ตอนที่ 569 ปลิงทะเลที่คล้ายหมา
“ท่านผู้อาวุโส,
ผู้เยาว์มาอยู่ต่อหน้าท่านเพื่อขอคำแนะนำของท่านตามความต้องการของท่านปู่ของข้า”
ราชินีแมงกะพรุนกล่าวแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสทั้งสอง
“พวกเจ้ามักจะมาที่นี่ครั้งละพันปี” บุรุษที่ถูกเสากักมังกรจองจำไว้ตาพร่าเพราะรัศมีทอง
และไม่สนใจดูคนเกินกว่าร้อยคน เขาหลับตาเหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ “เจ้าไม่ต้องมาถามข้าอีกต่อไปแล้ว
เว้นแต่เจ้าคนที่อยู่ตรงนั้นตาย ข้าจะไม่มีทางออกไป”
“ข้าจะไม่ตายแน่ ถ้าเจ้าไม่ตาย เป่ยฟงเจียโส่ว ถ้าเจ้ามีความสามารถก็แสดงออกมาเลย
มาเสียเวลาต่ออีกหกพันปีก็ได้ มาดูกันว่าใครจะตายก่อน ข้าฟงจู้เป็นนักสู้ชาวมนุษย์ที่มีความภูมิใจ
ข้าอยู่ในสิบอันดับแรกของนักสู้ในหอทงเทียน แล้วจะไม่สามารถล้มเจ้าที่เป็นศิษย์ของตำหนักกลางแห่งแดนสวรรค์ได้อย่างไร? แค่ศิษย์คนเดียวอย่างเจ้าไม่มีอะไรที่ต่างจากขยะ ถ้าไม่ใช่เพราะโชคเล็กๆ น้อยๆ
ที่เผอิญมาสู้กับข้าที่เป็นผู้อ่อนแอที่สุด
เจ้าจะมีชีวิตจนถึงวันนี้ได้อย่างไร?
ข้ากล้าพูดได้เลยว่าถ้าเจ้าพบกับจักรพรรดิอวี้ เจ้าจะต้องกลัวจนฉี่ราดกางเกงเป็นแน่
เจ้าคิดว่าหอทงเทียนเป็นที่ให้เจ้ามาทำตามอำเภอใจได้หรือ? นี่คือสถานที่ของเรา ที่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รุ่งเรือง” บุรุษที่ถูกโซ่จันทราบั่นเศียรมัดดูอ่อนเยาว์มาก
ถ้าไม่ใช่เพราะหนวดเคราเขาทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่เล็กน้อย
ผู้คนอาจคิดว่าเขายังเป็นเด็กหนุ่มก็ได้
“อะไรกัน? เจ้าช่างเลือกปฏิบัตินัก ข้าไม่ใช่มนุษย์หรือไง?”
บุรุษนามว่าเป่ยฟงเจียโส่วแทบคลั่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“มันต่างกัน
เจ้าเป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตในแดนสวรรค์” บุรุษนามว่าฟงจู้ส่ายหัวจริงจัง
ดูเหมือนว่าเขาจะภูมิใจกับสถานะมนุษย์ของเขามาก
เหมือนกับว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเกียรติและรุ่งเรืองที่สุด
สำหรับข้ออ้างของเป่ยฟงเจียโส่วที่ว่าเขาก็เป็นมนุษย์ ฟงจู้ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วย สีหน้าของเขาเหมือนกับว่า “เราอาจมีรากเหง้าที่เหมือนกัน แต่เราไม่ได้เดินเส้นทางเดียวกัน”
แม้ว่านักสู้ปราณฟ้าทั้งสองนี้สนทนากัน
เย่ว์หยางก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่เป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อระหว่างนักสู้แดนสวรรค์กับนักสู้แดนมนุษย์ แม้จะผ่านมาหกพันปีแล้วพวกเขาก็ยังไม่มีใครชนะได้เด็ดขาด
สำหรับวิธีที่พวกเขาจองจำกันและกันนั้น
เย่ว์หยางยังไม่รู้
ดูเหมือนว่าอสูร ทักษะหรือสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขาอาจมีพลังระดับเดียวกันก็ได้ บางทีพวกเขาอาจใช้ทักษะของพวกเขา
ขณะเดียวกันก็จองจำกันและกันไปในตัว
เป็นแค่การสิ้นเปลืองพลังงานและเวลาของพวกเขา
แต่ละคนไม่ยินจะปล่อยกันและกันยาวนานถึงหกพันปี นี่คือสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถจะทำได้
สองคนนี้...
ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนบ้า
ก็คงเป็นพวกหวาดระแวง
“ไม่ว่าจักรพรรดิอวี้จะทรงพลังขนาดไหน
เขาก็ยังต้องตายในที่สุด
ในที่สุดตำหนักกลางของพวกเราก็แข็งแกร่งกว่าอยู่ดี ฟงจู้ ไม่ใช่ว่าข้าพยายามโจมตีเจ้า หอทงเทียนตกต่ำจริงๆ ดูคนเหล่านี้สิ
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมีแต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดล้วนๆ ไม่มีใครเป็นนักสู้ปราณฟ้าเลย
พันปีผ่านไป ไม่มีมนุษย์ผู้ใดในหอทงเทียนเลยที่สามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดปราณก่อกำเนิด
ถ้าเป็นในอดีต เจ้าคิดว่าเป็นไปได้ไหม?”
เป่ยฟงเจียโส่วยังคงดูถูกคนรอบๆ และหัวเราะเสียงดัง
“ข้าไม่เชื่อว่าจักรพรรดิอวี้ตายอย่างเด็ดขาด
เจ้าไม่มีทางเข้าใจ
เขาไร้เทียมทาน”
ฟงจู้ไม่รู้สึกเก้อเขินเลย
เขาดูเหมือนเป็นคนฉลาด
“อย่างนั้นเจ้าคิดว่าคนเหล่านี้ที่มาที่นี่โกหกเจ้าไหม?” เป่ยฟงเจียโส่วย้อนถาม
“เจ้าไม่ควรพูดเรื่องน้ำแข็งละลายแมลงที่ตายในฤดูร้อน
เจ้าไม่เข้าใจว่าการมีพลังไร้เทียมทานนั้นหมายถึงอะไร ไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไปแล้วข้าไม่ปล่อยเจ้าออกไปแน่
ข้าจะไม่ยอมยกโทษให้ขโมยอย่างเจ้าที่ต้องการจะเข้าไปในแดนล่มสลายแห่งทวยเทพแล้วอ้างว่าตนเองเป็นมนุษย์แน่” ฟงจู้หลับตาและตัดสินใจไม่พูดอีกต่อไป
“เจ้าหัวหมูเอ๊ย, ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าออกไปเช่นกัน! กรงเล็บมัจจุราชสายฟ้า...” เป่ยฟงเจียโส่วปล่อยเหยี่ยวเงินสร้างสายฟ้า
“แส้บุปผาโลหิต” ขณะเดียวกัน
ฟงจู้ยังคงเรียกภูตพรายที่ถือแส้สีเลือดออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกัน แส้บุปผาโลหิตและกรงเล็บมัจจุราชสายฟ้าปะทะกันเอง
บึ้ม!
แรงปะทะของแส้บุปผาโลหิตและกรงเล็บมัจจุราชสายฟ้าที่โจมตีกันและกันสร้างคลื่นพลังที่เพียงพอพัดกระแทกนักสู้ระดับต่ำกว่าปราณก่อกำเนิดกระเด็นออกไป
นอกจากราชินีแมงกะพรุนและนาคราชสมุทรเก้าหัวแล้ว
นักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่นถอยออกไปหนึ่งก้าวอย่างช่วยไม่ได้ เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าแกล้งทำเป็นต้านทานคลื่นพลังกระแทกไม่ได้ถอยออกไปสามก้าว
เพื่อปิดบังพลังที่แท้จริงของพวกเขา
ขณะที่ขุนพลปลาดาว
อยู่ในสภาพแย่เหมือนกับว่าเขาไม่สามารถต้านทานพลังได้ถอยออกไปเจ็ดแปดก้าว หน้าตาที่น่าเกลียดของเขามีสีหน้าหวาดกลัว
แค่เพียงคลื่นกระแทกจากอาวุธแส้กับพลังสายฟ้าปะทะกัน
แต่ก็พอผลักดันนักสู้ปราณก่อกำเนิดให้ถอยไปได้
ถ้านักสู้ทั้งสองคนนี้เป็นอิสระ
ในหอทงเทียนใครจะเป็นคู่มือพวกเขาได้?
