วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ยอดยุทธไร้เทียมทาน ตอนที่ 371 คำแนะนำของถังโฉ่ว



ตอนที่  371  คำแนะนำของถังโฉ่ว
ถังเทียนใช้มือลูบคลำใบหน้าที่ปูดบวมเต็มไปด้วยรอยเท้าด้วยความรู้สึกตกใจ  เป็นภาพที่ดูตลกจนพูดไม่ออก  ด้านข้างเขาหลิงซิ่วและอาเฮ่อมีสีหน้าขรึมดูปลอดโปร่ง

 “นี่ใครทำ?”  หลิงซิ่วอดถามไม่ได้  เขากวาดสายตาไปที่ซากอสูรดวงดาว และรู้สึกแต่เพียงบรรยากาศที่หนาวสะท้าน
ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาเป็นซากศพจำนวนมากยาวเหยียด
อาเฮ่อแตะเลือดบนพื้นและพูดอย่างเคร่งขรึม  “พวกมันตายมาราวๆ สองสัปดาห์”
 “สองสัปดาห์?”  ถังเทียนชูนิ้วและนับเงียบๆ ชั่วขณะ  จากนั้นพูดอย่างประหลาดใจ “เฮ้, นั่นเป็นช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ในช่วงนั่งฝึกพลัง  มิน่าเล่าเราถึงไม่รู้สึกอะไร  ถ้าข้าตื่นขึ้น  ข้าคงได้ไล่จับเขาแน่”
 “แค่เพียงเจ้าน่ะหรือ?”  หลิงซิ่วมองเขาอย่างรังเกียจ  แต่เมื่อเห็นหน้าบวมเหมือนหมูของถังเทียน  เขารู้สึกสะใจมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถังเทียนไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง  หลิงซิ่วเกือบเผลอตัวหัวเราะสองสามครั้ง  เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น  เขาต้องชื่นชมอาเฮ่อ เจ้าคนหน้ามึนนั่น สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ข้าต้องระมัดระวังเขาไว้   เขาดูสง่างาม แต่ท้องของเขาเต็มไปด้วยของสกปรก  บางทีอาจใจดำอีกด้วย...”
หลิงซิ่วคิดอยู่เงียบๆ ขณะที่มองดูทั้งสองคน
 “ใช่แล้ว! จะเล็ดรอดผ่านหนุ่มน้อยชาวฟ้านี้ได้  นั่นคงต้องมีความปรารถนาแรงกล้าจริง”  ถังเทียนแหงนหน้า สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภูมิใจในตนเอง
หลิงซิ่วไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาหลบไปอยู่ข้างๆ ขณะกุมท้องหัวเราะลั่น
อาเฮ่อกระแอมเบาๆ พยายามดึงความสนใจถังเทียน  “เฮ้, เจ้าพลาดจุดสำคัญของเรื่องไปนะ  คนผู้นั้นเป็นใคร?  เขาเข้ามาเมื่อไหร่? วัตถุประสงค์ของเขาคืออะไร?”
เป็นไปตามคาด คนผู้นั้นไม่กลัวคู่ต่อสู้หนุ่มชาวฟ้า  แต่กลัวสหายที่เหมือนหมูมากกว่า  “ต่อไปข้าต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าต้องแกล้งใครพร้อมกับหลิงซิ่ว”
เรื่องเดียวที่นับว่ายังโชคดีก็คือระดับปัญญาของหนุ่มชาวฟ้าและหลิงซิ่วถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน....
แค่ก แค่ก แค่ก เป็นอะไรไป  ตอนนี้ความสนใจของข้าควรจะอยู่ที่ยอดฝีมือลึกลับ  ไม่ใช่ถูกเจ้าปัญญาอ่อนทั้งสองคนก่อกวน
จากนั้นอาเฮ่อเริ่มไตร่ตรอง  แต่ความคิดของเขาถูกเสียงตะโกนของถังเทียนขัดจังหวะ
 “หวาๆๆ! แก่นพลังวิญญาณตั้งมากมาย! ที่นี่ก็มี  นี่ก็มีด้วย  พวกมันเป็นอสูรดวงดาวระดับแปดทั้งนั้น  ของพวกนี้มีค่ามาก”
แก่นพลังวิญญาณ?
อาเฮ่อสะดุ้ง และเริ่มไตร่ตรอง  “คนผู้นั้นไม่เอาแก่นพลังวิญญาณไปเลย ซึ่งก็หมายความว่าไม่สนใจเรื่องเงิน  เขาไม่ได้ทำร้ายเรา หมายความว่าไม่มีความเป็นปฏิปักษ์กับเรา  ความคิดของเขาละเอียดรอบคอบ ตัดสินจากซากศพที่ล้ม  เขาสามารถบอกได้ว่าคนผู้นั้นเข้ามาจากกลุ่มดาวหมาป่า
