ตอนที่ 3-1
หินสลัก (1)
แสงอบอุ่นของดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิฉายลงมาที่ผองพี่น้องแห่งหอพัก 1987
ที่กำลังพักผ่อนในสวนหลังหอ
เยล, จอร์จ, เรย์โนลด์ คุยกันเรื่อยเปื่อย ในตอนนี้ เยลและจอร์จมีอายุ 16 ปีทั้งคู่
ขณะที่เรย์โนลด์อายุเพียง 14 พวกเขาทั้งสามโตเร็ว
แม้แต่เรย์โนลด์ที่เตี้ยที่สุดยังสูงถึง 1.6 เมตร และคนที่สูงที่สุดคือเยลสูง 1.9
เมตร
“จอร์จ เลิกเสแสร้งต่อหน้าพวกเราสองคนได้แล้ว แม้แต่น้องสี่ยังเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว
เจ้ากับน้องสามรีรออะไรอยู่ เอาอย่างนี้เป็นไง
สิ้นเดือนนี้ ทำไมเจ้ากับน้องสามไม่ไปที่ “สวรรค์น้ำหยก” ในเมืองเฟนไลเล่า ข้าเป็นเจ้าภาพให้เอง รับรองได้ว่าเจ้าทั้งคู่จะมีความสุขสบายที่สุด
ข้ายังรับรองอีกว่าได้สาวบริสุทธิ์แน่นอน สนใจหรือเปล่า”
เยลกำลังยกหินสองก้อนเป็นการเล่นกล้ามอก ในขณะที่หัวเราะพลางพูดไปพลาง
หินสองก้อนนั้นแต่ละก้อนหนักราวๆ 20-30 ปอนด์ เยลค่อยๆเพิ่มน้ำหนักทีละนิด
จอร์จก็พลอยหัวเราะไปด้วย “ลูกพี่เยล อย่าพยายามฝืนใจเราเลย ทำไมพวกเจ้าไม่ไปสวรรค์น้ำหยก แล้วให้น้องสามกับเขาไปดื่มเฉยๆล่ะ อย่างนี้มิดีกว่าหรือ”
เรย์โนลด์คอยล้อเลียนอยู่ด้านข้าง
“จอร์จ, เจ้าไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริงเลยนะ”
จอร์จอดหัวเราะไม่ได้
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าสามารถได้ยินได้จากด้านนอกสวน
เยลวางหินยกน้ำหนักและตรงไปที่ลานทางออกพลางพูดว่า
“พนันได้เลยว่าเป็นน้องสาม มาเถอะ
ได้เวลากิน....” ก่อนที่เขาพูดจบ เยลก็เงียบทันที
เขาเห็นลินลี่ย์ก้าวยาวๆเข้ามา พร้อมกับแบกหินขนาดยักษ์ไว้บนบ่าซึ่งสูงอย่างน้อยสามฟุตและหนักไม่ต่ำกว่าร้อยปอนด์
แต่ลินลี่ย์กำลังยกหินนี้เข้ามาในหออย่างสบายๆ เยล จอร์จ เรย์โนลด์ตกตะลึงกันหมด
อ้าปากค้าง ลินลี่ย์วางหินก้อนยักษ์ไว้ที่มุมสวนอย่างระมัดระวัง
เสียงหินกระแทกพื้นหนักหน่วงทำให้ใจพวกเขาใจสั่นกันหมด
“อะไรกันนี่? น้องสาม
ข้ารู้ว่าเจ้าแข็งแรง แต่เจ้าแข็งแรงขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
เยลจ้องดูก้อนหิน “หินก้อนนี้กลวงอย่างนั้นหรือ?”
ขณะที่พูด เยลขยับไปข้างหน้าแล้วกางแขนออกเพื่อทดสอบหินก้อนนี้
“ฮึบบบบ!”
เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดจนหน้าแดงคล้ำไปทั้งหน้า
แต่หินยักษ์ดูเหมือนกับมีรากงอกแทงเข้าไปในดินไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย
“เยล, อย่าเปลืองแรงเจ้าไปเลย
ไม่มีทางที่เจ้าจะขยับมันได้”
ลินลี่ย์หัวเราะ
กำลังกายของเยลยังอ่อนแอกว่านักรบระดับหนึ่งเสียอีก แล้วเขาจะยกขึ้นได้ยังไง?