ขุนพลปลาดาวไม่เข้าใจอะไร
แต่ราชินีแมงกะพรุนเข้าใจชัดมาก
นักสู้ปราณฟ้าสองคนนี้
ถ้าพวกเขาสามารถใช้เป็นประโยชน์ต่อตระเผ่าพันธุ์ทะเล
พวกเขาจะพาเผ่าพันธุ์ทะเลขึ้นสู่จุดสูงสุดได้แน่นอน นอกจากจื้อจุนและคุณชายสามตระกูลเย่ว์แล้ว
ไม่น่าจะมีใครเป็นคู่มือสองคนนี้ได้ ไม่ใช่แม้กระทั่งราชาเฮยอวี้
เนื่องจากพวกเขาถูกจองจำอยู่ที่นี่นานถึงหกพันปี
พวกเขามีเพียงพลังปราณฟ้าระดับสอง
ถ้าพวกเขาปล่อยให้สองคนนี้เป็นอิสระ และฟื้นคืนพลังสุดยอดของพวกเขา ราชินีแมงกะพรุนเชื่อว่าพวกเขาจะมีพลังปราณฟ้าระดับสามและอาจเหนือกว่านั้นได้แน่นอน...
“บังอาจนัก!
เจ้าบังอาจสั่งให้อสูรของเจ้าเฆี่ยนข้าหรือ? ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่! กรงเล็บสายฟ้า!”
“แส้บุปผาโลหิต....”
เย่ว์หยางมองดูพูดไม่ออก
นักสู้ปราณฟ้าต่อหน้าเขาต่อสู้กันเหมือนเด็กทะเลาะกัน
พวกเขายังคงหวดแส้และระดมใช้กรงเล็บตอบโต้กันไปมา
หลังจากสู้กันดุเดือดหนึ่งรอบ
ทั้งสองก็มีตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ
ในที่สุด พวกเขาก็เจ็บปวดมาก ทำได้แต่เพียงหอบหายใจ
นี่กระมังที่เรียกว่าเมโซคิสม์ในตำนาน? (มีความสุขกับการถูกทรมาน)
ต่อให้พวกเขาต้องการต่อสู้กัน
พวกเขาก็ต้องรอให้ร่างกายฟื้นฟูเสียก่อน
ตอนนี้ที่พวกเขาสู้กันอย่างนี้รังแต่จะสร้างความเจ็บปวดทรมานกันเอง
เย่ว์หยางเหงื่อตกเมื่อคิดเช่นนี้
แน่นอนว่าเขารู้ว่าการคาดเดาเช่นนี้เป็นไปไม่ได้
คนที่เป็นเมโซคิสม์มีจิตใจวิปริตไม่สามารถฝึกฝนจนกลายเป็นนักสู้ปราณฟ้าได้แน่
ต้องมีเหตุอย่างหนึ่งที่สองคนนี้ยังคงกักกันคุมขังกันเอง นอกจากนี้เหตุผลต้องไม่ธรรมดา
ไม่ใช่เรื่องที่เขามองเห็นเพียงผิวเผินแน่
ทันใดนั้นเย่ว์หยางมีความคิดอย่างหนึ่ง
ถ้าหลายอย่างไม่เป็นเหมือนอย่างนั้น
ก็ต้องมีความจริงอย่างอื่นซ่อนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
ความจริงนี้ต้องเกี่ยวข้องกับป้อมดาวตกนี้
พวกเขาไม่ได้สำรวจป้อมใหญ่นี้ได้ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
ต้องเป็นความลับที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกภายในแน่นอน!
“ผู้อาวุโสทั้งสองน่าสนใจเป็นพิเศษ
พวกท่านไม่ใช่คนที่ผู้เยาว์หยาบกร้านจะเข้าใจได้ อย่างไรก็ตาม
โปรดให้ผู้เยาว์รู้ด้วยว่าท่านจะมีคำสั่งใดบ้าง”
ความตั้งใจของราชินีแมงกะพรุนไม่ต้องการจะปล่อยเป่ยฟงเจียโส่วและฟงจู้นักรบปราณฟ้าทั้งสองอยู่แล้ว
นางมีเจตนาอย่างอื่นแฝงอยู่
เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้ามองดูกันเองและแอบพยักหน้าให้กัน แน่นอน นอกจากฟงจู้และเป่ยฟงเจียโส่วแล้ว ยังมีนักรบคนที่สามถูกผนึกไว้ในที่นี่
แทนที่จะพูดว่าเป่ยฟงเจียโส่วและฟงจู้ต่างกักขังกันและกัน
ควรจะบอกว่าพวกเขาคุมเชิงกันเองมากกว่า
ทั้งสองคนนี้ยังคงอยู่ที่นี่หลังจากผ่านไปหกพันปี
ดูเหมือนว่าพวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องผนึก
จากตรงนี้ คงเห็นได้ว่านักโทษที่ถูกผนึกไว้จริงๆ ต้องเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งกว่า
นักรบปราณฟ้าสองคนจำเป็นต้องป้องกันคนผู้นี้ไว้
และพวกเขาไม่กล้าจากไปแม้ว่าจะผ่านไปนานหกพันปีแล้ว
เป็นไปได้ไหมว่านั่นคือนักรบที่จักรพรรดิอวี้ได้ผนึกไว้ก่อน?
