วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

Panlong ตอนที่ 3-26 สีม่วงในสายลมยามราตรี (2)



ตอนที่  3-26  สีม่วงในสายลมยามราตรี (2)
ในยามราตรี เหล่าพี่น้องจากหอพัก 1987 กำลังเดินอยู่บนถนนมุ่งสู่สถาบันเอินส์ ต่างพากับพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน 2 เดือนที่ผ่านมา
 
 “ร้ายกาจถึงขนาดนั้น?” เรย์โนลด์ตกตะลึงเมื่อเลิกเสื้อขึ้นแล้วเห็นรอยแผลเป็นคาดยาวอยู่บนแผ่นอกของลินลี่ย์ เขากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว จอร์จที่เดินอยู่ข้างๆเงียบสนิทไม่มีคำพูดใดๆ มีเพียงเยลที่หัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่า พวกเจ้าช่างอ่อนประสบการณ์เสียจริง เมื่อข้ายังเด็ก ข้าก็ได้เห็นสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้มามากแล้ว”
 “พี่ใหญ่เยล เจ้าพูดจริงหรือ?” เรย์โนลด์พูดด้วยความประหลาดใจ
เยลยิ้มอวดโอ่ “แน่นอนข้าย่อมพูดความจริง ข้าได้เห็นอะไรมามากเช่นกัน ยกตัวอย่างการทรมานนักโทษจนตาย หรือบังคับให้มนุษย์สู้กับอสูรเวทด้วยมือเปล่าโดยมีพวกคนรวยวางเดิมพันอยู่รอบๆ เป็นสิ่งที่เหี้ยมโหดอำมหิตยิ่ง”
ได้ยินคำพูดของเยล ลินลี่ย์ก็สามารถสร้างมโนภาพในใจ
 “ดีจริงๆ ที่ได้เข้ามาเรียนในสถาบัน” จอร์จถอนหายใจ
ลินลี่ย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ในเวลาค่ำคืนเช่นนี้ จะสามารถพบเห็นเหล่าคู่รักเดินด้วยกันตามถนน บ้างกุมมือกัน บ้างก็นั่งเคียงกันบนหลังอสูรเวท ชีวิตในสถาบันช่างสะดวกสบายนัก
 “ถูกต้อง พี่ใหญ่เยล ทำไมเจ้าไม่ใช้เวลาคืนนี้ร่วมกับคนรักเจ้าเล่า? เหตุใดจึงรีบออกมานัก?” เรย์โนลด์ถามขึ้นทันที
เยลกล่าวอย่างไม่พอใจ “คนรัก? พี่น้องเราเพิ่งเดินทางกลับมาจากเทือกเขาอสูรเวทหลังจากเผชิญสถานการณ์เฉียดตาย ยังจะให้ข้าไปใช้เวลาอยู่กับหญิงสาวอีกอย่างนั้นหรือ? เรย์โนลด์ จำคำข้าไว้นะ: พี่น้องเปรียบเหมือนแขนขา ในขณะที่ผู้หญิงเปรียบเหมือนเสื้อผ้า พวกนางมีอยู่เพื่อความสำราญเท่านั้น”
ท่าทีไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเรย์โนลด์ทันที
 “ลินลี่ย์!” จู่ๆ ก็มีน้ำเสียงประหลาดใจดังขึ้นมาจากที่ห่างออกไป
ลินลี่ย์และคนอื่นๆต่างหันไปมองร่างระหงเพรียวบางของหญิงสาวผู้งดงามผู้มีผมสีทองที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างยินดี เมื่อมาถึงเบื้องหน้าของลินลี่ย์นางก็กล่าวอย่างยินดี “ลินลี่ย์ เจ้ากลับมาจากเทือกเขาอสูรเวทแล้วอย่างนั้นหรือ? ช่างน่ายินดียิ่ง เจ้าหายไปถึง 2 เดือนทำเอาข้าเป็นห่วงมาก เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
 “ดีเลีย, ข้าสบายดี”  ลินลี่ย์หัวเราะขณะตอบ
ดีเลียเป็นอีกคนที่ลินลี่ย์ได้พบเมื่อเข้ามาศึกษาในสถาบัน พวกเขาสนิทสนมกันพอสมควร เวลาเด็กหนุ่มอยู่กับดีเลีย ลินลี่ย์รู้สึกผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติเหมือนกับตอนเขาอยู่กับพี่น้องในหอพัก 1987
 “ดีเลีย รถม้าของท่านลุงกำลังรอเราอยู่ อย่ามัวแต่เสียเวลา” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น
