วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 569 ปลิงทะเลที่คล้ายหมา



ตอนที่  569  ปลิงทะเลที่คล้ายหมา

“ท่านผู้อาวุโส, ผู้เยาว์มาอยู่ต่อหน้าท่านเพื่อขอคำแนะนำของท่านตามความต้องการของท่านปู่ของข้า”  ราชินีแมงกะพรุนกล่าวแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสทั้งสอง

 “พวกเจ้ามักจะมาที่นี่ครั้งละพันปี”  บุรุษที่ถูกเสากักมังกรจองจำไว้ตาพร่าเพราะรัศมีทอง และไม่สนใจดูคนเกินกว่าร้อยคน เขาหลับตาเหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ  “เจ้าไม่ต้องมาถามข้าอีกต่อไปแล้ว เว้นแต่เจ้าคนที่อยู่ตรงนั้นตาย  ข้าจะไม่มีทางออกไป”
 “ข้าจะไม่ตายแน่ ถ้าเจ้าไม่ตาย  เป่ยฟงเจียโส่ว ถ้าเจ้ามีความสามารถก็แสดงออกมาเลย มาเสียเวลาต่ออีกหกพันปีก็ได้ มาดูกันว่าใครจะตายก่อน  ข้าฟงจู้เป็นนักสู้ชาวมนุษย์ที่มีความภูมิใจ ข้าอยู่ในสิบอันดับแรกของนักสู้ในหอทงเทียน  แล้วจะไม่สามารถล้มเจ้าที่เป็นศิษย์ของตำหนักกลางแห่งแดนสวรรค์ได้อย่างไร?  แค่ศิษย์คนเดียวอย่างเจ้าไม่มีอะไรที่ต่างจากขยะ  ถ้าไม่ใช่เพราะโชคเล็กๆ น้อยๆ ที่เผอิญมาสู้กับข้าที่เป็นผู้อ่อนแอที่สุด เจ้าจะมีชีวิตจนถึงวันนี้ได้อย่างไร?  ข้ากล้าพูดได้เลยว่าถ้าเจ้าพบกับจักรพรรดิอวี้     เจ้าจะต้องกลัวจนฉี่ราดกางเกงเป็นแน่  เจ้าคิดว่าหอทงเทียนเป็นที่ให้เจ้ามาทำตามอำเภอใจได้หรือ?  นี่คือสถานที่ของเรา  ที่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รุ่งเรือง”  บุรุษที่ถูกโซ่จันทราบั่นเศียรมัดดูอ่อนเยาว์มาก  ถ้าไม่ใช่เพราะหนวดเคราเขาทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่เล็กน้อย ผู้คนอาจคิดว่าเขายังเป็นเด็กหนุ่มก็ได้
 “อะไรกัน?  เจ้าช่างเลือกปฏิบัตินัก  ข้าไม่ใช่มนุษย์หรือไง?”  บุรุษนามว่าเป่ยฟงเจียโส่วแทบคลั่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น
 “มันต่างกัน  เจ้าเป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตในแดนสวรรค์” บุรุษนามว่าฟงจู้ส่ายหัวจริงจัง
ดูเหมือนว่าเขาจะภูมิใจกับสถานะมนุษย์ของเขามาก
เหมือนกับว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเกียรติและรุ่งเรืองที่สุด
สำหรับข้ออ้างของเป่ยฟงเจียโส่วที่ว่าเขาก็เป็นมนุษย์  ฟงจู้ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วย  สีหน้าของเขาเหมือนกับว่า “เราอาจมีรากเหง้าที่เหมือนกัน  แต่เราไม่ได้เดินเส้นทางเดียวกัน”
แม้ว่านักสู้ปราณฟ้าทั้งสองนี้สนทนากัน  เย่ว์หยางก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่เป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อระหว่างนักสู้แดนสวรรค์กับนักสู้แดนมนุษย์  แม้จะผ่านมาหกพันปีแล้วพวกเขาก็ยังไม่มีใครชนะได้เด็ดขาด สำหรับวิธีที่พวกเขาจองจำกันและกันนั้น  เย่ว์หยางยังไม่รู้  ดูเหมือนว่าอสูร ทักษะหรือสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขาอาจมีพลังระดับเดียวกันก็ได้  บางทีพวกเขาอาจใช้ทักษะของพวกเขา ขณะเดียวกันก็จองจำกันและกันไปในตัว