อสูรดวงดาวระดับแปดค่อนข้างมีปัญญา  เมื่อพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่ามาก  พวกมันคงแตกกระจายและถอยหนีแน่นอน
กวาดสายตามองไปทางน้ำท้ายๆ ไม่มีอสูรที่มีชีวิตให้เห็นสักตัว
ภาพเหตุการณ์ที่เห็นต่อหน้า  มีความเป็นไปได้สองประการ
ความเป็นไปได้ประการแรก  คนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งมาก สังหารอสูรดวงดาวระดับแปดหรือเก้าได้เหมือนกับเป่าฝุ่น
ประการที่สอง นิสัยของคนผู้นั้นโหดเหี้ยมและดุร้าย เมื่อเริ่มฆ่าเขาจะต้องฆ่าให้หมด
สีหน้าของอาเฮ่อเคร่งเครียด ไม่ว่าจะมีความเป็นไปได้แบบไหนก็ตาม  ทั้งสองอย่างล้วนน่ากลัวทั้งนั้น  สังหารอสูรดวงดาวระดับแปดหรือเก้าเหมือนกับตัดหญ้า นั่นต้องแข็งแกร่งมากจริงๆ  และต่อให้พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันก็คงไม่ใช่คู่มือของเขาแน่  และถ้าเขาเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต  คนฟั่นเฟือนแบบนั้นคงไม่มีใครต้องการยุ่งเกี่ยวกับเขา
แต่เป็นเรื่องดีที่เขาไม่มีความเป็นศัตรูกับพวกเขา  ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาคงตายไปนานแล้ว
ใจของอาเฮ่อสงบลง
ทันใดนั้น ถังเทียนพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ไม่ เราจะปล่อยให้เสียไปเปล่าๆ ไม่ได้”
ทั้งสองคนมองดูเขาพร้อมกัน ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
 “แก่นพลังวิญญาณสามารถขายทำเงินได้มาก  ซากของอสูรดวงดาวคือสมบัติทั้งนั้นและมีซากศพของพวกมันตั้งมากมาย  ข้าสงสัยว่าจะขายทำเงินได้มากมายเพียงไหน?”  ถังเทียนกล่าว
อาเฮ่อมีสีหน้าละอาย  “อย่างนั้นเราจะทำยังไง?”
ถังเทียนคล้ายตักตวงทุกอย่างเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขา  “เราจะเก็บไปทั้งหมด”
 “กะ..เก็บไปทั้งหมด?”  อาเฮ่อมองดูซากนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทางเดิน หลั่งเหงื่อจากหน้าผากไม่ขาดสาย  “มีมากมายเกินไป เราจะขนไปยังไงไหว?”
 “ข้ามีตู้อควาเรียสอยู่หลายใบ”  ถังเทียนล้วงตู้อควาเรียสออกมาจากตัว...
ทั้งหมดนั้นเป็นสินสงครามของเขา และมันมีความโดดเด่นอย่างแท้จริง  เขาล้วงออกมาทั้งหมดกองเป็นภูเขาย่อมๆ
อาเฮ่อและหลิงซิ่วอดหัวเราะไม่ได้
สิบวันต่อมา
เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากทางน้ำ  หน้าของพวกเขาซีดขาว  ดูเหมือนว่าแทบจะทรุดตัวลงทันที  แต่ละคนถือตู้อควาเรียสเงินหลายใบ  ทั้งหมดฉายแสงสีเงินสว่างแพรวพราว
ตู้อควาเรียสเงินสามารถบรรจุของได้มากมายหลายอย่าง และช่วยลดน้ำหนักได้อีกมาก แต่ไม่มากไปกว่าน้ำหนักของมันเอง  ตู้อควาเรียสเงินทั้งหมดถูกยัดสัมภาระไว้เต็ม และยังต้องขนไปด้วยกัน จึงมีน้ำหนักที่มาก
หลิงซิ่วและอาเฮ่อแทบจะทรุดล้มลงเพราะความเหนื่อยล้า  ทั้งสองคนไม่เหลือเรี่ยวแรงในร่างกายต่อไป  อาเฮ่อฝึกวิชากระบี่ชั้นสูง  เขาไม่เคยใช้แรงงานหนักมาก่อน  วิชาหอกของหลิงซิ่วน่ากลัวแต่ต้องอาศัยพลังนิ้วของเขา
