วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 539 กับดักสนามพลัง? ไม่เท่าไหร่!



ตอนที่  539  กับดักสนามพลัง? ไม่เท่าไหร่!

รัศมีของชางเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย  คลื่นพลังเพิ่มขึ้นในสนามพลัง

มนุษย์สมิงที่ถูกกระบี่กุยจ้างข่มอยู่ในกลางอากาศลอยขึ้นไปในท้องฟ้า   หวงฉวน เฝินเทียน หวิ่นซิงรู้สึกอายจนบอกไม่ถูก  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะมนุษย์สมิง นักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสามได้  ขณะที่เย่ว์หยางที่ยังไม่เข้าสู่ขอบเขตปราณก่อกำเนิดฟ้าสามารถผลักดันตนเองจนถึงขนาดทำให้ชางเหยียนนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับห้า ต้องลงมือช่วยมนุษย์สมิง
ตาของเย่ว์หยางเป็นประกายเยาะเย้ยศัตรู  เขาเก็บซ่อนกระบี่กุยจ้างไว้ในมือของเขา
เขาเงื้อมือและหวดแส้ลงทัณฑ์ที่สร้างขึ้นจากบัวเพลิงฟ้าพิโรธใส่คอของมนุษย์สมิง  แม้ว่าจะสร้างความเสียหายให้ไม่ได้มาก  แต่ก็เพียงพอทำให้มนุษย์สมิงช้าลง
หวงฉวนไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเย่ว์หยางต้องการสู้กับมนุษย์สมิงในระยะประชิด?
ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตฝีมือ ความสามารถและสภาพร่างกาย ระดับของเย่ว์หยางยังห่างจากมนุษย์สมิงอยู่มาก  ทำไมถึงต้องสู้กับมนุษย์สมิงในระยะประชิดด้วย?
 “โฮกกกกก!” มนุษย์สมิงที่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดคำรามใส่ท้องฟ้า   คลื่นเสียงระเบิดใส่แส้ที่เย่ว์หยางใช้หวดเขาจนกระจายออกไป  แม้ว่าเย่ว์หยางจะมีเกราะเพลิงอมฤตและปราณกระบี่ไร้ลักษณ์  แต่เขาก็ยังโดนพลังโจมตีจนมึนงงและร่างเซ  ถึงอย่างนั้นมนุษย์สมิงก็ไม่กล้าโจมตีเย่ว์หยาง  เขาเพียงแต่อ้าปากพ่นควันสีดำหนาแน่น  ในควันหนาดำ มีสัตว์ประหลาดร่างคล้ายเสือซ่อนอยู่หลังม่านควันเตรียมกระโจนตะปบใส่เย่ว์หยาง
 “หอกแสง!” หวงฉวนลืมตากว้าง และยิงหอกแสงเกือบร้อยเล่มออกมาจากนัยน์ตาของเขา  หอกความเร็วแสงเกือบทั้งหมดยิงตรงใส่สัตว์ประหลาดร่างเสือที่อยู่หลังม่านควัน
แสงสว่างและความมืดตัดกันอย่างชัดเจน
หวงฉวนมั่นใจว่าหอกของเขาสามารถฆ่า ภูตพยัคฆ์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านควันนั้นได้
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น... เหมือนกับว่าหอกแสงเหล่านั้นไม่ได้สัมผัสอะไรและทะลุผ่านร่างของภูตพยัคฆ์ไปตรงๆ  ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย  ภูตพยัคฆ์นั้นยังคงกระโจนหาเย่ว์หยาง  กรงเล็บแหลมคมรอดออกมาจากควันส่งเสียงหวีดหวิวตัดอากาศ