เมื่อหันไปมอง ลินลี่ย์เห็นเด็กหนุ่มในชุดคลุมยาวยืนห่างออกไป เป็นพี่ชายของดีเลีย ดิ๊กซี่ หนึ่งในสองอัจฉริยะของสถาบันเอินส์นั่นเอง ชุดของดิ๊กซี่สะอาดสะอ้านและประณีต ไม่มีฝุ่นละอองหรือรอยยับแม้สักรอย ดวงตาทั้งสองกระจ่างและเยือกเย็น
 “โอว!” เอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ดีเลียมองลินลี่ย์ “ลินลี่ย์! ท่านพ่อสั่งให้ข้าและท่านพี่กลับบ้าน รถม้าของเรารออยู่ด้านนอกแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน”
 “ไม่เป็นไร, ดีเลีย, ไว้ค่อยคุยกันตอนเจ้ากลับมาก็ได้”  ลินลี่ย์ยิ้มตอบคำ
 “ก็ได้ งั้นไปก่อนนะ” ดีเลียดูผิดหวังที่ไม่มีเวลามากพอสนทนากับลินลี่ย์ ดิ๊กซี่เดินมาหาพวกเขาเช่นกัน เขาโอบไหล่ดีเลียและเริ่มเดินจากไป แต่ทันใดนั้น ดิ๊กซี่ก็หันมาจ้องลินลี่ย์ “ลินลี่ย์ ข้าได้ยินว่าเจ้าสำเร็จการฝึกฝนในเทือกเขาอสูรเวทแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”
ลินลี่ย์ตะลึง
ดิ๊กซี่ผู้นี้พูดกับเขาจริงๆ หรือ?
ความเย็นชาและการตีตนออกห่างจากผู้อื่นของดิ๊กซี่เป็นที่เล่าลือกันทั่วในสถาบันเอินส์ คนส่วนใหญ่มักรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยและกดดันเมื่อยืนใกล้กับดิ๊กซี่ โดยเฉพาะยามเมื่อเขาใช้สายตาคมนั้นจ้องมองก็สร้างแรงกดดันมากพอให้คนหนึ่งเสียสติได้
 “โอ้ ขอบคุณ” ลินลีย์ตอบ
ดิ๊กซี่เพียงแต่พยักหน้าและพาน้องสาวเดินออกจากประตูสถาบันไป
….
ออสโทนี่เหลือบมองลินลี่ย์อย่างระมัดระวังและถอนหายใจอย่างพิศวง “ลินลี่ย์ ข้าต้องกล่าวว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะ ยอดอัจฉริยะ! เด็กหนุ่มอายุ 15 ผู้เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะของสถาบันอันดับหนึ่งบนแผ่นดินยูลาน และยังเป็นผู้เข้าถึงทักษะชั้นสูงเหลือเชื่อในศิลปะงานประติมากรรม”
 “คำเดียวที่จะจำกัดความเจ้าได้คือมหัศจรรย์!”
 “หากไม่นับที่ท่านเป็นอัจฉริยะด้านเวทแล้ว แม้แต่ในโลกของศิลปะ ในยุคสมัยนี้ นักแกะสลักส่วนใหญ่ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้รับคำเชิญให้มาตั้งซุ้มส่วนตัวในหอผู้เชี่ยวชาญนี้ได้ล้วนมีอายุอย่างน้อย 40 ปี เจ้าถือเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ มีอัจฉริยะบุคคลเพียง 2 คนที่สามารถเปรียบกับเจ้าได้ แต่ความแตกต่างของเจ้า...ไม่เพียงแต่เป็นปฏิมากรอัจฉริยะ แต่เป็นจอมเวทอัจฉริยะด้วย โอว...อัจฉริยะจริงๆ”
คำชื่นชมของออสโทนี่ทำให้ลินลี่ย์เขินจนไม่รู้จะพูดอะไร
 “ออสโทนี่ อย่ามัวแต่เสียเวลา รีบๆทำให้เสร็จ พวกเรา 4 พี่น้องต้องไปสังสรรค์ต่ออีก” เยลบ่น
ตอนนี้ออสโทนี่เหมือนจะเริ่มรู้สึกตัว เขารีบร้อนดึงบัตรเครดิตเวทสีเงินออกจากปึกเอกสาร ยิ้มแย้มแล้วส่งมอบให้ลินลี่ย์ “ลินลี่ย์ บัตรเครดิตเวทสีเงินนี้ออกโดยธนาคารทอง 4 จักรวรรดิ เพื่อแสดงว่าเจ้าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านประติมากรรมของเรา ในอนาคต เงินที่ได้จากการผลงานศิลปะของเจ้าจะถูกโอนเข้าบัญชีที่เชื่อมโยงกับบัตรใบนี้”