หรืออาจมีเหตุผลอื่น?
เย่ว์หยางสนใจทันทีเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้
“ข้ารู้,
เจ้าก็เหมือนบรรพบุรุษของเจ้าที่ต้องการปล่อยเจ้าผู้นั้นและยืมพลังของเขา” เป่ยฟงเจียโส่วมองดูราชินีแมงกะพรุนที่คำนับและรอคำสั่งด้วยความเคารพ
หน้าของเขาดูเหมือนจะเย้ยหยันเล็กน้อยขณะกล่าว “แต่ก่อนอื่น
ไม่ต้องพูดว่าพวกเจ้าจะสามารถปล่อยคนผู้นั้นได้หรือไม่ ต่อให้เจ้าสามารถปล่อยได้
เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถควบคุมพลังนั้นได้? มันเป็นพลังที่น่ากลัวที่สร้างปัญหาให้เรานักสู้ปราณฟ้าก็ยังได้ ทันทีที่มันถูกปล่อยออกมา
ข้ากล้าพูดได้เลยว่าทั่วทั้งเผ่าพันธุ์ทะเลจะกลายเป็นอาหารของมัน มันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะหวังได้...”
“กลับไปซะ
ยิ่งพวกเจ้าได้รับพลังดาวตกมาก
พวกเจ้าก็ยิ่งจะสูญเสียความเป็นตัวเองได้ง่าย”
ฟงจู้หลับตาและหยุดพูด
“ตราบใดที่ผู้อาวุโสไม่คัดค้าน โปรดอภัยที่ผู้เยาว์นี้ไม่ประมาณตัวเอง ผู้เยาว์ต้องการทดลองดู” ราชินีแมงกะพรุนคำนับอีกครั้งแล้วเดินถอยหลัง
แล้วกลับมายืนต่อหน้ากลุ่มคน
นางมองดูทุกคนและเย่ว์หยางดูเหมือนจะสามารถจับอารมณ์ได้ว่านางเหมือนกับจะพูดว่า
“ทุกอย่างอยู่ในการคาดคำนวณของข้าแล้ว”
ภายใต้การยอมรับเงียบๆ ของเป่ยฟงเจียโส่วและฟงจู้ ราชินีแมงกะพรุนใช้กระบี่ลากเส้นโค้งเป็นวงกลม
สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจก็คือ
ราชินีแมงกะพรุนรู้วิธีวาดวงเวทรูนสวรรค์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
หลังจากเขียนวงเวทอักษรรูนเสร็จ
ราชินีแมงกะพรุนชูดาบจ้าวสมุทรที่พะยูนนรกทิ้งไว้ให้และปลดปล่อยพลังปราณก่อกำเนิดระดับแปด
ที่ด้านข้างดูเหมือนว่านางจะปลดปล่อยพลังของนางจนถึงระดับสูงสุด อย่างไรก็ตาม
เย่ว์หยางที่มีจักษุญาณทิพย์และนางเซียนหงส์ฟ้าที่แข็งแกร่งกว่าราชินีแมงกะพรุน
ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าราชินีแมงกะพรุนไม่ได้ปลดปล่อยพลังของนางเต็มที่ เมื่อนาคราชสมุทรเก้าหัวเห็นดาบจ้าวสมุทรแล้ว
นัยน์ตาเขาเป็นประกายเล็กน้อย
เย่ว์หยางจับอาการนั้นได้อย่างชัดเจน และเขายิ้มมุมปากเล็กน้อย
หลังจากราชินีแมงกะพรุนโจมตีอย่างรุนแรง
วงเวทอักษรรูนไม่เพียงแต่ไม่ถูกทำลาย
แต่มันกลับฉายแสงสว่าง
รังสีที่ฉายออกมาจากวงเวทอักษรรูนสวรรค์ได้ฉายพุ่งตรงไปถึงยอดโดม
จากนั้นมีเสียงร้องแปลกประหลาดดังออกมาจากภายในโดมที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ดวงดาวทั้งหมดในโดมดับแสงเหมือนไฟทันที
มีแต่เพียงโซ่จันทราบั่นเศียรของเป่ยฟงเจียโส่วที่ยังเปล่งแสงบางส่วน
ในท้องฟ้าเหนือโดม
มีแสงดำนับไม่ถ้วนฉายลงมาข้างล่าง
ในช่วงเวลานี้พื้นข้างล่างยังคงสั่นสะเทือน
พื้นแยกออกเผยให้เห็นบันไดที่จะนำพวกเขาลงไปข้างล่าง ลึกลงไป
