วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ยอดยุทธไร้เทียมทาน ตอนที่ 304 เคลื่อนกำลัง

ตอนที่  304  เคลื่อนกำลัง

หลิงซิ่วเช็ดน้ำยาบนร่างกาย และเริ่มพันตัวอย่างระมัดระวัง
เขาตั้งใจและพิถีพิถันมาก

เขาไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงกับศึกใหญ่ที่จะมาถึง  แต่เขารู้สึกเต็มไปด้วยความคาดหวังและตื่นเต้น  ทุกครั้งที่เขาต่อสู้อย่างห้าวหาญดุดัน  เขามักจะรู้แจ้งที่แตกต่างกัน  และรู้สึกถึงการเผาผลาญมากมายของชีวิตเขาทำให้เขามึนเมาหลงใหลลึกๆ
เขาอาจจะตายในการต่อสู้สักวัน
หลิงซิ่วหัวเราะให้กับตัวเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าต้องทำความปรารถนาของข้าให้สำเร็จเสียก่อน
เขาสวมชุดยาวขาวขลิบทอง ซึ่งเขาไม่รู้ว่าทำจากวัสดุอะไร  แต่มันแข็งแรงและสะดวกสบาย และไม่ส่งผลใดๆ ต่อการต่อสู้  แม้ว่าเขาจะใส่มานานหลายปีแล้ว  แต่ก็ยังดูดีเหมือนใหม่  เขาใส่หินดวงดาวระดับเจ็ดให้นกฟลามิงโก สำหรับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้น หินดวงดาวราคาแพงทั้งหมดจำเป็นต้องใช้
นี่เป็นครั้งแรกที่ฟลามิงโกใช้หินดวงดาวระดับเจ็ด
หือ?
เปลวเพลิงสีแดงเจิดจ้าเปล่งออกมาจากภายในนกฟลามิงโก  พลังเผาไหม้รุนแรง ในช่วงเวลาถัดมา เปลวเพลิงลุกโหมจนบดบังทัศนวิสัยของหลิงซิ่ว  เปลวเพลิงค่อยมอดลงช้าๆ และเพลิงสีแดงสว่างค่อยๆ มอดกลายเป็นความเย็น  ตาของนกฟลามิงโกเป็นสีแดงเข้ม ปรากฏเป็นเพลิงหนาแน่น
หลิงซิ่วรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นจากฟลามิงโก
ฝ่ามือสีเงินของเขาลูบหลังของฟลามิงโกเบาๆ “ฮะฮะ เจ้าก็ตื่นเต้นเหมือนกันหรือ?”
ฟลามิงโกใช้ตาแดงเข้มของมันจ้องดูหลิงซิ่ว ทันใดนั้นมันหันมาเอาหัวเสียดสีกับแขนหลิงซิ่ว
หลิงซิ่วลูบมันและหัวเราะลั่นด้วยความห้าวหาญ “หลังจากศึกนี้ เจ้าอาจต้องยกเครื่องขนานใหญ่  เป็นยังไง?  เจ้ากลัวไหม?”
