ตอนที่ 7-7
หนีมหันตภัย
เมื่อมอนโร ดอว์สัน ประธานหอการค้าดอว์สันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาออกคำสั่งทันที “หยุดก่อน!”
ขบวนผู้ขับขี่ม้าต่างรั้งบังเหียนม้าพร้อมกัน
จนม้าเชิดตัวยกเท้าหน้าตะกุยอากาศ จากนั้นจึงหยุดยืนสงบอยู่ได้
“ปล่อยคุณชายได้” มอนโร ดอว์สันออกคำสั่ง
นักรบผมแดงระดับเก้าผู้รับหน้าที่ป้องกันเยลโบกมือของเขา
เชือกที่มัดตัวเยลขาดทันที
เยลกระโดดลงจากหลังม้าทันที
ขณะที่จอร์จและเรย์โนลด์ต่างโดดลงจากหลังม้าอยู่ก่อนแล้ว
“พี่สาม, เจ้าปลอดภัยใช่ไหม?” เรย์โนลด์ตื่นเต้นมากจนตาแดง
“น้องสาม! นี่มันน่าอัศจรรย์จริงๆ! ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องปลอดภัย!” เยลพูดอย่างตื่นเต้น
จอร์จไม่ได้พูดอะไรสักคำ
เขาแค่ตบอกลินลี่ย์
“น้องสาม, ไปกันเถอะ
ออกไปจากเมืองเฟนไลพร้อมกับเรา” เยลกล่าวทันที
และตอนนี้เองมอนโร ดอว์สันเอ่ยขึ้น “นี่ลินลี่ย์ใช่ไหม? มาพร้อมกับเราเถอะ
ตราบใดที่เรายังไม่ถูกนักสู้ระดับเซียนโจมตี
เราน่าจะปลอดภัยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”
มอนโร
ดอว์สันต้องการให้ลินลี่ย์เป็นสมาชิกของหอการค้าดอว์สันมาก
สิ่งที่หอการค้าดอว์สันยังขาดแคลนที่สุดก็คือนักรบระดับเซียน!
“ยังไม่ต้อง ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ พี่ใหญ่เยล, พี่รอง, น้องสี่ พวกเจ้าไปกันก่อน”
“น้องสาม,
เจ้าจะไปจริงๆ เหรอ?.” เยลตกใจตะโกน
เยลคาดเดาออกแล้วว่าลินลี่ย์วางแผนอะไรอยู่กันแน่
ลินลี่ย์พยักหน้า “ถูกแล้ว”
เคลย์ต้องตาย!
ครั้งล่าสุด เขาล้มเหลวเพราะเกราะชะตาระดับเซียน
แต่ลินลี่ย์เชื่อว่าปกติเป็นเรื่องยากอยู่แล้วที่ผู้ปกครองอาณาจักรจะได้ครอบครองเกราะชะตาสักชุด
ไม่มีทางที่เคลย์จะได้เกราะชะตามาอีกเป็นครั้งที่สองแน่
ตอนนี้นักสู้ระดับเซียนของโบสถ์เจิดจรัสกำลังตั้งหน้าตั้งตาปกป้องตนเองอยู่
ไม่มีทางที่พวกเขาจะให้ความสนใจปกป้องกษัตริย์ในเวลานี้
“พี่ใหญ่เยลตอนนี้พวกเจ้าไปกันก่อน ข้าจะไปตามหาพวกเจ้าทีหลัง” ลินลี่ย์กล่าว
“ที่นี่มีอสูรเวทอยู่มากมายในเวลานี้
ข้าเกรงว่าสถาบันเอินส์ก็คงถูกโจมตีเช่นกัน เนื่องจากติดกับเมืองเฟนไล เราคงไม่กลับไปที่สถาบันแล้ว หลังจากไปถึงสถานที่ปลอดภัย ทั้งเรย์โนลด์และจอร์จตั้งใจจะกลับไปอาณาจักรของตนเอง ส่วนตัวข้า...