เย่ว์หยางประสาทไวและสังเกตได้ว่าบันไดสร้างขึ้นจากหินอัคนี
ต่างจากหินดาวตกที่ถูกใช้สร้างป้อมด้านนอก
นี่หมายความว่าคนที่สามที่ถูกผนึกไว้ได้ถูกผนึกไว้ก่อนที่ป้อมแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้น? คนที่ถูกผนึกไว้คนที่สามนี้ต้องทรงพลังน่ากลัว
คนรุ่นต่อมาจึงได้สร้างป้อมปราการอุกกาบาตปิดทับผนึกไว้อีกชั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป่ยฟงเจียโส่วและฟงจู้นักสู้ปราณฟ้าเมื่อหกพันปีก่อนคอยปกป้องไว้
คำถามสุดท้ายของเย่ว์หยางก็คือ ใครที่สั่งให้นักสู้ปราณฟ้าทั้งสองคนมาคอยปกป้องที่แห่งนี้ไว้
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนตำหนักกลางและจักรพรรดิอวี้ก็มีความเกี่ยวข้องกัน
อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถค้นหาความลับระหว่างตำหนักกลางกับจักรพรรดิอวี้
นักรบที่ถูกผนึกไว้นี้ไม่มีเคยมีชื่อของเขาไว้ในประวัติศาสตร์ เขาเป็นใครกันแน่
นางเซียนหงส์ฟ้าถามเรื่องนี้
แต่เย่ว์หยางไม่ตอบ
เขาเพียงแต่ยิ้มให้นางและแสดงท่าทางมั่นใจ
เย่ว์หยางคิดว่า โชคดีแล้วที่ผนึกในคุกอัคนีเหมือนกับจะเป็นวัสดุอย่างหนึ่ง นี่ก็หมายความว่ามันไม่ค่อยแข็งแกร่งมาก
ถ้าพวกเขาพบนักรบคนหนึ่งที่ต้องถูกผนึกไว้ในมิติหลุมดำอย่างนางพญาเฟ่ยเหวินหลี นั่นคงยุ่งยากแน่
แม้ว่าจะแตกต่างจากหอลงทัณฑ์บ่อเลือด
เย่ว์หยางก็ยังมีเหตุผลเชื่อได้ว่าคนที่ถูกผนึกไว้ในคุกอัคนีก็คือคนประเภทนั้นแน่นอน
อย่างน้อยที่สุด เขาคงเป็นนักรบปราณฟ้าคนหนึ่ง
“พระเจ้า” นาคราชสมุทรเก้าหัวเข้าไปเป็นคนแรกส่งเสียงร้องประหลาดใจ
เหมือนกับว่าฉากภาพต่อหน้าเขาเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าชำเลืองมองกันวูบหนึ่งเตรียมตัวลงบันไดไปดูว่ามีเซียนผู้ทรงพลังคนใดที่ทำให้นักสู้ปราณก่อกำเนิดอย่างนาคราชสมุทรเก้าหัวตกใจได้ อย่างไรก็ตาม
ขณะที่เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าเตรียมตัวลงไปในคุกอัคนี ฟงจู้ที่หลับตาพลันลืมตาและทักทายเย่ว์หยางทันที “เจ้ามาคุยกันตรงนี้สักครู่ได้ไหม? เจ้าน่ะช่างแปลกนัก
ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าเป็นมนุษย์หรือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ทะเล
สุนัขของเจ้าก็น่าสนใจเช่นกัน”
“ความจริงมันคือปลิงทะเล
แต่มองดูเหมือนหมานิดหน่อย”
เย่ว์หยางตอบทำนองนี้
“เมี้ยว เมี้ยว!” ฮุยไท่หลางผงกศีรษะทันที พยายามจะบอกว่ามันคือปลิงทะเลสายพันธุ์แท้
16 ความคิดเห็น:
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณครับ
หมาปลิง หุๆ
ปลิงร้องเมี๊ยวๆ .......
ตลกสุดท้ายจนได้
ขอบคุณมากเลยนะคับ
ปลิงทะเลมันร้อง เมี้ยว เมี้ยว เรอะ?
ขอบคุณครับ
ขอบคุณ ครับ
อ้าวโดนทัก
สนุกมากค่ะ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
Thx
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น