ฟลามิงโกมองดูหลิงซิ่วด้วยท่าทีดูถูก
หลิงซิ่วหัวเราะและพลิกตัวนั่งลงบนหลังฟลามิงโก กวัดแกว่งหอกเงินวิ่งออกมานอกประตู
อาเฮ่อนั่งเงียบอยู่ในห้องตนเอง  ไม่มีแสงใดๆ ห้องมืดสนิท  เขาค่อยๆ ลืมตา ความสงบใจเย็นอยู่ในดวงตาของเขา  เหมือนกับคนโบราณผู้ไม่หวั่นไหว มีความสงบที่ไม่อาจบรรยายได้
อาเฮ่ออยู่ในท่านั้นมาสามวันแล้ว
ทุกๆ รายละเอียดที่ต่อสู้กับอูเถี่ยหวี่ ถูกฉายซ้ำในใจของเขาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังแยกแยะหาข้อสรุปแยกย่อย
สำหรับเขาการฆ่าอูเถี่ยหวี่เป็นงานที่เสี่ยงและอันตราย  อูเถี่ยหวี่ประมาทกระบี่กระเรียนในมือเขา  เมื่อคลื่นหมีปฐพีถูกปราบโดยกระบี่กระเรียน  หน้าของอูเถี่ยหวี่เต็มไปด้วยความผิดหวัง  ในช่วงการฝึกฝนไม่กี่วันนี้ เขายังคงทบทวนทุกฉากภาพการต่อสู้  เขาได้รับประโยชน์มากกว่าที่เขาคิด
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ เหตุผลที่คนในวิถีนักสู้ถึงได้หวงแหนทุกลมหายใจที่เสี่ยงอันตรายและยังคงค้นหาการท้าทายและการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง  เพราะมีเพียงระหว่างความเป็นความตายเท่านั้นจึงจะทำให้ศักยภาพที่แท้จริงของคนระเบิดออกมา  และมีเพียงการตั้งใจสู้ที่แท้จริงสามารถทำให้พวกเขาค้นหาตัวเองว่าพวกเขาแข็งแกร่งพอหรือไม่
ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ ไม่สามารถบรรลุได้จากการฝึกฝนและคิดเอาเองประจำวัน
เมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต  เขาเป็นเหมือนกบในกะลาอย่างแท้จริง  เพียงคิดแต่ว่าเมื่อได้รับพลังงานร่างกระเรียนแล้ว เขาจะมีทางอื่นให้เดินสามารถฝึกฝนได้ไม่รู้จบ  เขาจะไปถึงจุดสุดยอดเหมือนอย่างบรรพบุรุษของเขา  ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความคิดของเขาไร้เดียงสา  ถ้าไม่ใช่เพราะเซ็นสัญญาจิตวิญญาณยุทธกับถึงเทียน  เขาคงไม่มีทางมาถึงระดับวันนี้แน่นอน
การได้ติดตามอยู่ข้างถังเทียน  ถ้าเขาไม่เริ่มอดทนแรงกดดันขนาดใหญ่  ความก้าวหน้าที่น่าทึ่งจนปากอ้าค้าง คงทำให้อัจฉริยะผู้มีความภูมิใจทุกอย่างถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง  เขารู้สึกเหมือนอย่างนั้น  หลิงซิ่วก็รู้สึกเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องได้กำลังใจของคนอื่น  ทั้งสองไม่กล้าเสียเวลายังคงฝึกต่อเนื่องอย่างสุดกำลัง
ถ้าไม่ใช่เพราะถังเทียน  อาเฮ่อรู้ว่าเขาคงไม่มีทางฝึกอย่างหนักหน่วงแน่
