด้านอย่างยิ่ง เย่หน้าแกทำจากไทเทเนียมชิมิ
ทนทานซะจนปูนบอบบางไปเลย
หน้านี่มัน ไวเบรเนียม บริสุทธิ์ 100% ในตำนานานี่นา
5555
อ่านนิยายจีนมาทุกเรื่อง กุเพิ่งเคยเจอคนหน้าด้านขนาดนี้ ขำว่ะ 555
แหม่ สงสัยเย่ว์หยางเราคงไมต้องใช้อาวุธป้องกันล่ะ ใช้หน้าแทนนี่แหละ!
หนาขนาดนี้ต่อให้เป็นอาวุธระดับเทพ อาวุธระดับเทพยังมีรอยบิ่นเลย
5555555555
อิพี่สามหน้าด้านมาก555
Thx
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น