ตอนนี้ข้าจะติดตามท่านพ่อไปก่อน”
เยลตอบ
จอร์จและเรย์โนลด์ผงกศีรษะเช่นกัน
“ดี
อย่างนั้นในอนาคต
ข้าจะตามหาพวกเจ้าทุกคน พี่ใหญ่เยล
พี่รอง น้องสี่..ลาก่อน” ลินลี่ย์จ้องมองพี่น้องที่แสนดีทั้งสามอยู่นาน
ก่อนจะพยักหน้าจริงจัง จากนั้นมุ่งหน้าไปยังทิศตรงกันข้ามด้วยความเร็วสูง
แค่เพียงสามก้าวก็ไปไกลกว่าร้อยเมตรแล้ว
เยล
เรย์โนลด์และจอร์จ ทุกคนเข้าใจว่าการจะได้พบเห็นน้องสามของพวกเขาอีกครั้งในอนาคตคงเป็นเรื่องยากมาก
ทั้งสามคนขึ้นขี่ม้าของพวกเขาทันที “ไปกัน”
ขบวนของหอการค้าดอว์สันมุ่งหน้าต่อไปอีกครั้งทันที
วันนี้ตระกูลนับไม่ถ้วนในเมืองเฟนไลถูกกวาดล้างในพริบตา และตระกูลเด็บส์ก็ไม่มีการยกเว้น
เบอร์นาร์ดประมุขตระกูลถูกวานรขนทองตาม่วงเหยียบเสียชีวิตพร้อมกับคาลันทายาทของเขา สมาชิกคนอื่นๆ
ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องประมุขตระกูลคนต่อไป เพราะหลังจากนั้นพวกเขาก็ประสบภัยพิบัติสูญเสียครั้งใหญ่ อสูรเวทเริ่มโจมตีคฤหาสน์ตระกูลเด็บส์
คนคุ้มกัน คนรับใช้
สาวใช้ สมาชิกในตระกูล ตายหมดทุกคนไล่ๆ
กัน
คนของตระกูลเด็บส์ทุกคนแตกตื่นจ้าละหวั่น
ต่างเก็บของมีค่าที่พอเอาไปได้แล้วแตกหนีกระจายไปทุกทิศ ตอนนี้ไม่มีใครคิดช่วยเหลือใคร
“พี่อลิซ! เราจะทำยังไงดี?” โรวลิงตะลึง
อลิซก็ตะลึงในตอนแรกเช่นกัน แต่ตอนนี้นางตั้งสติได้แล้ว “มากับข้า”
อลิซตะโกนทันที
ที่สำคัญอลิซเป็นจอมเวทระดับสี่ ขณะที่โรวลิงเองก็เป็นนักรบระดับสี่ เมื่อพิจารณาถึงวัยของพวกนาง นี่นับว่าน่าประทับใจ แต่ในสถานการณ์ที่อสูรเวทระดับห้าเต็มไปทั่วทุกหนแห่ง พวกนางกลับไม่มีพลังพอจะต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
อลิซพาโรวลิงวิ่งเข้าไปในห้องของคาลันและหยิบการ์ดเครดิตเวทสองใบจากลิ้นชัก
“น้องโรวลิง การ์ดเครดิตเวทสองใบนี้จะมีมูลค่าแสนเหรียญทองอยู่ในนี้ เงินเท่านี้เพียงพอให้เราเอาชีวิตรอดได้ ตอนนี้เราไปกันได้แล้ว” อลิซยื่นการ์ดเครดิตเวทให้โรวลิงใบหนึ่ง
จากนั้นพวกนางวิ่งออกไปจากคฤหาสน์พร้อมกัน
นางหนึ่งเป็นจอมเวท อีกนางหนึ่งเป็นนักรบ
พวกนางมีสภาพร่างกายค่อนข้างดี
จึงวิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว
“ช่วยข้าด้วย! อ๊า!”