 “ตอนนี้ บัตรเครดิตเวทสีเงินใบนี้ยังไม่ได้ระบุเจ้าของ โปรดใช้ลายนิ้วมือของเจ้าแสดงความเป็นเจ้าของเพื่อการใช้งานในอนาคตของเจ้าด้วย” ออสโทนี่มอบบัตรเครดิตเวทให้ลินลี่ย์ด้วยความเคารพ และกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ลินลี่ย์ ข้าอยากถามว่าเจ้าจะส่งงานประติมากรรมของเจ้ามาอีกหรือไม่?”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย “ข้ายังมีอีก 3 ชิ้น”
ออสโทนี่ยิ้มเฉิดฉันท์ทันที
….
ค่ำคืนนั้น ณ สวรรค์น้ำหยก ลินลี่ย์ จอร์จและหญิงบริการอีก 2 คนกำลังนั่งอยู่ตามลำพัง พูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน ในขณะที่เรย์โนลด์และเยลขึ้นไปเปิดห้องร่วมกับหญิงบริการเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว
 “ให้ตายสิ เจ้าสองคนนั่น ทั้งพี่ใหญ่เยลทั้งน้องสี่...” ลินลี่ย์จิบไวน์แก้วหนึ่งแล้วพูดกับจอร์จที่กำลังหัวเราะกับบทสนทนาของหญิงสาว “พี่รอง หัวข้าเริ่มมึนไปหมดแล้ว ข้าจะออกไปสูดอากาศสักครู่”
 “ตามสบาย” จอร์จตอบแล้วหันกลับไปพูดคุยกับคู่สนทนาต่อ
ลินลี่ย์เดินลงบันไดและก้าวออกจากสวรรค์น้ำหยก เมื่อออกจากอาคารลินลี่ย์ก็สัมผัสถึงสายลมเย็นสบายพัดผ่าน ช่วยให้จิตใจเขาปลอดโปร่ง เมื่อเทียบกับบรรยากาศในสวรรค์น้ำหยกแล้ว ด้านนอกกลับรู้สึกโล่งสบายและสงบกว่ามาก ลินลี่ย์เริ่มออกเดินเล่นไปตามถนนรอบเมืองเฟนไล
สายลมเย็นยามค่ำคืนช่างสดชื่น
มีคฤหาสน์ของชนชั้นสูงจำนวนหนึ่งตั้งอยู่บนถนน แต่เมื่อเทียบกับถนนใบไม้เขียวแล้วก็สัมผัสได้ว่าบริเวณนี้เป็นของตระกูลที่มีอำนาจด้อยกว่า และบนระเบียงชั้นสองของคฤหาสน์แห่งหนึ่ง อลิซกำลังยืนรับสายลมอยู่เช่นกัน
เมื่อมองดูดวงจันทร์ส่องสว่างในท้องนภาใสกระจ่าง อลิซอดคำนึงถึงลินลี่ย์มิได้ ชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตนางไว้
เวลานั้น ขณะที่อลิซตกอยู่ในความกลัว เขาได้ปรากฏกายประหนึ่งลงมาจากสรวงสวรรค์ สังหารหมูศึกกระหายเลือดและช่วยชีวิตนางไว้ การกระทำนั้นสั่นคลอนจิตใจของนางอย่างลึกซึ้ง เหมือนว่าเหตุการณ์ในครานั้นได้ประทับลงบนดวงวิญญาณของนาง
 “พี่ลินลี่ย์ช่างสุขุมนัก แม้กระทั่งเวลากล่าวถึงทฤษฎีเวทเขาก็ยังน่าหลงใหล” รอยยิ้มบางๆปรากฏบนในหน้าของอลิซยามนึกถึงครานั้น
ในตอนนั้น อลิซก็เห็นร่างหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนเบื้องล่าง ใบหน้าของเขาช่างดูคุ้นตานัก เมื่อเพ่งดูชัดๆแล้วนางก็จำเขาได้ในทันที รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า นางโบกมือและตะโกนเรียกเขา “พี่ลินลี่ย์ พี่ลินลี่ย์!”
ลินลี่ย์ที่กำลังดื่มด่ำกับสายลมเย็นยามค่ำคืนบนท้องถนน มองขึ้นไปด้านบนเมื่อได้ยินเสียงเรียก
บนระเบียงไม่ไกลออกไปมากนักปรากฏร่างโปร่งในชุดสีม่วง แสงจันทร์นวลส่องสว่างอยู่เบื้องหลัง ชายกระโปรงสีม่วงพริ้วไหวเมื่อต้องสายลม ผมยาวสยายแนบลำตัว ทันใดนั้นลินลี่ย์ก็พลันได้กลิ่นกายอ่อนๆของอลิซ
กลิ่นกายที่ชวนหลงใหล
 “อลิซ...” ลินลี่ย์ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้เดินเขาหาระเบียงนั้นได้เลย

1 ความคิดเห็น:

neng2006 กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

แสดงความคิดเห็น