ตอนที่ 539 กับดักสนามพลัง? ไม่เท่าไหร่!
รัศมีของชางเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย คลื่นพลังเพิ่มขึ้นในสนามพลัง
มนุษย์สมิงที่ถูกกระบี่กุยจ้างข่มอยู่ในกลางอากาศลอยขึ้นไปในท้องฟ้า หวงฉวน เฝินเทียน หวิ่นซิงรู้สึกอายจนบอกไม่ถูก พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะมนุษย์สมิง
นักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสามได้
ขณะที่เย่ว์หยางที่ยังไม่เข้าสู่ขอบเขตปราณก่อกำเนิดฟ้าสามารถผลักดันตนเองจนถึงขนาดทำให้ชางเหยียนนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับห้า
ต้องลงมือช่วยมนุษย์สมิง
ตาของเย่ว์หยางเป็นประกายเยาะเย้ยศัตรู เขาเก็บซ่อนกระบี่กุยจ้างไว้ในมือของเขา
เขาเงื้อมือและหวดแส้ลงทัณฑ์ที่สร้างขึ้นจากบัวเพลิงฟ้าพิโรธใส่คอของมนุษย์สมิง แม้ว่าจะสร้างความเสียหายให้ไม่ได้มาก แต่ก็เพียงพอทำให้มนุษย์สมิงช้าลง
หวงฉวนไม่เข้าใจจริงๆ
ทำไมเย่ว์หยางต้องการสู้กับมนุษย์สมิงในระยะประชิด?
ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตฝีมือ
ความสามารถและสภาพร่างกาย ระดับของเย่ว์หยางยังห่างจากมนุษย์สมิงอยู่มาก ทำไมถึงต้องสู้กับมนุษย์สมิงในระยะประชิดด้วย?
“โฮกกกกก!”
มนุษย์สมิงที่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดคำรามใส่ท้องฟ้า
คลื่นเสียงระเบิดใส่แส้ที่เย่ว์หยางใช้หวดเขาจนกระจายออกไป แม้ว่าเย่ว์หยางจะมีเกราะเพลิงอมฤตและปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ แต่เขาก็ยังโดนพลังโจมตีจนมึนงงและร่างเซ
ถึงอย่างนั้นมนุษย์สมิงก็ไม่กล้าโจมตีเย่ว์หยาง เขาเพียงแต่อ้าปากพ่นควันสีดำหนาแน่น ในควันหนาดำ
มีสัตว์ประหลาดร่างคล้ายเสือซ่อนอยู่หลังม่านควันเตรียมกระโจนตะปบใส่เย่ว์หยาง
“หอกแสง!” หวงฉวนลืมตากว้าง
และยิงหอกแสงเกือบร้อยเล่มออกมาจากนัยน์ตาของเขา
หอกความเร็วแสงเกือบทั้งหมดยิงตรงใส่สัตว์ประหลาดร่างเสือที่อยู่หลังม่านควัน
แสงสว่างและความมืดตัดกันอย่างชัดเจน
หวงฉวนมั่นใจว่าหอกของเขาสามารถฆ่า
ภูตพยัคฆ์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านควันนั้นได้
อย่างไรก็ตาม
มีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น...
เหมือนกับว่าหอกแสงเหล่านั้นไม่ได้สัมผัสอะไรและทะลุผ่านร่างของภูตพยัคฆ์ไปตรงๆ ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ภูตพยัคฆ์นั้นยังคงกระโจนหาเย่ว์หยาง กรงเล็บแหลมคมรอดออกมาจากควันส่งเสียงหวีดหวิวตัดอากาศ
ไม่เพียงแต่หวงฉันเท่านั้นที่ตะลึง แม้แต่เฝินเทียนและหวิ่นซิงก็ตกใจไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าเป็นภูตพยัคฆ์ตัวหนึ่ง ทำไมหอกแสงของเขาจึงใช้ไม่ได้ผลเลย
พวกเขาไม่มีเวลาใคร่ครวญถึงมัน
เมื่อภูตพยัคฆ์เตรียมสังหารเย่ว์หยางที่ยังคงอยู่ในอาการมึนงง
บอลเพลิงสว่างลอยออกมาจากร่างของเย่ว์หยาง นี่ไม่ใช่เพลิงอมฤต
แต่เป็นอสูรที่ครอบครองพลังธาตุหลายอย่าง อาทิ เพลิง, ควัน, พายุ, สายฟ้าและมีคุณสมบัติเป็นภูตวิญญาณ
นางคือหนึ่งในอสูรพิทักษ์ของเย่ว์หยาง ภูตเพลิงดิน!