ไม่เพียงแต่หวงฉันเท่านั้นที่ตะลึง  แม้แต่เฝินเทียนและหวิ่นซิงก็ตกใจไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าเป็นภูตพยัคฆ์ตัวหนึ่ง  ทำไมหอกแสงของเขาจึงใช้ไม่ได้ผลเลย
พวกเขาไม่มีเวลาใคร่ครวญถึงมัน  เมื่อภูตพยัคฆ์เตรียมสังหารเย่ว์หยางที่ยังคงอยู่ในอาการมึนงง บอลเพลิงสว่างลอยออกมาจากร่างของเย่ว์หยาง นี่ไม่ใช่เพลิงอมฤต แต่เป็นอสูรที่ครอบครองพลังธาตุหลายอย่าง อาทิ เพลิง, ควัน, พายุ, สายฟ้าและมีคุณสมบัติเป็นภูตวิญญาณ นางคือหนึ่งในอสูรพิทักษ์ของเย่ว์หยาง ภูตเพลิงดิน!
ขณะที่หอกแสงไม่สามารถแตะต้องภูตพยัคฆ์ได้ เมื่อภูตเพลิงดินปรากฏตัว  นางเหวี่ยงภูตพยัคฆ์กระเด็นห่างออกไป
มีแต่นางที่เป็นอสูรที่มีคุณสมบัติเดียวกับภูตพยัคฆ์
แม้ว่าภูตพยัคฆ์จะแข็งแกร่งกว่าภูตเพลิงดินมาก  แต่ภูตเพลิงดินไม่กลัว และไม่ได้รับบาดเจ็บ  นางไม่ค่อยฉลาดนัก แต่ส่วนใหญ่นางสู้โดยใช้สัญชาตญาณแทน
ภูตพยัคฆ์สามารถฉีกร่างนางเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  แต่ร่างภูตเพลิงดิน ก็ฟื้นสภาพได้ในเสี้ยววินาที  ตราบใดที่เพลิงอมฤตซึ่งเป็นแหล่งชีวิตของนางยังคงลุกโชน  นางจะไม่มีทางหายไป  ตราบใดที่เย่ว์หยางเจ้านายนางยังไม่ตาย  นางจะไม่มีทางตายจริงๆ สิ่งที่ภูตพยัคฆ์ทำลายไปเป็นแค่เพียงรูปแบบธาตุของนาง  การโจมตีแบบนี้มีผลเช่นเดียวกับหอกแสงที่เพิ่งโจมตีใส่ภูตพยัคฆ์เมื่อครู่  ไร้ผลอย่างสิ้นเชิง  มีทางเดียวที่ภูตพยัคฆ์จะทำอันตรายให้ภูตเพลิงดินได้ ก็โดยวิธีกลืนศัตรูที่ไม่มีวันตายนี้
ภูตเพลิงดินก็จะทำสิ่งนี้แน่นอน
นางไม่สนใจว่าภูตพยัคฆ์แข็งแกร่งกว่านางเป็นร้อยเท่า  นางใช้เพลิงอมฤตดูดกลืนพลังงานของคู่ต่อสู้ทีละน้อยๆ
ต่อให้ภูตพยัคฆ์ไม่ตอบโต้  ถ้านางต้องการกลืนฝ่ายตรงข้ามอย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนนางอาจต้องใช้เวลาสามวันสามคืนก็เป็นได้
ภูตพยัคฆ์โกรธยิ่งขึ้น....
มันบินวนอย่างบ้าคลั่งและใช้กรงเล็บแหลมคมตะกุยใส่อากาศ  เปลวเพลิงจากปากของมันแผดเผาเต็มท้องฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติอะไรก็ตาม  ล้วนไร้ผลโดยสิ้นเชิงต่อภูตเพลิงดิน  ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์
ถ้าเป็นอสูรอื่น  ภูตพยัคฆ์อาจกลืนกินได้ในคำเดียว ปัญหาก็คือแหล่งกำเนิดของภูตเพลิงดินก็คือเพลิงอมฤตไม่มีใครสามารถกลืนของอันตรายอย่างนั้นได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นไม่สามารถกลืนฝ่ายตรงข้ามได้ ภูตพยัคฆ์กำลังหนีจากสภาพกดดัน  มันหวังว่าจะหลบหนีจากการสู้กับภูตเพลิงดินได้และกลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายมัน  แต่เบื้องหน้าคืออาหารโอชะ ภูตเพลิงดินไม่สนใจอะไรอื่น  แค่ต้องการจะปล่อยความหิวกระหายและเพลิดเพลินกับอาหาร  สำหรับการปกป้องเจ้านาย ภูตเพลิงดินไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงปัญหาเรื่องนี้  ทั้งนี้เพราะเย่ว์หยางมีอสูรพิทักษ์มากมายเกินไป