เมื่อคิดถึงเวลาเมื่อเขายังอยู่ในสำนัก  เขาเป็นคนที่ฝึกฝนหนักที่สุดแล้ว  ถ้าเขากลับไปสำนักเพื่อเรียนพลังร่างกระเรียน เขาก็คงเป็นกบเหมือนเดิมตลอดไป
การผ่านการต่อสู้ก็เหมือนกับผ่านหินลับมีดต่างๆ  คอยลับกระบี่ของเขาให้คมขึ้น
เมื่อคิดว่าปรมาจารย์ของเขารุ่นก่อนทิ้งตำราไว้ให้  เขาสามารถเข้าใจได้ว่า  ทำไมบรรพบุรุษถึงได้เดินทางไม่รู้จบเมื่ออายุยังน้อย จากฟากตะวันออกไกลโพ้นมาจนถึงที่นี่  การเดินทางที่ยาวนานทำให้บรรพบุรุษของเขาเติบโตขึ้นและทิ้งความหวังของท่านไว้ให้คนรุ่นหลัง
เขาอดคิดถึงถังเทียนไม่ได้  และอดยิ้มให้ไม่ได้
เขาเป็นสหายที่งี่เง่าคนหนึ่ง
แต่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาไม่รู้สึกเดียวดาย ไม่รู้สึกกลัวและหลังจากนั้น... ได้ติดตามเขาทำเรื่องราวงี่เง่า เมื่อคิดดูแล้ว อาเฮ่อผู้มีอุปนิสัยใจเย็นอยากจะตบหน้าตัวเองจริงๆ
เอาล่ะ การคิดถึงเรื่องงี่เง่าก่อนหน้านี้ก่อนต่อสู้ จะส่งผลต่อกำลังใจได้
ใบหน้าของเขากลับคืนสู่ความสงบตามปกติของเขา
มือของเขายังถือกระบี่กระเรียนซึ่งวางราบอยู่บนเข่าเขา  ฝักกระบี่เป็นไม้เรียบง่ายไม่มีเครื่องหมายใดๆ มีแต่เพียงเครื่องหมายของเวลา  ไม่มีใครคิดเลยว่าภายในฝักกระบี่ไม้เรียบง่ายความจริงเป็นกระบี่เซียนระดับทอง
สำนักกระเรียนฟ้าตกต่ำมานานมากแล้ว
ดวงตาของเขาแจ่มชัดเป็นประกายเจิดจ้า
ในความมืด ปราณรอบตัวเขาระเบิดออกทันทีทำให้ลมกระจายไปทั่วทุกแห่งผมยาวสีดำของเขาพัดพริ้ว และกระดานไม้ระเบิดออก
เขาลุกขึ้นยืน
ค่ายฝึกทหารใหม่
ถังเทียนใช้พลังกระโดดไปรอบๆ  เขามีความสุขมาก  “ฮ่าฮ่าฮ่า  วันนี้ข้ามีพลังเหลือเฟือเลยทีเดียว!  เราต้องเอาชนะพวกเขาให้หมด!
ศีรษะฟงโฉ่วยังคงลอยอยู่ตรงนั้น  เขาสงสัย  “เสี่ยวถัง, เจ้าไม่ต้องสวมแว่นตาแล้วหรือ?”
 “ไม่ต้อง”  ถังเทียนยิ้มและหันศีรษะมา  “ดูสิ, มันจางลงแล้ว!  หึหึ  สองสามวันที่ผ่านมานี้ข้าเรียนรู้สำเร็จจนได้และรู้วิธีควบคุมตาเหล่านี้”
 “จริงหรือนี่? เอ่, จริงด้วย, มันจางลงแล้ว”  ฟงโฉ่วตกใจ  ตาแดงตาน้ำเงินของถังเทียนจางลงจริงๆ  ถ้าเขาไม่สนใจสังเกตตรงๆ เขาคงบอกไม่ได้
อาการตกใจของฟงโฉ่วทำให้ถังเทียนมีความสุขมากขึ้น  “หึหึ, หนุ่มชาวฟ้าแข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่แล้ว”
จากนั้นเขาทำท่าลึกลับทันที  “นอกจากนี้ ข้ายังมีการค้นพบที่ทรงพลังมากๆ”
 “ค้นพบอะไร?”  ฟงโฉ่วตะลึง
 “หึหึ, ยังบอกไม่ได้”  ถังเทียนส่ายหัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ข้าตั้งใจจะใช้สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่”
 “ยา ย้า ย้า ย้า!