เป็นแค่การสิ้นเปลืองพลังงานและเวลาของพวกเขา  แต่ละคนไม่ยินจะปล่อยกันและกันยาวนานถึงหกพันปี  นี่คือสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถจะทำได้
สองคนนี้...
ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนบ้า  ก็คงเป็นพวกหวาดระแวง
 “ไม่ว่าจักรพรรดิอวี้จะทรงพลังขนาดไหน  เขาก็ยังต้องตายในที่สุด  ในที่สุดตำหนักกลางของพวกเราก็แข็งแกร่งกว่าอยู่ดี  ฟงจู้ ไม่ใช่ว่าข้าพยายามโจมตีเจ้า  หอทงเทียนตกต่ำจริงๆ  ดูคนเหล่านี้สิ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมีแต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดล้วนๆ ไม่มีใครเป็นนักสู้ปราณฟ้าเลย พันปีผ่านไป ไม่มีมนุษย์ผู้ใดในหอทงเทียนเลยที่สามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดปราณก่อกำเนิด ถ้าเป็นในอดีต เจ้าคิดว่าเป็นไปได้ไหม?”  เป่ยฟงเจียโส่วยังคงดูถูกคนรอบๆ และหัวเราะเสียงดัง
 “ข้าไม่เชื่อว่าจักรพรรดิอวี้ตายอย่างเด็ดขาด  เจ้าไม่มีทางเข้าใจ  เขาไร้เทียมทาน”  ฟงจู้ไม่รู้สึกเก้อเขินเลย  เขาดูเหมือนเป็นคนฉลาด
 “อย่างนั้นเจ้าคิดว่าคนเหล่านี้ที่มาที่นี่โกหกเจ้าไหม?”  เป่ยฟงเจียโส่วย้อนถาม
 “เจ้าไม่ควรพูดเรื่องน้ำแข็งละลายแมลงที่ตายในฤดูร้อน  เจ้าไม่เข้าใจว่าการมีพลังไร้เทียมทานนั้นหมายถึงอะไร  ไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไปแล้วข้าไม่ปล่อยเจ้าออกไปแน่  ข้าจะไม่ยอมยกโทษให้ขโมยอย่างเจ้าที่ต้องการจะเข้าไปในแดนล่มสลายแห่งทวยเทพแล้วอ้างว่าตนเองเป็นมนุษย์แน่”  ฟงจู้หลับตาและตัดสินใจไม่พูดอีกต่อไป
 “เจ้าหัวหมูเอ๊ย, ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าออกไปเช่นกัน!  กรงเล็บมัจจุราชสายฟ้า...”  เป่ยฟงเจียโส่วปล่อยเหยี่ยวเงินสร้างสายฟ้า
 “แส้บุปผาโลหิต”  ขณะเดียวกัน ฟงจู้ยังคงเรียกภูตพรายที่ถือแส้สีเลือดออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกัน แส้บุปผาโลหิตและกรงเล็บมัจจุราชสายฟ้าปะทะกันเอง
บึ้ม!
แรงปะทะของแส้บุปผาโลหิตและกรงเล็บมัจจุราชสายฟ้าที่โจมตีกันและกันสร้างคลื่นพลังที่เพียงพอพัดกระแทกนักสู้ระดับต่ำกว่าปราณก่อกำเนิดกระเด็นออกไป
นอกจากราชินีแมงกะพรุนและนาคราชสมุทรเก้าหัวแล้ว  นักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่นถอยออกไปหนึ่งก้าวอย่างช่วยไม่ได้  เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าแกล้งทำเป็นต้านทานคลื่นพลังกระแทกไม่ได้ถอยออกไปสามก้าว เพื่อปิดบังพลังที่แท้จริงของพวกเขา  ขณะที่ขุนพลปลาดาว อยู่ในสภาพแย่เหมือนกับว่าเขาไม่สามารถต้านทานพลังได้ถอยออกไปเจ็ดแปดก้าว  หน้าตาที่น่าเกลียดของเขามีสีหน้าหวาดกลัว
แค่เพียงคลื่นกระแทกจากอาวุธแส้กับพลังสายฟ้าปะทะกัน แต่ก็พอผลักดันนักสู้ปราณก่อกำเนิดให้ถอยไปได้
ถ้านักสู้ทั้งสองคนนี้เป็นอิสระ  ในหอทงเทียนใครจะเป็นคู่มือพวกเขาได้?
ขุนพลปลาดาวไม่เข้าใจอะไร  แต่ราชินีแมงกะพรุนเข้าใจชัดมาก  นักสู้ปราณฟ้าสองคนนี้  ถ้าพวกเขาสามารถใช้เป็นประโยชน์ต่อตระเผ่าพันธุ์ทะเล  พวกเขาจะพาเผ่าพันธุ์ทะเลขึ้นสู่จุดสูงสุดได้แน่นอน  นอกจากจื้อจุนและคุณชายสามตระกูลเย่ว์แล้ว ไม่น่าจะมีใครเป็นคู่มือสองคนนี้ได้ ไม่ใช่แม้กระทั่งราชาเฮยอวี้