สาวใช้คนหนึ่งวิ่งผ่านอลิซและโรวลิงไป
ขณะที่หมาป่าวายุตัวหนึ่งวิ่งกวดไล่หลังนางมาอย่างเร่งร้อน หมาป่าวายุกระโจนใส่นางอยู่ดุร้าย
จากนั้นงับเข้าที่คอของนาง
อลิซและโรวลิงจ้องมองนัยน์ตาของสาวใช้นางนั้นที่เต็มไปด้วยความปรารถนาจะเอาชีวิตรอด แต่จากนั้น ประกายตาของนางก็ค่อยๆ หมองลง
โรวลิงยืนตะลึงอยู่กับที่ จ้องมองปรากฏการณ์ข้างหน้าอย่างโง่งม
“รีบไปกันเถอะ!”
อลิซฉุดแขนโรวลิง นางพยายามทำใจกับภาพความตายเบื้องหน้า
ในตอนนี้แม้แต่นักสู้ระดับเก้าก็ยังไม่กล้าเสียสละตัวเองเท่าใด
ในเมืองเฟนไลตอนนี้มีนักสู้ระดับเซียนมากกว่าสิบ
และอสูรเวทระดับเก้าอีกเป็นร้อย
อสูรเวทระดับต่ำมีมากขึ้นทุกที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสูรเวทระดับห้าและระดับหก เช่นแค่เฉพาะฝูงหมาป่าวายุก็มีเป็นร้อยเป็นพันแล้ว มีคนหนึ่งล้านคนอาศัยอยู่ในเมืองเฟนไล
และพวกเขาส่วนใหญ่มีพลังระดับหนึ่งหรือระดับสองเท่านั้น พวกเขาจึงไม่มีโอกาสโต้ตอบ
“แคว่ก” อลิซกับโรวลิงเด็กสาวผู้อ่อนแอทั้งสองฉีกกระโปรงชุดแต่งงานออก
เพื่อว่าพวกนางจะวิ่งได้เร็วขึ้น
“พี่อลิซ! มีอสูรเวทอยู่ข้างหน้า”
โรวลิงร้องเรียกทันที
“ทางนี้”
อลิซฉุดมือโรวลิงวิ่งไปตามตรอกเล็กๆ
แต่หลังจากตัดผ่านตรอกซอกซอยไปแล้ว
พวกนางเห็นอีกฝั่งหนึ่งยังคงมีอสูรเวทอยู่ด้วยเช่นกัน
อลิซกับโรวลิงถูกบีบบังคับให้อยู่ที่กลางตรอก ระหว่างคฤหาสน์สองหลัง แต่ทันใดนั้นกระทิงเหล็กแวมไพร์ตัวหนึ่งพุ่งเข้าจู่โจมใส่พวกนาง
“รีบไป!”
อลิซกระชากมือโรวลิงและพวกนางวิ่งออกจากตรอกซอย พวกนางไม่สนใจอสูรเวทที่อยู่ข้างหน้า มีคนหลายคนอยู่ข้างหน้าพวกนางด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญอสูรเวทเหล่านั้นอาจไม่จำเป็นต้องมุ่งเป้ามาที่พวกนาง
พวกนางยังคงตะลุยวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดความสามารถ
ลมหายใจของพวกนางแห้งและขาดห้วง หัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างความเป็นความตายทำให้ความกังวลของพวกนางขึ้นถึงระดับสูงสุด
“ฮู้ววว!” “ฮู้วววว!”
ทันใดนั้นหมาป่าวายุเกินกว่าสิบตัววิ่งกระชั้นไล่หลังพวกนางมาด้วยความเร็วสูง หมาป่าวายุมีความเร็วมาก
และเร็วกว่าความเร็วของอลิซและโรวลิงเป็นทวีคูณ
ในไม่ช้าหมาป่าวายุทั้งสิบตัวก็ไล่กวดพวกนางทัน...และขณะเดียวกัน
ที่อยู่ต่อหน้าอลิซและโรวลิง เป็นมังกรดินขนาดมหึมาโผล่ออกมา
มังกรดินมีขนาดใหญ่มากพอ
แค่มันยืนอยู่ตรงนั้นก็ขวางถนนกรีนลีฟได้ถึงเกือบครึ่งถนนแล้ว และด้วยหางมังกรของมันนั้นเอง จึงไม่มีที่ให้อลิซและโรวลิงได้หลบหนีอีก
“พี่อลิซ...”
โรวลิงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง
อลิซมองดูมังกรดินตัวใหญ่ขนาดอาคารสองชั้น
จากนั้นมองฝูงหมาป่าที่กำลังพุ่งตรงมาที่พวกนางอยู่ นางไม่สามารถนึกหาวิธีหลบหนีได้เลย
“นี่ข้ากำลังจะตายหรือนี่?” อลิซได้แต่กอดโรวลิงแน่นอย่างช่วยไม่ได้ ขณะนี้เองนางรู้สึกว่าความหวังทั้งมวลมลายหายไป
จากที่ด้านหลังเป็นฝูงหมาป่าวายุสิบตัวกำลังจะมาถึง เขี้ยวของพวกมันสะท้อนแสงแพรวพราว
ประกายแสงสีม่วงงดงามปรากฏวูบหนึ่ง
หัวของหมาป่าวายุทั้งสิบตัวถูกปลิดปลิวทันที ร่างมนุษย์ผู้หนึ่งเหมือนล่องลอยลงมาจากสวรรค์ จากนั้นตรงเข้าหามังกรดินตัวมหึมา
“นี่คือ...”
อลิซและโรวลิงจ้องมองดูคนผู้ปรากฏตัวมาช่วยพวกนางกระทันหันอย่างโง่งม
อลิซสามารถเห็นได้ชัดว่าเป็นใคร
“นานแล้ว
นานทีเดียว เรื่องอย่างนี้ก็เคยเกิดเช่นกัน”
แววสูญเสียปรากฏอยู่ในดวงตานาง
อลิซมองดูร่างนั้น
เป็นลินลี่ย์นั่นเอง
ความจริงที่อยู่ของลินลี่ย์ตั้งอยู่คนละฝั่งถนนจากคฤหาสน์ตระกูลเด็บส์
และตอนนี้ อลิซกับโรวลิงอยู่ห่างจากคฤหาสน์ของลินลี่ย์ไม่กี่สิบเมตร
ลินลี่ย์ไม่อาจทนเห็นคนตายโดยไม่ช่วยเหลือได้
“ฮ่าาาาา!”
ลินลี่ย์บิดเอวใช้พลังขาเตะออกเต็มแรงราวกับใช้แส้หวด ขาของลินลี่ย์ราวกับแส้เหล็กหวดแหวกอากาศเสียงดังหวีดหวิวกระแทกใส่กะโหลกของมังกรดิน
และในขณะนี้เอง
ขาของลินลี่ย์จู่ๆ ก็มีเกล็ดสีดำปกคลุม
ร่างมังกร!
“บึ้ม!”
แรงเตะนี้รวดเร็วมาก
มังกรดินยังไม่ทันตั้งหลักป้องกันตัว กะโหลกของมันก็ระเบิดจากแรงเตะครั้งนี้ ร่างมหึมาของมังกรดินทรุดล้มลงกระแทกกับพื้น
ลินลี่ย์ลงมายืนอยู่บนพื้น
โรวลิงและอลิซมองเห็นเหตุการณ์นี้ตลอดพากันตกตะลึง
“พี่..พี่ลินลี่ย์...” อลิซพูดเสียงเบา
ลินลี่ย์หันไปมองพวกนาง
เขาขมวดคิ้ว ลินลี่ย์ไม่มีเวลาเหลือพอจะพาสตรีสองนางนี้ไปด้วย แต่ถ้าอลิซกับโรวลิงยังอยู่ที่นี่กันเอง พวกนางจะต้องตายแน่นอน
ในเวลานั้นเองลินลี่ย์เห็นขบวนอัศวินพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง ภายในขบวนยอัศวินนี้มีชายชราคนหนึ่งกำลังขี่ม้าที่งามสง่า เป็นผู้อำนวยการไมอาแห่งหอศิลป์พรูกซ์นั่นเอง
ภายใต้การโจมตีของเหล่าอสูรเวท ผลงานศิลปะภายในหอศิลป์พรูกซ์ได้มีการดำเนินการเสร็จแล้ว ผู้อำนวยการไมอาสามารถรวบรวมชิ้นงานที่สำคัญส่วนใหญ่เก็บไว้ในแหวนมิติเก็บของของเขาแล้ว
แหวนมิติเก็บของเหล่านี้เป็นของมีค่าและหาได้ยาก แม้แต่ผู้อำนวยการไมอาก็มีเพียงแค่วงเดียว เพราะเขาได้รับตกทอดมาจากตระกูล
“ผู้อำนวยการไมอา” ลินลี่ย์ตะโกนลั่น
เมื่อเห็นลินลี่ย์
ผู้อำนวยการไมอาตื่นเต้นมาก “อาจารย์ลินลี่ย์ เจ้าอยู่ที่นี่เอง!”