ขณะที่หอกแสงไม่สามารถแตะต้องภูตพยัคฆ์ได้
เมื่อภูตเพลิงดินปรากฏตัว
นางเหวี่ยงภูตพยัคฆ์กระเด็นห่างออกไป
มีแต่นางที่เป็นอสูรที่มีคุณสมบัติเดียวกับภูตพยัคฆ์
แม้ว่าภูตพยัคฆ์จะแข็งแกร่งกว่าภูตเพลิงดินมาก
แต่ภูตเพลิงดินไม่กลัว
และไม่ได้รับบาดเจ็บ นางไม่ค่อยฉลาดนัก
แต่ส่วนใหญ่นางสู้โดยใช้สัญชาตญาณแทน
ภูตพยัคฆ์สามารถฉีกร่างนางเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ร่างภูตเพลิงดิน
ก็ฟื้นสภาพได้ในเสี้ยววินาที
ตราบใดที่เพลิงอมฤตซึ่งเป็นแหล่งชีวิตของนางยังคงลุกโชน นางจะไม่มีทางหายไป ตราบใดที่เย่ว์หยางเจ้านายนางยังไม่ตาย นางจะไม่มีทางตายจริงๆ
สิ่งที่ภูตพยัคฆ์ทำลายไปเป็นแค่เพียงรูปแบบธาตุของนาง การโจมตีแบบนี้มีผลเช่นเดียวกับหอกแสงที่เพิ่งโจมตีใส่ภูตพยัคฆ์เมื่อครู่ ไร้ผลอย่างสิ้นเชิง มีทางเดียวที่ภูตพยัคฆ์จะทำอันตรายให้ภูตเพลิงดินได้
ก็โดยวิธีกลืนศัตรูที่ไม่มีวันตายนี้
ภูตเพลิงดินก็จะทำสิ่งนี้แน่นอน
นางไม่สนใจว่าภูตพยัคฆ์แข็งแกร่งกว่านางเป็นร้อยเท่า
นางใช้เพลิงอมฤตดูดกลืนพลังงานของคู่ต่อสู้ทีละน้อยๆ
ต่อให้ภูตพยัคฆ์ไม่ตอบโต้ ถ้านางต้องการกลืนฝ่ายตรงข้ามอย่างสมบูรณ์
ดูเหมือนนางอาจต้องใช้เวลาสามวันสามคืนก็เป็นได้
ภูตพยัคฆ์โกรธยิ่งขึ้น....