ถังเทียนก้มหัวลง หยาหยากำลังจับขากางเกงเขาและลืมตากลมโต  เบื้องหลังมันตามมาด้วยแพะภูเขาบรอนซ์ เต่าบรอนซ์และกระรอกบรอนซ์
หยาหยามีความเปลี่ยนแปลงไปมาก  เกราะบนตัวของมันมีความสว่างสดใส กับธนูเล็กบนหลังของมัน ที่บั้นท้ายของมันมีธงเล็กที่มีหมอกคลุมเครือมองดูไม่ชัด
อสูรหุ่นกลทั้งสามได้รับบาดเจ็บมาต่างๆ กันเมื่อครั้งล่าสุด  และเซรีนจัดการสร้างปรับแต่งใหม่จนแข็งแกร่งกว่าเดิม  เซรีนจอมเฮียบตอนนี้มั่งคั่งขึ้นมากและตัดสินใจสร้างให้อสูรทั้งสามมีความสามารถมากยิ่งขึ้น จึงสร้างมันขึ้นเป็นหุ่นกลระดับสูงล้ำ
เมื่อถึงตอนนี้นางมีวิชาจักรกลก้าวหน้ามากมายและเอามาใช้ในร่างหุ่นกลพวกนี้  เซรีนสร้างอย่างประณีตตามนิสัยของนาง  หลังจากนางสร้างเสร็จแล้ว  นางก็โยนพวกมันไว้ข้างๆ ไม่มีเวลามายุ่งกับพวกมันอีก  ดังนั้นเจ้าสามตัวนี้จึงติดตามหยาหยา
หยาหยาทำหน้าตาน่าสงสารพลางชี้มือชี้ไม้ของมัน
 “เจ้าก็ต้องการสู้ด้วยเหรอ?”  ถังเทียนนั่งยองๆ จ้องมองด้วยความประหลาดใจ
หยาหยาเชิดหัวขนาดเท่าหัวไก่ของมันยืดอกและทำท่าทางดูเข้มแข็ง และสหายทั้งสามของมันก็ยืนเข้าแถวด้วยกัน ทั้งหมดเชิดหัวตรง
ถังเทียนส่ายศีรษะ  “ครั้งนี้ศัตรูแข็งแกร่งมากเกินไป  พวกเจ้าเล่นอยู่ในนี้ดีกว่า”
หยาหยาเริ่มน้ำตาคลอเบ้า
ถังเทียนกระทืบเท้า  แต่เมื่อคิดถึงความยากลำบากของการต่อสู้ที่จะมาถึง  เขาไม่มีเวลาดูแลพวกมัน  เขาใจแข็งและสั่นศีรษะยืนยัน  “ไม่มีทาง  พวกเจ้าอยู่ในนี้ก็ดีแล้ว”
หยาหยาเริ่มตัวสั่นและร้องไห้น้ำตาร่วง
ถังเทียนไม่ต้องการเห็นมันอีกต่อไป จึงตัดสินใจหลบออกมา
 “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!  เจ้าพวกสวะตัวน้อยต้องการจะร่วมต่อสู้ด้วย อย่าทำให้คนเสียหน้าเลยน่า  พวกเจ้ายังอ่อนแอเกินไป พวกเจ้าออกไปก็มีแต่จะถูกฆ่า” ม่านควันเยาะเย้ย
หยาหยาหันควั่บ  น้ำตาของมันเหือดแห้งทันที และรังสีฆ่าฟันปรากฏ
สหายทั้งสามที่อยู่ด้านหลังของมันก็หันหัวมาจ้องมองควัน
ม่านควันนั้นไม่สนใจพวกมัน และยิ้มอย่างมีความสุข  “จะจ้องหน้าข้าทำอะไร?  พวกเจ้าอยู่ที่นี่ดีกว่า  จะได้ไม่ขวางมือขวางเท้าคนที่เหลือ  เจ้าพวกของเด็กเล่น  สนามรบไม่ใช่สถานที่ของพวกเจ้า”
ดวงตาของหยาหยากระพริบวูบวาบ  ฮูลา.. มันพาสหายทั้งสามเข้ามาล้อมม่านควัน
 “ฮึ่ม,  พวกเจ้าต้องการลงมือกับข้าหรือ?  หลงตัวเองเสียจริงนะ”  ม่านควันคำราม