คนที่ผู้อำนวยการไมอายกย่องส่วนใหญ่ก็คือปฏิมากรระดับยอดฝีมือ
จึงเป็นธรรมดาอยู่นั่นเองที่ผู้อำนวยการไมอาจะชื่นชมลินลี่ย์มาก เด็กหนุ่มคนนี้สามารถแกะสลักประติมากรรมอย่างง่ายดายแทบจะทัดเทียมกับปรมาจารย์พรูกซ์และโฮป
แจนเซน
ความจริงมีคนเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องลินลี่ย์พยายามลอบปลงพระชนม์กษัตริย์เคลย์
เรื่องราวในโลกภายนอกกลับกลายเป็นว่ามีปีศาจตนหนึ่งพยายามจะฆ่ากษัตริย์เคลย์ เป็นธรรมดานั่นเองที่ผู้อำนวยการไมอาจะไม่รู้ความจริง
“อาจารย์ลินลี่ย์, มาพร้อมกันกับเราเถอะ” ผู้อำนวยการไมอาพูดอย่างมั่นใจ
กองกำลังของหอศิลป์พรูกซ์มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง
ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ถูกอสูรเวทระดับเซียนเล่นงาน พวกเขาจะไม่มีปัญหา
“ผู้อำนวยการไมอา ไม่ต้องก็ได้ แต่ข้าหวังว่าท่านจะช่วยข้าได้ สตรีทั้งสองคนนี้มีความเกี่ยวพันกับข้า
ข้าเพียงหวังว่าท่านจะพาพวกนางไปยังที่ปลอดภัย” ลินลี่ย์สั่ง
“ไม่มีปัญหา
แต่อาจารย์ลินลี่ย์
ตอนนี้เมืองเฟนไลไม่ปลอดภัย”
ผู้อำนวยการไมอารีบกล่าว
“ไม่จำเป็น,
ข้ามีเรื่องจำเป็นต้องจัดการ
ข้าขอฝากแม่นางทั้งสองให้ท่านด้วย”
หลังจากเขาพูดแล้วลินลี่ย์หายเข้าไปในคฤหาสน์ของเขาทันที อลิซและโรวลิงต่างมองหน้ากัน และจากนั้นผู้อำนวยการไมอามอบม้าให้ตัวหนึ่งและให้พวกนางเข้าร่วมขบวน
“เขา... ไม่พูดกับข้าเลยสักคำ”
อลิซรู้สึกไม่สบายใจทันที
เสียงกีบเท้าม้าดังขึ้น
ขบวนของผู้อำนวยการไมอาแยกจากไปพร้อมกับอลิซและโรวลิง
ตอนนี้ลินลี่ย์โผล่ออกมาจากคฤหาสน์พร้อมกับแบกห่อสัมภาระไว้บนไหล่ของเขา ห่อสัมภาระนี้บรรจุการ์ดเครดิตหลายใบ,
ผงพิษสลายโลหิตที่ยังเหลืออยู่ และหญ้าใจฟ้า
“บีบี, ตอนนี้เราต้องมุ่งหน้าไปที่วัง”
“เจ้านาย, ไปกันเถอะ เราต้องฆ่าด้วยมือพวกเราเอง” บีบีตื่นเต้นเช่นกัน
ลินลี่ย์พาบีบีมุ่งสู่วังหลวงด้วยความเร็วสูง
มีน้อยคนมากที่หนีไปแล้ว แต่เคลย์กลับเข้าไปที่ห้องท้องพระคลังแทน เคลย์จะทอดทิ้งความมั่งคั่งของราชตระกูลที่สั่งสมมานานนับปีไม่ถ้วนได้ยังไง?