มันบินวนอย่างบ้าคลั่งและใช้กรงเล็บแหลมคมตะกุยใส่อากาศ เปลวเพลิงจากปากของมันแผดเผาเต็มท้องฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติอะไรก็ตาม ล้วนไร้ผลโดยสิ้นเชิงต่อภูตเพลิงดิน ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์
ถ้าเป็นอสูรอื่น ภูตพยัคฆ์อาจกลืนกินได้ในคำเดียว
ปัญหาก็คือแหล่งกำเนิดของภูตเพลิงดินก็คือเพลิงอมฤตไม่มีใครสามารถกลืนของอันตรายอย่างนั้นได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นไม่สามารถกลืนฝ่ายตรงข้ามได้
ภูตพยัคฆ์กำลังหนีจากสภาพกดดัน
มันหวังว่าจะหลบหนีจากการสู้กับภูตเพลิงดินได้และกลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายมัน แต่เบื้องหน้าคืออาหารโอชะ
ภูตเพลิงดินไม่สนใจอะไรอื่น
แค่ต้องการจะปล่อยความหิวกระหายและเพลิดเพลินกับอาหาร สำหรับการปกป้องเจ้านาย
ภูตเพลิงดินไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงปัญหาเรื่องนี้
ทั้งนี้เพราะเย่ว์หยางมีอสูรพิทักษ์มากมายเกินไป
นอกจากภูตพยัคฆ์แล้ว
มนุษย์สมิงได้เรียกอสูรเขี้ยวปีศาจที่ทรงพลังออกมาอีกตัวหนึ่ง
นี่คืออสูรที่ประหลาดซึ่งสามารถพบได้แต่เพียงในแดนสวรรค์เท่านั้น เมื่อมันถือกำเนิด
ก็เป็นอสูรทองระดับสิบแล้ว จากนั้นมา
มันไม่เคยเปลี่ยนระดับหรือยกระดับเพิ่มอีกเลย
มันมีความสามารถในการเพิ่มขนาดและมีความสามารถในการสะสมพลังได้
ลักษณะพิเศษของมันก็คือพวกมันสามารถกลืนและย่อยอะไรก็ได้
หลังจากเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว สติปัญญาของมนุษย์สมิงก็ยังเท่าเดิม
เขาเรียกอสูรเขี้ยวปีศาจที่มีขนาดเท่าภูเขาย่อมๆ
ออกมาลองเชิงเย่ว์หยาง
สำหรับอสูรอย่างอสูรเขี้ยวปีศาจที่ไม่มีสมองและเป็นเหมือนก้อนเนื้อกลมมีความสามารถรักษาตัวได้ทันที
มันสามารถต้านทานการโจมตีจากมนุษย์ได้
ถ้ามนุษย์สมิงไม่กลัวจื้อจุน เขาคงไม่ทดสอบเย่ว์หยางอย่างระมัดระวังแน่
เขาจะวิ่งเข้าเผด็จศึกเย่ว์หยางทันที..
ตอนนี้
มนุษย์สมิงหวังว่าจะบีบให้เย่ว์หยางถอยห่างออกไปและกลับไปอยู่ข้างตัวชางเหยียน
เขาไม่สนใจอะไรอื่นนอกจากหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจื้อจุนชาวมนุษย์
“เจ้ามีฝีมือเพียงแค่นี้ใช่ไหม?”
ประกายตาเยือกเย็นฉายออกมาจากตาของเย่ว์หยาง ถ้าชางเหยียนไม่ใช้สนามพลังของเขาช่วยมนุษย์สมิง
คงยากจะพูดได้ว่าเขาสามารถรอดจากการโจมตีของกระบี่กุยจ้างได้ ตอนนี้เขายังกล้าเรียกอสูรออกมาอีกหรือ?
นางพญาดอกหนามมงกุฎทองลอยออกมาทั้งที่ยังหาวอยู่ นางยังคงพักผ่อน
แต่ก็ต้องวิ่งออกมาเผชิญหน้ากับอสูรเขี้ยวปีศาจ
ไม่มีใครอื่นนอกจากนางสามารถเผชิญหน้ากับอสูรเขี้ยวปีศาจได้
เมื่อเขาควบพลังในมือขวาของเขา อักษรรูนนับไม่ถ้วนส่องประกายขึ้น
วงจักรล้างโลกหรือ?
มนุษย์สมิงและชางเหยียนตื่นตัวกันทั้งคู่
โชคดีที่แม้ว่าวงจักรล้างโลกของเจ้าเด็กนี่จะทรงพลังมาก
แต่ก็มีการโจมตีได้เพียงวิธีเดียว
รัศมีของชางเหยียนขยายขึ้นเล็กน้อย
มนุษย์สมิงรู้สึกถึงกระแสพลังงานในร่างกายของเขาและพลังต่อสู้ของเขาเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า
เขาดีใจและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
แม้ว่าเขาจะไม่กล้าเข้าไปในระยะประชิดและป้องกันพลังตัดของวงจักรล้างโลก
แต่มนุษย์สมิงตวัดกรงเล็บและหางยิงมีดล่องหนออกไปหลายสิบเล่ม
ซึ่งสามารถตัดโลหะและบดศิลาได้ ขณะที่เย่ว์หยางยังมัวแต่กลั่นควบพลังของตนเองอยู่
หืม!