หยาหยาโกรธจนดวงตาน้อยๆ ของมันเหมือนกับสัตว์ป่า  มันคือตัวอ่อนขุนพลวิญญาณที่มีพลังระดับต่ำสุด  หลังจากได้รับการบำรุงอย่างต่อเนื่องมันรู้สึกว่าร่างของมันไม่เหมือนกับในอดีต แต่ในเวลานี้มันลืมทุกอย่าง สัญชาตญาณครอบงำเหนือร่างมัน
มันใช้วิธีที่มันเคยทำในอดีต อ้าปากและเริ่มดูดควันดำอย่างสุดกำลัง
สหายมันอีกตัวตะลึง
ม่านควันนั้นแค่นเสียงสะใจ “อย่าเสียพลังงานของเจ้าเลย  ตัวอ่อนขุนพลวิญญาณ ถ้าข้าไม่ถูกผนึกไว้  จะฆ่าเจ้าได้ก็เหมือนบี้มดตัวหนึ่ง”
หยาหยาไม่สนใจม่านควัน มันยังคงดูดอย่างต่อเนื่อง
แต่ม่านควันดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการดูดของมันไม่มีอาการสนองตอบ  นี่ทำให้หยาหยายิ่งโกรธมากขึ้นและวิ่งเข้าหาม่านควัน
 “...เจ้า”
เสียงพึมพำด้วยความโกรธดังออกมาจากม่านควันนั้น
ฟงโฉ่วและหุ่นกลอีกสามตะลึงไปหมด
ถังเทียนไม่รู้ว่าการปฏิเสธหยาหยา จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนั้น  ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่การศึกที่กำลังจะเริ่มต้น
เขาเดินออกมานอกห้องและก็ต้องตระหนักว่าทุกคนรอเขาอยู่แล้ว เขาหัวเราะทันที “ฮ่าฮ่าฮ่า ทุกคนไวกันดีแท้”
ไม่มีใครหัวเราะ ไม่มีใครพูด  ทั่วทั้งเผ่ารู้สึกถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้  ทุกคนในเผ่าออกมาจากบ้าน กล่าวคำอำลาเพื่อสนับสนุนกองทัพ
พวกเขาเข้าใจชัดมาก  สงครามที่ถังเทียนและพวกจะเข้าไปเผชิญ
สถานะของหกองครักษ์ตระกูลถูแพร่กระจายอยู่ในกลุ่มดาวหมาป่านานแล้ว
พวกเขาทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดและดูจริงจัง ในหัวใจของพวกเขา  หกองครักษ์ตระกูลถูคือนักสู้ที่ทรงพลังสูงส่ง  ต่อให้เป็นกลุ่มอิทธิพลทั้งสามของกลุ่มดาวหมาป่ายังกลายเป็นเด็กน้อยเมื่อเทียบกับหกองครักษ์ตระกูลถู
ในกองทัพ หลายคนเป็นลูกและสามี และในกลุ่มผู้คนก็เริ่มร้องไห้
ทหารบางคนตาแดง  เพราะพวกเขารู้ว่าโอกาสชนะของพวกเขาเลือนลางจริงๆ
แต่ในเวลาอันรวดเร็ว ผู้อาวุโสของเผ่าก็เริ่มตะโกนให้กำลังใจ
บุรุษทุกคนที่มาจากทะเลทราย ล้วนคุ้นเคยกับสงครามและการรบ  ถ้าพวกเขาชนะศึกนี้ ก็หมายความว่าพวกเขาชนะทุกอย่าง
กำลังใจของกองทัพไม่ได้ตก  แต่เริ่มเพิ่มขึ้น
ปิงประหลาดใจ เขาเริ่มคิด
นั่นคือชาติพันธุ์นักรบที่น่าสนใจ...
 

2 ความคิดเห็น:

B กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

windwolf กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น