ตู้อควาเรียสเงินแต่ละใบมีซากอสูรดวงดาวเกินกว่าร้อย
ตู้อควาเรียสทั้งหมดที่ถังเทียนมีเป็นของคุณภาพดีที่สุด และด้วยตู้อควาเรียสนี้เอง น้ำหนักจึงมีเพียงหนึ่งในสิบของน้ำหนักเดิม  ตู้อควาเรียสเงินทุกใบรับน้ำหนักอสูรดวงดาวเพิ่มได้สิบตัว  อาเฮ่อแบกตู้อควาเรียสสิบเอ็ดใบ ขณะที่หลิงซิ่วแบกสิบสามใบ
สำหรับพวกเขาที่แบกซากอสูรดวงดาวเกินร้อยตัวเป็นเวลากว่าสิบวัน  จะทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าเพียงไหน?
แต่ทั้งสองคนละอายเกินกว่าจะบอกว่าพวกเขาเหนื่อย หรือพูดเช่นนั้นเป็นเรื่องขมขื่น เพราะถังเทียนเองก็แบกตู้อควาเรียสถึงสามสิบสองใบ มากกว่าทั้งสองคนรวมกันเสียอีก  ทั้งสองคนมีความหยิ่งภาคภูมิใจ  ดังนั้นพวกเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร?  พวกเขาได้แต่เพียงเก็บลิ้นทนกล้ำกลืนให้ถังเทียนบ่นด่าว่าพวกเขาว่าช้าเหมือนเต่า และพูดว่ามีแต่อาโมรี่ที่มีกำลังดีกว่า  เขาสามารถแบกทุกอย่างด้วยตัวเองได้
นักรบคนหนึ่งฆ่าได้หยามไม่ได้!  ทั้งสองคนดึงพลังของตนออกมาใช้จนถึงที่สุด
เมื่อทั้งสองคนเห็นแสงส่องมาจากปากทางออกด้านหน้า  พวกเขาดีใจ
ทางน้ำจี้ชิวถูกผนึกมาเกินร้อยปี และซากอสูรดวงดาวทั้งหมดถูกพวกเขารวบรวมไว้ไม่ขาดไปสักตัว
เมื่อออกจากทางเข้า หลิงซิ่วและอาเฮ่อไม่สามารถทนได้อีกต่อไป  พวกเขาโยนตู้อควาเรียสเงินลงบนพื้นแล้วรีบนอนแผ่ทันที แม้แต่อาเฮ่อที่ระมัดระวังมารยาทตัวเองก็ยังไม่สนใจว่าพื้นจะนิ่มนวลหรือไม่
ถังเทียนก็เหนื่อยจัดเช่นกัน  ตู้อควาเรียสสามสิบสองใบก็เหมือนซากอสูรภูตดวงดาวสามร้อยตัวที่กองเป็นภูเขาเนื้อ  แม้ว่าเขามีความแข็งแรงโดยธรรมชาติ แต่มันก็ยังส่งผลต่อเขาอยู่ดี
แต่เขาไม่ได้หลบ นี่คือพื้นที่ต่างถิ่นและพวกเขาจำเป็นต้องมีคนยืนคุ้มกัน  เขานั่งขัดสมาธิและกระตุ้นปราณแท้ของเขาช้าๆ
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง  เขาลืมตาที่เต็มไปด้วยความยินดี สิบวันของการใช้แรงงานใช่ว่าไม่ได้อะไร  เนื้อหนังของเขาแข็งแรงขึ้น เพลิงดำมิติว่างและหัวใจน้ำแข็งฟ้าซึ่งมีทั้งความร้อนและเย็นช่วยให้กล้ามเนื้อของเขามีความยืดหยุ่นเหมือนกับเชือกเหล็กสลิง
พลังของเขาเพิ่มขึ้นทีละนิด
เขาไม่คิดเลยว่าเพลิงดำมิติว่าและหัวใจน้ำแข็งฟ้าจะใช้ประโยชน์อย่างนั้น
ถังเทียนมีความสุข ร่างกายที่ฝึกฝนคืออาวุธที่ดีที่สุด  ยอดฝีมือองค์การวิญญาณมืด มีร่างกายแข็งแรงจนถึงระดับสูงสุดซึ่งแม้แต่ดาบกระบี่ก็ยังทำร้ายพวกเขาไม่ได้  พวกเขาไม่ต้องใช้วิชาตัวเบาและมีความเร็วมากอยู่แล้ว  นั่นเป็นเพราะการระเบิดพลังที่น่ากลัวของเลือดเนื้อและกล้ามเนื้อของพวกเขา
ถังเทียนไม่ได้คาดว่าจะมีร่างที่แข็งแกร่งน่ากลัวอย่างนั้น  แต่ร่างกายที่แข็งแรง สำหรับนักสู้ระยะประชิดนั้นมีประโยชน์มาก
ท้องฟ้ามืดมิด เมื่อเห็นอีกสองคนหลับอย่างสบาย  ความรู้สึกอบอุ่นเพิ่มขึ้นในดวงตาของถังเทียน
ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน  ทุกคนก็จะอยู่ที่นั่นกับเขา
สงสัยจริงว่าลุงปิงกับพวกที่เหลือกำลังทำอะไรกัน
**********************