นอกจากภูตพยัคฆ์แล้ว  มนุษย์สมิงได้เรียกอสูรเขี้ยวปีศาจที่ทรงพลังออกมาอีกตัวหนึ่ง
นี่คืออสูรที่ประหลาดซึ่งสามารถพบได้แต่เพียงในแดนสวรรค์เท่านั้น  เมื่อมันถือกำเนิด ก็เป็นอสูรทองระดับสิบแล้ว  จากนั้นมา มันไม่เคยเปลี่ยนระดับหรือยกระดับเพิ่มอีกเลย  มันมีความสามารถในการเพิ่มขนาดและมีความสามารถในการสะสมพลังได้
ลักษณะพิเศษของมันก็คือพวกมันสามารถกลืนและย่อยอะไรก็ได้
หลังจากเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว  สติปัญญาของมนุษย์สมิงก็ยังเท่าเดิม  เขาเรียกอสูรเขี้ยวปีศาจที่มีขนาดเท่าภูเขาย่อมๆ ออกมาลองเชิงเย่ว์หยาง  สำหรับอสูรอย่างอสูรเขี้ยวปีศาจที่ไม่มีสมองและเป็นเหมือนก้อนเนื้อกลมมีความสามารถรักษาตัวได้ทันที มันสามารถต้านทานการโจมตีจากมนุษย์ได้  ถ้ามนุษย์สมิงไม่กลัวจื้อจุน เขาคงไม่ทดสอบเย่ว์หยางอย่างระมัดระวังแน่ เขาจะวิ่งเข้าเผด็จศึกเย่ว์หยางทันที..  ตอนนี้ มนุษย์สมิงหวังว่าจะบีบให้เย่ว์หยางถอยห่างออกไปและกลับไปอยู่ข้างตัวชางเหยียน  เขาไม่สนใจอะไรอื่นนอกจากหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจื้อจุนชาวมนุษย์
 “เจ้ามีฝีมือเพียงแค่นี้ใช่ไหม?”  ประกายตาเยือกเย็นฉายออกมาจากตาของเย่ว์หยาง  ถ้าชางเหยียนไม่ใช้สนามพลังของเขาช่วยมนุษย์สมิง คงยากจะพูดได้ว่าเขาสามารถรอดจากการโจมตีของกระบี่กุยจ้างได้  ตอนนี้เขายังกล้าเรียกอสูรออกมาอีกหรือ?
นางพญาดอกหนามมงกุฎทองลอยออกมาทั้งที่ยังหาวอยู่  นางยังคงพักผ่อน แต่ก็ต้องวิ่งออกมาเผชิญหน้ากับอสูรเขี้ยวปีศาจ
ไม่มีใครอื่นนอกจากนางสามารถเผชิญหน้ากับอสูรเขี้ยวปีศาจได้
เมื่อเขาควบพลังในมือขวาของเขา  อักษรรูนนับไม่ถ้วนส่องประกายขึ้น
วงจักรล้างโลกหรือ?
มนุษย์สมิงและชางเหยียนตื่นตัวกันทั้งคู่ โชคดีที่แม้ว่าวงจักรล้างโลกของเจ้าเด็กนี่จะทรงพลังมาก แต่ก็มีการโจมตีได้เพียงวิธีเดียว
รัศมีของชางเหยียนขยายขึ้นเล็กน้อย  มนุษย์สมิงรู้สึกถึงกระแสพลังงานในร่างกายของเขาและพลังต่อสู้ของเขาเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า เขาดีใจและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น  แม้ว่าเขาจะไม่กล้าเข้าไปในระยะประชิดและป้องกันพลังตัดของวงจักรล้างโลก  แต่มนุษย์สมิงตวัดกรงเล็บและหางยิงมีดล่องหนออกไปหลายสิบเล่ม ซึ่งสามารถตัดโลหะและบดศิลาได้ ขณะที่เย่ว์หยางยังมัวแต่กลั่นควบพลังของตนเองอยู่