ชางเหยียนสงสัยทำไมเย่ว์หยางถึงไม่หลบการโจมตี เป็นไปได้ว่ากระบี่กุยจ้างเป็นของปลอมกระมัง? และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงก็แค่หยั่งเชิงพวกเขา?
ชางเหยียนผู้มีมากประสบการณ์ฉุกคิดทันที
ตอนนี้เย่ว์หยางแค่พยายามทดสอบขีดจำกัดศัตรูและควบคุมสนามพลังของเขาเอง การโจมตีที่แท้จริงกำลังจะตามมา....
“กลับมา!” ชางเหยียนตะโกนเรียกมนุษย์สมิงให้กลับ ทว่าสายเกินไป
วงจักรอักษรรูนยักษ์ถูกควบกลั่นอยู่ในมือของเย่ว์หยาง นั่นแค่คล้ายกันมาก
แต่ยังคงแตกต่างจากวงจักรล้างโลก
เมื่อวงจักรอักษรรูนขนาดยักษ์ปรากฏ นี่เหมือนกับสนามพลังดารานภากาศของจักรพรรดินีราตรี ตลอดทั้งห้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเย่ว์หยาง
พลังของสนามพลังของชางเหยียนถูกขับออกไปทั้งหมด
ภายในระยะสิบเมตรของวงจักรอักษรรูนยักษ์นี้
ไม่มีอะไรส่งผลกระทบต่อมันเลย
ต่างจากสนามพลังดารานภากาศ
นอกเหนือจากความต้องการของเย่ว์หยางแล้ว
วงจักรอักษรรูนยักษ์นี้ยังมีพลังและความปรารถนาพิเศษเอง ไม่ว่าพลังอำนาจใดๆ ก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้
ความคงอยู่ของมันก็เหมือนการกำเนิดจักรวาลทั้งหมด
มันเป็นสิ่งที่คงอยู่
เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง
เมื่อชางเหยียนเห็นว่าวงจักรล้างโลกเปลี่ยนแปลงไป
เขาร้องออกมาอย่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นวงจักรอักษรรูนยักษ์ “วงจักรอนันตกาล? โอวไม่นะ!”
ขณะที่มีเย่ว์หยางเป็นจุดศูนย์กลาง
อักษรรูนนับไม่ถ้วนลอยออกมาล้อมรอบตัวเขาเงียบๆ หลังจากที่มันก่อตัวเป็นวงจักรอนันตกาล และยังคงรักษารูปลักษณ์ดั้งเดิม
นี่เป็นเหมือนกับว่าอักษรรูนเหล่านั้นคงอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์
และจะคงอยู่ตลอดไปอย่างนั้นตราบชั่วกาลนาน... นี่คือพลังของวงจักรอนันตกาล ไม่มีพลังภายนอกโลกนี้ที่ส่งผลต่อมันได้
นี่คือสิ่งคงอยู่ที่ตรงกันข้ามกับวงจักรล้างโลก อย่างหนึ่งใช้กำจัดทุกสรรพสิ่ง อีกหนึ่งนั้นคงไว้ซึ่งสรรพสิ่งนิรันดร
เย่ว์หยางได้รับตกทอดวงจักรล้างโลกและวงจักรอนันตกาลมานานแล้ว แต่เขาคุ้นเคยกับการใช้วงจักรล้างโลก
และรู้สึกว่าวงจักรล้างโลกสร้างความเสียหายได้หนักกว่า
เขาไม่มีเวลามากนักในการฝึกใช้วงจักรอนันตกาลจนกระทั่งจักรพรรดิชื่อตี้หนีไปจากผนึกเขาได้