 “หัวข้อหลักของชั้นเรียนนี้ที่จะพูดก็คือวิธีพัฒนาวิทยายุทธให้มีอิทธิพลต่อสนามรบ  ประการแรก ข้าจำเป็นต้องประกาศว่า ข้ามีความเชี่ยวชาญเรื่องสงครามและการรบยุคเก่าโบราณ  ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยมีความรู้ในการเรียนการค้นคว้ารูปแบบการต่อสู้ของยุคปัจจุบัน  ถ้าผิดพลาดประการใด  เชิญบอกข้าได้ตามตรง  ถ้าอย่างนั้น เรามาดูกัน ขั้นตอนพัฒนาวิทยายุทธที่มีผล และความเกี่ยวข้องของขั้นตอนวิทยายุทธ และสิ่งที่มีอิทธิพลซึ่งพวกเขาสามารถนำมาใช้ได้ในแง่สงคราม”
บนเวที ถังโฉ่วจัดการเรียนอย่างเป็นระบบ และนักเรียนข้างล่างจะฟังอย่างตั้งใจ พวกเขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย เพราะอาจารย์ผู้สอนเป็นขุนพลวิญญาณผู้นำทหาร  หลังจากสอนไปสองสามชั้น พวกเขาให้ความเคารพอาจารย์ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารเป็นอย่างสูง
ปิงอยู่ข้างนอกมองดูอยู่เงียบๆ  หัวใจเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ตื้นตัน  ถังโฉ่วและฟงโฉ่วแตกต่างกันอย่างมากมาย  แต่มีลักษณะหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือทั้งสองนั้นพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน และนั่นก็คือความจริงจังของพวกเขา
ปิงไม่ได้เป็นคนจัดชั้นเรียน  แต่เป็นถังโฉ่ว และเหตุผลของเขาถูกต้อง  ความสงบในคนรุ่นปัจจุบันมีมานานเกินไป  และนักเรียนอาจมีพลังที่มั่นคง  แต่ความเข้าใจของเขาในเรื่องสนามรบเป็นศูนย์
สำหรับกองทัพหนึ่งๆ นั่นเป็นเรื่องน่ากลัวมาก
ปิงเห็นด้วยกับคำแนะนำของถังโฉ่ว  และตัดสินใจมันจะเป็นรูปแบบเบื้องต้นของสถาบันนายทหารขนาดเล็ก   ถ้าเป็นในอดีต  ความคิดเอานายทหารระดับประทวนมารับหน้าที่อาจารย์สอนเป็นความคิดที่คาดไม่ถึง
แต่ปิงรู้สึกว่าถังโฉ่วทำได้ดี  บุคลิกของถังโฉ่วอดทนและไม่ชักช้า แต่จะดำเนินการเพื่อประโยชน์ของนักเรียนของเขาอย่างจริงจังและฉลาดมากกว่าถังอี้
การเรียนการสอนจบอย่างรวดเร็ว  นักเรียนทุกคนออกจากห้อง  พวกเขายังคงมีหัวข้อฝึกอีกมาก