หืม!
ชางเหยียนสงสัยทำไมเย่ว์หยางถึงไม่หลบการโจมตี  เป็นไปได้ว่ากระบี่กุยจ้างเป็นของปลอมกระมัง?  และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงก็แค่หยั่งเชิงพวกเขา?
ชางเหยียนผู้มีมากประสบการณ์ฉุกคิดทันที  ตอนนี้เย่ว์หยางแค่พยายามทดสอบขีดจำกัดศัตรูและควบคุมสนามพลังของเขาเอง  การโจมตีที่แท้จริงกำลังจะตามมา....
 “กลับมา!  ชางเหยียนตะโกนเรียกมนุษย์สมิงให้กลับ  ทว่าสายเกินไป
วงจักรอักษรรูนยักษ์ถูกควบกลั่นอยู่ในมือของเย่ว์หยาง  นั่นแค่คล้ายกันมาก แต่ยังคงแตกต่างจากวงจักรล้างโลก
เมื่อวงจักรอักษรรูนขนาดยักษ์ปรากฏ  นี่เหมือนกับสนามพลังดารานภากาศของจักรพรรดินีราตรี  ตลอดทั้งห้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเย่ว์หยาง พลังของสนามพลังของชางเหยียนถูกขับออกไปทั้งหมด  ภายในระยะสิบเมตรของวงจักรอักษรรูนยักษ์นี้ ไม่มีอะไรส่งผลกระทบต่อมันเลย  ต่างจากสนามพลังดารานภากาศ  นอกเหนือจากความต้องการของเย่ว์หยางแล้ว วงจักรอักษรรูนยักษ์นี้ยังมีพลังและความปรารถนาพิเศษเอง  ไม่ว่าพลังอำนาจใดๆ ก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้
ความคงอยู่ของมันก็เหมือนการกำเนิดจักรวาลทั้งหมด
มันเป็นสิ่งที่คงอยู่ เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง
เมื่อชางเหยียนเห็นว่าวงจักรล้างโลกเปลี่ยนแปลงไป  เขาร้องออกมาอย่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นวงจักรอักษรรูนยักษ์  “วงจักรอนันตกาล?  โอวไม่นะ!
ขณะที่มีเย่ว์หยางเป็นจุดศูนย์กลาง  อักษรรูนนับไม่ถ้วนลอยออกมาล้อมรอบตัวเขาเงียบๆ  หลังจากที่มันก่อตัวเป็นวงจักรอนันตกาล  และยังคงรักษารูปลักษณ์ดั้งเดิม  นี่เป็นเหมือนกับว่าอักษรรูนเหล่านั้นคงอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ และจะคงอยู่ตลอดไปอย่างนั้นตราบชั่วกาลนาน... นี่คือพลังของวงจักรอนันตกาล  ไม่มีพลังภายนอกโลกนี้ที่ส่งผลต่อมันได้
นี่คือสิ่งคงอยู่ที่ตรงกันข้ามกับวงจักรล้างโลก  อย่างหนึ่งใช้กำจัดทุกสรรพสิ่ง  อีกหนึ่งนั้นคงไว้ซึ่งสรรพสิ่งนิรันดร
เย่ว์หยางได้รับตกทอดวงจักรล้างโลกและวงจักรอนันตกาลมานานแล้ว  แต่เขาคุ้นเคยกับการใช้วงจักรล้างโลก และรู้สึกว่าวงจักรล้างโลกสร้างความเสียหายได้หนักกว่า  เขาไม่มีเวลามากนักในการฝึกใช้วงจักรอนันตกาลจนกระทั่งจักรพรรดิชื่อตี้หนีไปจากผนึกเขาได้
ความเร็วสูงสุดของจักรพรรดิชื่อตี้และการปกป้องจากอาวุธระดับเทพของเขาทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เย่ว์หยางจะโจมตีเขาได้
ต่อมาเย่ว์หยางจึงคิดจะใช้วงจักรอนันตกาล