ความเร็วสูงสุดของจักรพรรดิชื่อตี้และการปกป้องจากอาวุธระดับเทพของเขาทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เย่ว์หยางจะโจมตีเขาได้
ต่อมาเย่ว์หยางจึงคิดจะใช้วงจักรอนันตกาล
จากนั้นเขาจึงเข้าใจ วงจักรทั้งสองต้องใช้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นวงจักรชนิดใดก็ตาม
ไม่มีทางจะใช้พลังได้ถึงสูงสุด หากใช้แค่เพียงลำพัง
มนุษย์สมิงตระหนักได้ว่าอยู่ที่ขอบของวงจักรอนันตกาล เขาไม่สามารถขยับได้เลยสักนิ้ว ขณะที่เขากลัวจนนึกอะไรไม่ออก เขาสามารถเห็นได้ว่า
เย่ว์หยางเงื้อกระบี่ดำกุยจ้างและพุ่งเข้ามา
อย่าว่าแต่การหลบเลย
แม้แต่จะขอความช่วยเหลือก็ยังทำไม่ได้
ชางเหยียนส่งแก๊สดำออกไป แต่เขาไม่สามารถช่วยมนุษย์สมิงได้ ขณะที่จ้าวอสูรเพชรฆาตโบราณที่เหลืออยู่เพียงตาเดียว
มันไม่มีความตั้งใจจะสู้กับเย่ว์หยางที่มีเพลิงอมฤตคุ้มครองตัว ได้แต่กลัวโดยสัญชาตญาณของมัน เทียบกับวงจักรอนันตกาลและวงจักรล้างโลกแล้ว
มันกลัวเพลิงอมฤตมากกว่า
เพลิงอมฤตเป็นสิ่งอันตรายคุกคามความคงอยู่ของมัน
“ระวัง! พวกเขาว่าชางเหยียนมีความสามารถระเบิดศพคนได้” หวงฉวนนึกถึงเรื่องนี้ได้ทันที
และรีบเตือนเย่ว์หยาง
“ถึงเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องฆ่า”
แม้ว่ากระบี่กุยจ้างจะมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าตะเกียบ แต่กลับทรงพลังมหาศาล
เป็นครั้งแรกที่กระบี่กุยจ้างถูกนำมาใช้
มันทะลวงเข้าหน้าผากของมนุษย์สมิง
ไม่เพียงแต่ทะลวงสมองเท่านั้น
แม้แต่เขาที่แข็งที่สุดของมนุษย์สมิงก็ยังถูกตัดออกมาด้ว้ย
“น่าสนใจ”
จื้อจุนไม่ได้แสดงความประหลาดใจต่อวงจักรล้างโลกและวงจักรอนันตกาลของเย่ว์หยาง แต่กลับให้ความสนใจกระบี่กุยจ้าง
กระบี่กุยจ้างสามารถทะลวงศีรษะได้ในครั้งเดียว
แม้ว่าจะไม่ทรงพลังเท่ากับกระสุนดำ แต่นางเห็นศักยภาพของเทพกระบี่นี้
แค่ระดับขอบเขตปัจจุบันของเขา
เย่ว์หยางสามารถใช้กระบี่กุยจ้างเกือบในระดับเดียวกับกระสุนดำของนาง
ถ้าเขายกระดับขึ้นเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสุดยอด กระบี่กุยจ้างจะเปล่งอานุภาพได้ขนาดไหน? คำตอบย่อมชัดเจนอยู่แล้ว!
ในเวลาเดียวกับที่เย่ว์หยางฆ่ามนุษย์สมิง
คลื่นอัดกระแทกที่น่ากลัวรุนแรงกว่าภูเขาไฟระเบิดร้อยเท่าระเบิดออกมาจากใต้เท้ามนุษย์สมิง....