เมื่อเห็นปิง ถังโฉ่วทักทายทันที “ใต้เท้า!
ปิงรั้งสายตากลับจากนักเรียนซึ่งดูมีชีวิตชีวาและหันมาทักทายกลับ “ผลเป็นยังไงบ้าง?”
 “ปัจจุบันนี้ดูดีขอรับ  แต่จะทดสอบผลการฝึกจริงๆ  เราจำเป็นต้องทดสอบพวกเขาผ่านการรบที่เหมาะสม”  ถังโฉ่วรอบคอบมาก
ปิงเงียบชั่วครู่ จากนั้นตอบ  “พวกเขาไม่ใช่แกนกลางของกองทัพ  เจ้าไม่ต้องทำมากขนาดนั้นก็ได้”
ถังโฉ่วเงียบไปชั่วขณะ  จากนั้นตอบ “ข้าน้อยทราบดี ตำแหน่งในอนาคตของพวกเขาเป็นเรื่องที่ใต้เท้าจะต้องคิด    สิ่งที่ข้าน้อยต้องพิจารณาก็คือ ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด
ปิงผงกศีรษะ  จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อ  “กองกำลังเหล่านี้ต้องใช้เวลานานเท่าใด?”
 “ประมาณครึ่งปีขอรับ ที่พวกเขาจะสำเร็จความรู้ตั้งขบวนต่อสู้พื้นฐานทั้งหมด”  ถังโฉ่วประมาณการแบบอนุรักษ์นิยม
คราวนี้ปิงคิดนาน แต่เขาไม่ปฏิเสธ และถามขึ้นมา “ถ้าเจ้าต้องเลือกเป้าหมายให้ตระกูลม่อ  เจ้าจะเลือกกลุ่มดาวไหน?”
ถังโฉ่วตอบ “กลุ่มดาวเตาหลอม”
 “กลุ่มดาวเตาหลอม?”  ปิงประหลาดใจ
 “ขอรับ ใต้เท้า!  แสงราศีที่น่าทึ่งฉายอยู่ในดวงตาของถังโฉ่ว  “มีรากฐานโรงตีเหล็กที่แข็งแกร่งอยู่ที่นั่น และมีชิ้นจิตวิญญาณยุทธอยู่ที่นั่นมากมาย  มันเหมาะสำหรับอาวุธจักรกลวิญญาณ  ถ้าเราสามารถครอบครองที่นั่นได้  เราจะสามารถขยายกิจการได้เร็ว  และพลังท้องถิ่นก็ไม่กล้าแข็งเกินไป”
สายตาของปิงเป็นประกายและเขากล่าว “ไปทำตามแผนเถอะ”
 “ขอรับ” ถังโฉ่วตอบด้วยความเคารพ

6 ความคิดเห็น:

ปารมี กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

thay64 กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

ก็มาดิคร๊าฟ กล่าวว่า...

อ่าว ดาวเตาหลอมจะซวยไหม ไปตีเมืองเขาต้องฆ่าเขาไหม

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณค้าาา

ฝากหน่อยคะ เทพมังกรศิลา
www.facebook.com/noveldum

หมูน้อย กล่าวว่า...

อะ ได้พวกเพิ่ม ได้เวลาให้ดาวเตาหลอมสร้างกองทับจักรกล จริงๆแล้ว

แสดงความคิดเห็น