เรย์โนลด์จ้องไปที่ก้อนหินด้วยนัยน์ตากลม
ขณะถอนหายใจอย่างทึ่ง สุดท้ายเขาหันหน้าไปจ้องลินลี่ย์อย่างสงสัย “เฮ้ ลินลี่ย์
ทำไมเจ้าเอาหินก้อนยักษ์นี่เข้ามาในหอเราล่ะ
โอว ข้ารู้แล้ว!” ตาของเรย์โนลด์เบิกกว้างขี้น “ข้าเคยเห็นนักรบที่ทรงพลังใช้มือเปล่ายกก้อนหินยักษ์เพื่อฝึกฝน เจ้ากำลังเตรียมตัวจะยกน้ำหนักเหรอ ลินลี่ย์?”
“ก้อนหินใหญ่ขนาดนั้นสามารถบดข้าให้เป็นเนื้อบดได้เลยนะ” จอร์จจ้องที่ก้อนหินแล้วยังระบายลมหายใจอย่างประหลาดใจก่อนหันไปมองลินลี่ย์อย่างคลางแคลง
“น้องสาม ทำไมเจ้านำหินก้อนยักษ์นี่เข้ามาในหอพักเราล่ะ”
ลินลี่ย์ยิ้มให้พี่น้องของเขาและพูดออกมาว่า “แกะสลัก!”
ตามที่เดลิน โคเวิร์ทพูดไว้
รูปสลักของเขามีคุณสมบัติพอจะตั้งในห้องโถงทั่วไป
แต่มันใช้เวลามากในการแกะสลักแต่ละชิ้น และปกติแล้วหนึ่งวันมักจะไม่พอ ในอดีต เขาแกะสลักที่หลังเขาได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้อผิดพลาด
แต่ตอนนี้นั้นต่างออกไป
“แกะสลัก?”
เรย์โนลด์ จอร์จ และเยลต่างจ้องมองลินลี่ย์ด้วยแววตาตื่นตะลึง
“อะไรกัน นี่มันน่าตกใจนักหรือ?” ลินลี่ย์หันกลับไปมองสามพี่น้อง
เรย์โนลด์รีบพูด “ไม่ใช่ว่าตกตะลึง ไม่
มันโคตรตกใจเลย !พวกเราสี่พี่น้องอยู่ร่วมกันมาหกเจ็ดปีแล้ว
แต่ข้ายังไม่เคยเห็นเจ้าแกะสลักหินมาก่อน เจ้าวางแผนจะเริ่มฝึกวันนี้หรือ?”
ลินลี่ย์หัวเราะ “ใครว่าข้าไม่เคยฝึกมาก่อน? ข้าฝึกแกะสลักหินที่หลังภูเขามาเกินห้าปีแล้ว
แต่ตอนนี้ หลังจากงานชิ้นนี้สำเร็จ ข้าตั้งใจจะนำไปแสดงที่หอศิลป์พรูกซ์เพื่อดูว่าสามารถขายทำเงินได้หรือไม่”
เพื่อจุดประสงค์ในการรวบรวมเงินให้มากพอเพื่อให้น้องชายของเขา วอร์ตัน ได้มีทุนรอนมากพอที่จะไปจักรวรรดิโอเบรียนเพื่อสอบเข้าและรับการฝึกฝน
ตระกูลบาลุคใช้เงินไปจนหมดเลยจริง
แต่ถึงอย่างนี้ ฮ็อกยังคงมีความสุขมาก
ถ้าหากครอบครัวของเขาล้มละลายล่ะ? บุตรคนโตของเขา ลินลี่ย์
เป็นนักเรียนที่สถาบันเอินส์ หลังจากจบการศึกษาจะกลายเป็นจอมเวทที่ทรงพลังอย่างแน่นอน และบุตรคนเล็กของเขา วอร์ตัน
มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นนักรบเลือดมังกร
ฮ็อกนั้นมองเห็นรุ่งอรุณอันงดงามของตระกูลบาลุคได้
“หอศิลป์พรูกซ์?” พอได้ยินเช่นนี้ เยลและอีกสองคนตะลึงมองดูลินลี่ย์
ลินลี่ย์เป็นความภาคภูมิใจของหอ 1987
ถึงแม้อายุเพียงสิบห้าปี เขากลับได้เรียนชั้นจอมเวทระดับห้าที่สถาบันเอินส์