เนื่องจากพวกเขาถูกจองจำอยู่ที่นี่นานถึงหกพันปี พวกเขามีเพียงพลังปราณฟ้าระดับสอง
ถ้าพวกเขาปล่อยให้สองคนนี้เป็นอิสระ และฟื้นคืนพลังสุดยอดของพวกเขา  ราชินีแมงกะพรุนเชื่อว่าพวกเขาจะมีพลังปราณฟ้าระดับสามและอาจเหนือกว่านั้นได้แน่นอน...
 “บังอาจนัก!  เจ้าบังอาจสั่งให้อสูรของเจ้าเฆี่ยนข้าหรือ?  ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!  กรงเล็บสายฟ้า!
 “แส้บุปผาโลหิต....”
เย่ว์หยางมองดูพูดไม่ออก
นักสู้ปราณฟ้าต่อหน้าเขาต่อสู้กันเหมือนเด็กทะเลาะกัน พวกเขายังคงหวดแส้และระดมใช้กรงเล็บตอบโต้กันไปมา
หลังจากสู้กันดุเดือดหนึ่งรอบ  ทั้งสองก็มีตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ
ในที่สุด พวกเขาก็เจ็บปวดมาก ทำได้แต่เพียงหอบหายใจ
นี่กระมังที่เรียกว่าเมโซคิสม์ในตำนาน? (มีความสุขกับการถูกทรมาน)
ต่อให้พวกเขาต้องการต่อสู้กัน  พวกเขาก็ต้องรอให้ร่างกายฟื้นฟูเสียก่อน  ตอนนี้ที่พวกเขาสู้กันอย่างนี้รังแต่จะสร้างความเจ็บปวดทรมานกันเอง
เย่ว์หยางเหงื่อตกเมื่อคิดเช่นนี้
แน่นอนว่าเขารู้ว่าการคาดเดาเช่นนี้เป็นไปไม่ได้  คนที่เป็นเมโซคิสม์มีจิตใจวิปริตไม่สามารถฝึกฝนจนกลายเป็นนักสู้ปราณฟ้าได้แน่  ต้องมีเหตุอย่างหนึ่งที่สองคนนี้ยังคงกักกันคุมขังกันเอง  นอกจากนี้เหตุผลต้องไม่ธรรมดา ไม่ใช่เรื่องที่เขามองเห็นเพียงผิวเผินแน่  ทันใดนั้นเย่ว์หยางมีความคิดอย่างหนึ่ง  ถ้าหลายอย่างไม่เป็นเหมือนอย่างนั้น ก็ต้องมีความจริงอย่างอื่นซ่อนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
ความจริงนี้ต้องเกี่ยวข้องกับป้อมดาวตกนี้  พวกเขาไม่ได้สำรวจป้อมใหญ่นี้ได้ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
ต้องเป็นความลับที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกภายในแน่นอน!
 “ผู้อาวุโสทั้งสองน่าสนใจเป็นพิเศษ  พวกท่านไม่ใช่คนที่ผู้เยาว์หยาบกร้านจะเข้าใจได้  อย่างไรก็ตาม  โปรดให้ผู้เยาว์รู้ด้วยว่าท่านจะมีคำสั่งใดบ้าง”  ความตั้งใจของราชินีแมงกะพรุนไม่ต้องการจะปล่อยเป่ยฟงเจียโส่วและฟงจู้นักรบปราณฟ้าทั้งสองอยู่แล้ว
นางมีเจตนาอย่างอื่นแฝงอยู่
เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้ามองดูกันเองและแอบพยักหน้าให้กัน  แน่นอน นอกจากฟงจู้และเป่ยฟงเจียโส่วแล้ว  ยังมีนักรบคนที่สามถูกผนึกไว้ในที่นี่
แทนที่จะพูดว่าเป่ยฟงเจียโส่วและฟงจู้ต่างกักขังกันและกัน ควรจะบอกว่าพวกเขาคุมเชิงกันเองมากกว่า
ทั้งสองคนนี้ยังคงอยู่ที่นี่หลังจากผ่านไปหกพันปี ดูเหมือนว่าพวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องผนึก
จากตรงนี้ คงเห็นได้ว่านักโทษที่ถูกผนึกไว้จริงๆ ต้องเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งกว่า
นักรบปราณฟ้าสองคนจำเป็นต้องป้องกันคนผู้นี้ไว้  และพวกเขาไม่กล้าจากไปแม้ว่าจะผ่านไปนานหกพันปีแล้ว  เป็นไปได้ไหมว่านั่นคือนักรบที่จักรพรรดิอวี้ได้ผนึกไว้ก่อน? หรืออาจมีเหตุผลอื่น?