และในเวลาแทบจะทันที จื้อจุนมองดูสนามพลังของชางเหยียนและพึมพำ “งั้นก็เป็นแค่ลูกเล่นเล็กน้อยเพื่อหลอกลวงผู้คน
ก็เป็นแค่กับดักสนามพลังที่จำเป็นต้องได้บางอย่างจากภายนอกเพื่อจุดชนวน”
ไม่ต้องพูดถึงจื้อจุน
แม้แต่เสียงจักรพรรดินีราตรีก็ยังแฝงไปด้วยความสุข “โชคดีจริงๆ
ที่มันต้องการปัจจัยภายนอกในการจุดชนวน
นี่ทำให้ข้ากลัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรมาก!”
ภูตพยัคฆ์ที่เชื่อมวิญญาณกับมนุษย์สมิงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ขณะเดียวกัน หิมะที่เหมือนธารน้ำแข็งระเบิดออกมาจากร่างของมันผนึกภูตพยัคฆ์และภูตเพลิงดินไว้ในน้ำแข็ง
ไม่มีผนึกใดสามารถขังร่างของภูตเพลิงดินที่มีเพลิงอมฤตเป็นส่วนประกอบ
ขณะที่ร่างของมนุษย์สมิงถูกโจมตี ร่างของอสูรเขี้ยวปีศาจก็ระเบิด สิ่งที่มันยิงออกมาก็คืองูไฟฟ้าทองหลายล้านตัวในกับดักสนามพลังของชางเหยียน ไม่ต้องพูดถึงนางพญาดอกหนามมงกุฎทองที่อยู่ในแนวของระเบิด
แม้แต่หวงฉวน
เฝินเทียนและหวิ่นซิงก็ยังมึนชาจากพลังไฟฟ้าไปด้วย
“ระเบิดต่อเนื่อง!”
ชางเหยียนยกมือขวาช้าๆและชี้ไปที่ศพของเพชรฆาตโบราณทั้งสิบสองตัวบนพื้น
“ว่าไงนะ?”
เวิ่งจินและคนอื่นตะลึง ถ้าศพเพชรฆาตโบราณทั้งสิบสองตัวเหล่านี้ระเบิด จะมีคนรอดชีวิตอยู่ได้ยังไง? กับดักสนามพลังของชางเหยียนสร้างขึ้นมาให้จุดชนวนกันเอง หลังจากระเบิดสามครั้ง
พลังสายฟ้าจะรุนแรงมากกว่าภูเขาไฟระเบิดถึงสิบเท่า ถ้าศพเพชรฆาตโบราณระเบิดสิบสองตัวระเบิดไล่ๆ
กันใครยังจะยืนหยัดอยู่ได้ นอกจากจื้อจุนผู้ทรงพลัง?
แม้ว่าเย่ว์หยางที่ได้รับการปกป้องโดยวงจักรอนันตกาลและจักรพรรดินีราตรีผู้มีสนามพลังดารานภากาศก็มีแนวโน้มไม่อาจทนต่อพลังระเบิดที่รุนแรงพันเท่าล้านเท่าทวีคูณ
เป็นไปตามคาด ชางเหยียนนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับห้า
ช่างน่ากลัวจริงงๆ
ถ้าเขายังไม่โจมตีก็ยังไม่เป็นอะไร แต่ทันทีที่เขาโจมตี เขาจะต้องกวาดล้างทุกคนทันที...
จื้อจุนยังคงไม่แยแส
เหมือนกับว่านางเห็นว่าชางเหยียนเตรียมใช้ระเบิดต่อเนื่อง
กลับเป็นจักรพรรดินีราตรีผู้ล่องหนเอื้อนเอ่ยขึ้น
“จงกำเนิดขึ้นมา
พลังสิบสองราศีนักษัตร ดาวแกะ...
แรงโน้มถ่วงดารานภากาศ!”
11 ความคิดเห็น:
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
หือ? ภูติเพลิงดิน? ใช่ผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่าหว่า...
ที่ช่วยเหลือแม่สี่จนตาย เย่ว์หยางจึงเอาเธอมาเป็นภูติแบบนี้
...ตัวละครเรื่องนี้เยอะจริงๆ ยิ่งบางคนนานๆทีถึงจะมีบท ทำเอาลืมไปเลยว่าใครเป็นใคร
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณ ครับ
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น