จากนั้นเขาจึงเข้าใจ  วงจักรทั้งสองต้องใช้ร่วมกัน  ไม่ว่าจะเป็นวงจักรชนิดใดก็ตาม ไม่มีทางจะใช้พลังได้ถึงสูงสุด หากใช้แค่เพียงลำพัง
มนุษย์สมิงตระหนักได้ว่าอยู่ที่ขอบของวงจักรอนันตกาล  เขาไม่สามารถขยับได้เลยสักนิ้ว  ขณะที่เขากลัวจนนึกอะไรไม่ออก  เขาสามารถเห็นได้ว่า เย่ว์หยางเงื้อกระบี่ดำกุยจ้างและพุ่งเข้ามา
อย่าว่าแต่การหลบเลย แม้แต่จะขอความช่วยเหลือก็ยังทำไม่ได้
ชางเหยียนส่งแก๊สดำออกไป  แต่เขาไม่สามารถช่วยมนุษย์สมิงได้  ขณะที่จ้าวอสูรเพชรฆาตโบราณที่เหลืออยู่เพียงตาเดียว  มันไม่มีความตั้งใจจะสู้กับเย่ว์หยางที่มีเพลิงอมฤตคุ้มครองตัว  ได้แต่กลัวโดยสัญชาตญาณของมัน  เทียบกับวงจักรอนันตกาลและวงจักรล้างโลกแล้ว มันกลัวเพลิงอมฤตมากกว่า  เพลิงอมฤตเป็นสิ่งอันตรายคุกคามความคงอยู่ของมัน
 “ระวัง!  พวกเขาว่าชางเหยียนมีความสามารถระเบิดศพคนได้”  หวงฉวนนึกถึงเรื่องนี้ได้ทันที และรีบเตือนเย่ว์หยาง
 “ถึงเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องฆ่า”  แม้ว่ากระบี่กุยจ้างจะมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าตะเกียบ แต่กลับทรงพลังมหาศาล เป็นครั้งแรกที่กระบี่กุยจ้างถูกนำมาใช้  มันทะลวงเข้าหน้าผากของมนุษย์สมิง  ไม่เพียงแต่ทะลวงสมองเท่านั้น แม้แต่เขาที่แข็งที่สุดของมนุษย์สมิงก็ยังถูกตัดออกมาด้ว้ย
 “น่าสนใจ”  จื้อจุนไม่ได้แสดงความประหลาดใจต่อวงจักรล้างโลกและวงจักรอนันตกาลของเย่ว์หยาง  แต่กลับให้ความสนใจกระบี่กุยจ้าง
กระบี่กุยจ้างสามารถทะลวงศีรษะได้ในครั้งเดียว
แม้ว่าจะไม่ทรงพลังเท่ากับกระสุนดำ  แต่นางเห็นศักยภาพของเทพกระบี่นี้
แค่ระดับขอบเขตปัจจุบันของเขา  เย่ว์หยางสามารถใช้กระบี่กุยจ้างเกือบในระดับเดียวกับกระสุนดำของนาง  ถ้าเขายกระดับขึ้นเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสุดยอด  กระบี่กุยจ้างจะเปล่งอานุภาพได้ขนาดไหน?  คำตอบย่อมชัดเจนอยู่แล้ว!
ในเวลาเดียวกับที่เย่ว์หยางฆ่ามนุษย์สมิง คลื่นอัดกระแทกที่น่ากลัวรุนแรงกว่าภูเขาไฟระเบิดร้อยเท่าระเบิดออกมาจากใต้เท้ามนุษย์สมิง.... และในเวลาแทบจะทันที จื้อจุนมองดูสนามพลังของชางเหยียนและพึมพำ “งั้นก็เป็นแค่ลูกเล่นเล็กน้อยเพื่อหลอกลวงผู้คน  ก็เป็นแค่กับดักสนามพลังที่จำเป็นต้องได้บางอย่างจากภายนอกเพื่อจุดชนวน”
ไม่ต้องพูดถึงจื้อจุน  แม้แต่เสียงจักรพรรดินีราตรีก็ยังแฝงไปด้วยความสุข  “โชคดีจริงๆ ที่มันต้องการปัจจัยภายนอกในการจุดชนวน  นี่ทำให้ข้ากลัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรมาก!