เย่ว์หยางสนใจทันทีเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้
 “ข้ารู้, เจ้าก็เหมือนบรรพบุรุษของเจ้าที่ต้องการปล่อยเจ้าผู้นั้นและยืมพลังของเขา” เป่ยฟงเจียโส่วมองดูราชินีแมงกะพรุนที่คำนับและรอคำสั่งด้วยความเคารพ หน้าของเขาดูเหมือนจะเย้ยหยันเล็กน้อยขณะกล่าว “แต่ก่อนอื่น ไม่ต้องพูดว่าพวกเจ้าจะสามารถปล่อยคนผู้นั้นได้หรือไม่  ต่อให้เจ้าสามารถปล่อยได้  เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถควบคุมพลังนั้นได้?  มันเป็นพลังที่น่ากลัวที่สร้างปัญหาให้เรานักสู้ปราณฟ้าก็ยังได้   ทันทีที่มันถูกปล่อยออกมา  ข้ากล้าพูดได้เลยว่าทั่วทั้งเผ่าพันธุ์ทะเลจะกลายเป็นอาหารของมัน  มันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะหวังได้...”
 “กลับไปซะ  ยิ่งพวกเจ้าได้รับพลังดาวตกมาก พวกเจ้าก็ยิ่งจะสูญเสียความเป็นตัวเองได้ง่าย”  ฟงจู้หลับตาและหยุดพูด
 “ตราบใดที่ผู้อาวุโสไม่คัดค้าน โปรดอภัยที่ผู้เยาว์นี้ไม่ประมาณตัวเอง  ผู้เยาว์ต้องการทดลองดู”  ราชินีแมงกะพรุนคำนับอีกครั้งแล้วเดินถอยหลัง แล้วกลับมายืนต่อหน้ากลุ่มคน  นางมองดูทุกคนและเย่ว์หยางดูเหมือนจะสามารถจับอารมณ์ได้ว่านางเหมือนกับจะพูดว่า “ทุกอย่างอยู่ในการคาดคำนวณของข้าแล้ว”
ภายใต้การยอมรับเงียบๆ ของเป่ยฟงเจียโส่วและฟงจู้  ราชินีแมงกะพรุนใช้กระบี่ลากเส้นโค้งเป็นวงกลม
สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจก็คือ ราชินีแมงกะพรุนรู้วิธีวาดวงเวทรูนสวรรค์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
หลังจากเขียนวงเวทอักษรรูนเสร็จ  ราชินีแมงกะพรุนชูดาบจ้าวสมุทรที่พะยูนนรกทิ้งไว้ให้และปลดปล่อยพลังปราณก่อกำเนิดระดับแปด  ที่ด้านข้างดูเหมือนว่านางจะปลดปล่อยพลังของนางจนถึงระดับสูงสุด  อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางที่มีจักษุญาณทิพย์และนางเซียนหงส์ฟ้าที่แข็งแกร่งกว่าราชินีแมงกะพรุน  ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าราชินีแมงกะพรุนไม่ได้ปลดปล่อยพลังของนางเต็มที่  เมื่อนาคราชสมุทรเก้าหัวเห็นดาบจ้าวสมุทรแล้ว นัยน์ตาเขาเป็นประกายเล็กน้อย
เย่ว์หยางจับอาการนั้นได้อย่างชัดเจน และเขายิ้มมุมปากเล็กน้อย
หลังจากราชินีแมงกะพรุนโจมตีอย่างรุนแรง  วงเวทอักษรรูนไม่เพียงแต่ไม่ถูกทำลาย   แต่มันกลับฉายแสงสว่าง
รังสีที่ฉายออกมาจากวงเวทอักษรรูนสวรรค์ได้ฉายพุ่งตรงไปถึงยอดโดม  จากนั้นมีเสียงร้องแปลกประหลาดดังออกมาจากภายในโดมที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ  ดวงดาวทั้งหมดในโดมดับแสงเหมือนไฟทันที  มีแต่เพียงโซ่จันทราบั่นเศียรของเป่ยฟงเจียโส่วที่ยังเปล่งแสงบางส่วน
ในท้องฟ้าเหนือโดม  มีแสงดำนับไม่ถ้วนฉายลงมาข้างล่าง
ในช่วงเวลานี้พื้นข้างล่างยังคงสั่นสะเทือน
พื้นแยกออกเผยให้เห็นบันไดที่จะนำพวกเขาลงไปข้างล่าง  ลึกลงไป  เย่ว์หยางประสาทไวและสังเกตได้ว่าบันไดสร้างขึ้นจากหินอัคนี ต่างจากหินดาวตกที่ถูกใช้สร้างป้อมด้านนอก นี่หมายความว่าคนที่สามที่ถูกผนึกไว้ได้ถูกผนึกไว้ก่อนที่ป้อมแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้น?  คนที่ถูกผนึกไว้คนที่สามนี้ต้องทรงพลังน่ากลัว คนรุ่นต่อมาจึงได้สร้างป้อมปราการอุกกาบาตปิดทับผนึกไว้อีกชั้น  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป่ยฟงเจียโส่วและฟงจู้นักสู้ปราณฟ้าเมื่อหกพันปีก่อนคอยปกป้องไว้