และได้รับการขนานนามร่วมกับดิ๊กซี่ว่าเป็นหนึ่งใน ‘สองสุดยอดอัจฉริยะแห่งสถาบันเอินส์’
เยลและคนอื่นๆล้วนรู้ว่าลินลี่ย์เป็นอัจฉริยะ แต่ว่า…
การแกะสลักหินนั้นเป็นศิลปะที่ลึกซึ้งมาก
ผู้คนมากมายฝึกฝนอย่างอุตสาหะเป็นสิบๆ ปี แต่ก็ยังเป็นได้เพียงช่างแกะสลักทั่วไป เนื่องจากเป็นศิลปะโบราณที่มีมายาวนานมาก และจะฝึกให้ชำนาญในด้านแกะสลักได้อย่างไร? ลินลี่ย์กล้าคิดได้อย่างไรว่าผลงานของเขาจะได้รับการจัดแสดงในห้องแสดงศิลปะที่ได้รับความเคารพมากที่สุด
หอศิลป์พรูกซ์?
“น้องสาม อย่าเพิ่งมั่นใจไป” จอร์จหยอกล้อปลอบใจอยู่ในที
“ลินลี่ย์ ข้ากังวลว่า…รูปสลักของเจ้า จะมีคนซื้อไปจริงๆหรือ”
เรย์โนลด์ขมวดคิ้ว หน้าตาเขาดูเหมือนไม่เชื่อถือ
เยลหัวเราะลั่น “ทำไมพวกเจ้าแสดงท่าทางอย่างนี้? น้องสาม ไปกันเถอะ นำไปจัดแสดง นานเท่าที่เจ้าจัดแสดงได้ ข้าจะจ่ายหนึ่งหมื่นเหรียญทองเพื่อซื้อมันและจะช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงของเจ้าเอง”
“ข้ากำลังพูดความจริง”
ลินลี่ย์ล้วงเหล็กสกัดออกมาจากชุดของเขา
“เหล็กสกัดตรงน่ะหรือ?”
เรย์โนลด์พูดอย่างประหลาดใจ
“ลินลี่ย์,
ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมตัวไว้บ้างสินะ
แต่ในอดีต ข้าก็เคยเรียนแกะสลักเหมือนกัน ข้ารู้ว่าต้องใช้เครื่องมือหลายชนิด
มีทั้งเหล็กสกัดตรง สิ่วโค้ง สิ่วสามเหลี่ยม มีดหยก และเครื่องมืออย่างเลื่อย แล้ว
เจ้าเตรียมมาแค่อย่างเดียวหรือ?”
จอร์จ เรย์โนลด์ และเยลยังพอรู้พื้นฐานเกี่ยวกับศิลปะ
ลินลี่ย์ไม่พูดอะไรมาก
พอกวัดแกว่งเหล็กสกัดในมือเขา ลินลี่ย์เข้าสู่สภาวะสงบจิตอย่างเป็นธรรมชาติ
วิญญาณของเขาสัมผัสได้ถึงแก่นดินที่กำลังไหลเวียนผ่านทางก้อนหินตรงหน้าเขา
และยังรู้สึกถึงสายเส้นภายในนั้นอยู่บ้าง
ลินลี่ย์ยิ้มและเริ่มใช้เหล็กสกัด
เหล็กสกัดเป็นประกายวูบวาบสะท้อนแสงอาทิตย์ทำให้เรย์โนลด์และคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆหยีตาลง
แต่พวกเขายังคงจ้องที่ก้อนหินต่อไป
“ควับ”
ไม่ว่าที่ใดที่เงาของเหล็กสกัดทาบทับ หินชิ้นใหญ่เริ่มร่วงกราวลง
“เป็นไปได้ยังไง?” เยลมองดูอย่างตื่นตระหนก “เพื่อที่จะสกัดหินชิ้นใหญ่อย่างนั้นออก
ต้องใช้เลื่อยตัดออก เขาเอาออกโดยใช้เพียงเหล็กสกัดจริงๆ
ข้อมือของเขามีพละกำลังที่น่าตระหนกขนาดไหนกัน?” ที่ด้านข้างเขา เรย์โนลด์และจอร์จต่างเงียบสนิท
พลังข้อมือ?