ภูตพยัคฆ์ที่เชื่อมวิญญาณกับมนุษย์สมิงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ขณะเดียวกัน หิมะที่เหมือนธารน้ำแข็งระเบิดออกมาจากร่างของมันผนึกภูตพยัคฆ์และภูตเพลิงดินไว้ในน้ำแข็ง
ไม่มีผนึกใดสามารถขังร่างของภูตเพลิงดินที่มีเพลิงอมฤตเป็นส่วนประกอบ
ขณะที่ร่างของมนุษย์สมิงถูกโจมตี  ร่างของอสูรเขี้ยวปีศาจก็ระเบิด  สิ่งที่มันยิงออกมาก็คืองูไฟฟ้าทองหลายล้านตัวในกับดักสนามพลังของชางเหยียน  ไม่ต้องพูดถึงนางพญาดอกหนามมงกุฎทองที่อยู่ในแนวของระเบิด  แม้แต่หวงฉวน เฝินเทียนและหวิ่นซิงก็ยังมึนชาจากพลังไฟฟ้าไปด้วย
 “ระเบิดต่อเนื่อง!” ชางเหยียนยกมือขวาช้าๆและชี้ไปที่ศพของเพชรฆาตโบราณทั้งสิบสองตัวบนพื้น
 “ว่าไงนะ?”  เวิ่งจินและคนอื่นตะลึง  ถ้าศพเพชรฆาตโบราณทั้งสิบสองตัวเหล่านี้ระเบิด  จะมีคนรอดชีวิตอยู่ได้ยังไง?  กับดักสนามพลังของชางเหยียนสร้างขึ้นมาให้จุดชนวนกันเอง  หลังจากระเบิดสามครั้ง พลังสายฟ้าจะรุนแรงมากกว่าภูเขาไฟระเบิดถึงสิบเท่า  ถ้าศพเพชรฆาตโบราณระเบิดสิบสองตัวระเบิดไล่ๆ กันใครยังจะยืนหยัดอยู่ได้ นอกจากจื้อจุนผู้ทรงพลัง?
แม้ว่าเย่ว์หยางที่ได้รับการปกป้องโดยวงจักรอนันตกาลและจักรพรรดินีราตรีผู้มีสนามพลังดารานภากาศก็มีแนวโน้มไม่อาจทนต่อพลังระเบิดที่รุนแรงพันเท่าล้านเท่าทวีคูณ
เป็นไปตามคาด ชางเหยียนนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับห้า ช่างน่ากลัวจริงงๆ
ถ้าเขายังไม่โจมตีก็ยังไม่เป็นอะไร  แต่ทันทีที่เขาโจมตี  เขาจะต้องกวาดล้างทุกคนทันที...
จื้อจุนยังคงไม่แยแส  เหมือนกับว่านางเห็นว่าชางเหยียนเตรียมใช้ระเบิดต่อเนื่อง
กลับเป็นจักรพรรดินีราตรีผู้ล่องหนเอื้อนเอ่ยขึ้น “จงกำเนิดขึ้นมา  พลังสิบสองราศีนักษัตร  ดาวแกะ... แรงโน้มถ่วงดารานภากาศ!

11 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

ปารมี กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Minamoto กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

นายหนอนไหมปีนป่ายต้นรัก กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Nopanser Kung กล่าวว่า...

หือ? ภูติเพลิงดิน? ใช่ผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่าหว่า...
ที่ช่วยเหลือแม่สี่จนตาย เย่ว์หยางจึงเอาเธอมาเป็นภูติแบบนี้
...ตัวละครเรื่องนี้เยอะจริงๆ ยิ่งบางคนนานๆทีถึงจะมีบท ทำเอาลืมไปเลยว่าใครเป็นใคร

windwolf กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

sarinnan กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณ ครับ

natthapol.nondang@gmail.com กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

akekapoj-tee กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น