คำถามสุดท้ายของเย่ว์หยางก็คือ ใครที่สั่งให้นักสู้ปราณฟ้าทั้งสองคนมาคอยปกป้องที่แห่งนี้ไว้
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนตำหนักกลางและจักรพรรดิอวี้ก็มีความเกี่ยวข้องกัน  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถค้นหาความลับระหว่างตำหนักกลางกับจักรพรรดิอวี้
นักรบที่ถูกผนึกไว้นี้ไม่มีเคยมีชื่อของเขาไว้ในประวัติศาสตร์  เขาเป็นใครกันแน่
นางเซียนหงส์ฟ้าถามเรื่องนี้  แต่เย่ว์หยางไม่ตอบ  เขาเพียงแต่ยิ้มให้นางและแสดงท่าทางมั่นใจ
เย่ว์หยางคิดว่า โชคดีแล้วที่ผนึกในคุกอัคนีเหมือนกับจะเป็นวัสดุอย่างหนึ่ง  นี่ก็หมายความว่ามันไม่ค่อยแข็งแกร่งมาก  ถ้าพวกเขาพบนักรบคนหนึ่งที่ต้องถูกผนึกไว้ในมิติหลุมดำอย่างนางพญาเฟ่ยเหวินหลี  นั่นคงยุ่งยากแน่
แม้ว่าจะแตกต่างจากหอลงทัณฑ์บ่อเลือด  เย่ว์หยางก็ยังมีเหตุผลเชื่อได้ว่าคนที่ถูกผนึกไว้ในคุกอัคนีก็คือคนประเภทนั้นแน่นอน
อย่างน้อยที่สุด เขาคงเป็นนักรบปราณฟ้าคนหนึ่ง
 “พระเจ้า” นาคราชสมุทรเก้าหัวเข้าไปเป็นคนแรกส่งเสียงร้องประหลาดใจ เหมือนกับว่าฉากภาพต่อหน้าเขาเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าชำเลืองมองกันวูบหนึ่งเตรียมตัวลงบันไดไปดูว่ามีเซียนผู้ทรงพลังคนใดที่ทำให้นักสู้ปราณก่อกำเนิดอย่างนาคราชสมุทรเก้าหัวตกใจได้  อย่างไรก็ตาม ขณะที่เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าเตรียมตัวลงไปในคุกอัคนี  ฟงจู้ที่หลับตาพลันลืมตาและทักทายเย่ว์หยางทันที  “เจ้ามาคุยกันตรงนี้สักครู่ได้ไหม?  เจ้าน่ะช่างแปลกนัก ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าเป็นมนุษย์หรือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ทะเล สุนัขของเจ้าก็น่าสนใจเช่นกัน”
 “ความจริงมันคือปลิงทะเล  แต่มองดูเหมือนหมานิดหน่อย”  เย่ว์หยางตอบทำนองนี้
 “เมี้ยว เมี้ยว!” ฮุยไท่หลางผงกศีรษะทันที พยายามจะบอกว่ามันคือปลิงทะเลสายพันธุ์แท้
 

16 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

Minamoto กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

นายหนอนไหมปีนป่ายต้นรัก กล่าวว่า...

หมาปลิง หุๆ

Unknown กล่าวว่า...

ปลิงร้องเมี๊ยวๆ .......

ohmmanee กล่าวว่า...

ตลกสุดท้ายจนได้

sittichok กล่าวว่า...

ขอบคุณมากเลยนะคับ

Nopanser Kung กล่าวว่า...

ปลิงทะเลมันร้อง เมี้ยว เมี้ยว เรอะ?

ปารมี กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณ ครับ

Unknown กล่าวว่า...

อ้าวโดนทัก

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สนุกมากค่ะ

sarinnan กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

ZENDINEL กล่าวว่า...

Thx

akekapoj-tee กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น