เพื่อที่จะทำแบบเดียวกันกับลินลี่ย์ ทุกๆการตัดล้วนสมบูรณ์แบบ
ไม่ได้ต้องการอะไรอย่างอื่นนอกจากกำลังข้อมือ
ลินลี่ย์สงบราวกับบ่อน้ำที่นิ่งสนิท เหล็กสกัดในมือซ้ายของเขายื่นออก
สลักทุกๆส่วนบนก้อนหินอย่างรวดเร็ว และชิ้นส่วนที่เกินออกมาร่วงพรูอย่างต่อเนื่อง
โดยธรรมชาติ ท่าทางอันงดงามที่ลินลี่ย์ใช้แกะสลักนั้น เป็นอะไรที่น่าดูชม
“น้องสาม, เขา....”
เยล จอร์จ และเรย์โนลด์สบตากัน ในตอนนี้ พวกเขาทุกคนรู้สึกจากในหัวใจของพวกเขาว่าบางที
ลินลี่ย์อาจจะเป็นช่างแกะสลักหินผู้เชี่ยวชาญจริงๆ
สงบนิ่ง เป็นธรรมชาติ
ลินลี่ย์เพลิดเพลินใจในความรู้สึกยามแกะสลักมาก ในระดับปัจจุบันของเขา ลินลี่ย์ไม่ต้องพิจารณาว่าส่วนไหนควรใช้แรงเท่าใด
เหล็กสกัดในมือของเขาจะใช้แรงที่พอเหมาะสมบูรณ์แบบเอง นี่เป็นผลจากจิตใต้สำนึก
เทียบกับโรงเรียนเหล็กสกัดล่ะ?
ไม่มีสำนักแกะสลักหินแห่งอื่นทำอย่างนี้ได้
ผู้เชี่ยวชาญของสำนักอื่นล้วนใช้เครื่องมือหลากหลายชนิดสำหรับแต่ละส่วนของงานแกะสลัก
เพียงแค่นี้ก็ใช้แรงจนหมดแล้ว
ตามธรรมชาติและควบคุมไม่ได้ การแกะสลักหินของลินลี่ย์ชักนำความบริสุทธิ์ของวิญญาณของเขาให้พัฒนาอย่างรวดเร็ว
เหมือนหญ้าหลังฝน ความรู้สึกของการพัฒนานี้ทำให้ลินลี่ย์รู้สึกอัศจรรย์มาก
และทำให้เขารู้สึกสบายจากแก่นกลางร่างของเขา
มือขวาของลินลี่ย์หยุดลงในที่สุด
สักพักฝุ่นที่ปลิวคลุ้งและเศษหินก็สงบลง แต่โครงร่างของสัตว์เลื้อยคลานเริ่มเห็นได้จากก้อนหิน
“ทำไมพวกเจ้ายืนงงอยู่ตรงนั้นล่ะ? ตะลึงกันหมดหรือไง?” ลินลี่ย์หัวเราะเมื่อเขาหันไปมองเยลและคนอื่น “ข้าเพิ่งจะทำโครงร่างแบบง่ายๆ
ยังต้องใช้เวลาและความพยายามอีกมาก มาเถอะ ไปกินมื้อเที่ยงกัน”
เยล จอร์จ และเรย์โนลด์สบตากัน
จากที่ลินลี่ย์เพิ่งแสดงให้พวกเขาเห็นเมื่อครู่
พวกเขาทั้งสามคนมั่นใจในสิ่งหนึ่ง
“อัจฉริยะ” เยลพูดอย่างประทับใจ
“อัจฉริยะในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ”
จอร์จเพิ่มเติม
แม้ในท่ามกลางเหล่านักแกะสลัก สำหรับคนที่สามารถมาถึงระดับความเชี่ยวชาญของลินลี่ย์ในเวลาห้าหรือหกปีนั้น
เป็นเหตุการณ์ที่ร้อยปีจึงจะเกิดมีสักครั้ง
2 ความคิดเห็น:
ดังใหญ่ละ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น