ความมั่งคั่งของราชตระกูลมีมากมายเหลือเชื่อ
ทรัพย์สินตระกูลเด็บส์สำคัญที่สุด
บางทีอาจมีมูลค่าถึงร้อยล้านเหรียญทอง
แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทุจริตอย่างดยุคแพตเตอสันก็ยังรวบรวมทองไว้ได้ราวๆ
ร้อยล้านเหรียญ ความมั่งคั่งที่เก็บอยู่ในท้องพระคลังมหาสมบัตินี้ก็ยังมีค่ามากกว่า
ภายในท้องพระคลัง
“นี่คือทรัพย์สินความมั่งคั่งที่รวบรวมโดยผู้ปกครองอาณาจักรเฟนไลหลายรุ่นเกินกว่าพันปีแล้ว” เมื่อจ้องมองดูสมบัติภายในท้องพระคลัง
เคลย์ไม่มีเวลาไตร่ตรองมากนัก
เขาเก็บของที่มีค่าทั้งหมดเข้าไว้แหวนมิติเก็บของ ในฐานะพระราชา เคลย์โชคดีพอจัดหาแหวนมิติเก็บสมบัติมาด้วยวงหนึ่งเช่นกัน
“นี่การ์ดเครดิตเวท 32 ใบ” เคลย์มองดูการ์ดเครดิตเวทในมือของเขา
การ์ดเครดิตเวท 32
ใบเหล่านี้ไม่มีข้อผูกมัดทั้งหมด และแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งเป็นพันๆ
ปีที่อาณาจักรได้รวบรวมไว้ การ์ดแต่ละใบบรรจุเหรียญทองถึงร้อยล้าน
การ์ดเครดิตเวทรวมสามสิบสองใบรวมมูลค่าถึงสามพันสองร้อยล้านเหรียญทอง
นี่เป็นจำนวนที่น่ากลัว บางทีแม้แต่ตระกูลใหญ่ๆ
ของสี่จักรวรรดิก็ยังไม่มีทองจำนวนรวมมากขนาดนั้น
พูดให้เข้าใจชัดก็คือวิธีทำเงินที่ง่ายที่สุดก็คือกลายเป็นราชา ความมั่งคั่งที่รวบรวมไว้โดยพระราชามาเป็นเวลาเกินพันปีจึงสูงจนน่าตกใจเป็นธรรมดา
“นครหลวงเฟนไลจบสิ้นแล้ว” เคลย์หันไปทางสมบัติที่ยังเหลือเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนจะกัดฟันจากไป
แต่สิ่งที่เคลย์ยังไม่ได้ตระหนักก็คือ
ไม่ใช่แต่เพียงเมืองหลวงเท่านั้นที่จบสิ้น
แต่ทั่วทั้งอาณาจักรเฟนไลในตอนนี้เป็นพื้นที่เต็มไปด้วยอสูรเวท เขา, เคลย์ไม่ใช่กษัตริย์อีกต่อไป ยิ่งกว่านั้น
ไม่ใช่แค่เพียงอาณาจักรเฟนไลที่ถูกทำลาย
แต่พื้นที่จำนวนมหาศาลที่เป็นของสหภาพศักดิ์สิทธิ์ถูกพวกอสูรวิเศษกัดกินและอ้างสิทธิ์ครอบครอง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น