วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561

ยอดยุทธไร้เทียมทาน ตอนทที่ 389 ทฤษฎีของผี่ผา



ตอนทที่  389  ทฤษฎีของผี่ผา
 ปิงวิเคราะห์อาวุธจักรกลวิญญาณใหม่ที่อยู่ต่อหน้าเขา มันมีสีน้ำเงินเข้มคล้ายกับท้องฟ้า  มันดูเหมือนพยัคฆ์ฟ้า  แต่มีลายเส้นถูกแกะสลักไว้มาก  ข้อต่อได้รับการพัฒนามากขึ้น ทุกๆ ข้อดูเหมือนจะสร้างอย่างประณีตและเอาใจใส่ทำให้ดูงดงามมาก  มันมองดูเหมือนพยัคที่มีชีวิตมีราศีสง่างาม
ปีกที่โปร่งแสงสีน้ำเงินเป็นประกายมีหกข้างซึ่งตรงราวกับดาบ


 “นี่คืออาวุธจักรกลวิญญาณรุ่นใหม่ล่าสุดของท่าน  การรบเมื่อครั้งก่อนของท่านทำลายพยัคฆ์ฟ้าไปทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิญญาณยุทธ  ข้าใช้รังสีของจิตวิญญาณยุทธที่ยังเหลืออยู่ผสานเข้ากับจิตวิญญาณยุทธใหม่สร้างเป็นอาวุธจักรกลวิญญาณนี้
เซรีนขออภัยเนื่องจากนางรู้ว่าพยัคฆ์ฟ้ามีความหมายต่อปิง
 “ขอบคุณ” ปิงส่ายศีรษะ “เจ้าทำอย่างดีที่สุดแล้ว”
 “ใช่แล้ว”  เซรีนเห็นด้วย  “นี่คืออาวุธจักรกลวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยสร้างและพัฒนาขึ้น!  ถ้าท่านพบกับเย่เฉาเกอ ท่านต้องลองใช้อาวุธนี้สู้กับเขาอีก  ดูซิว่าเขายังสามารถทำลายมันได้เหมือนครั้งก่อนไหม    เพราะอาวุธจักรกลวิญญาณนี้ ข้าได้ดำเนินการทดลองมากมายอย่างสมบูรณ์แบบและลองใช้กับคนที่ถังโฉ่วดูแลด้วย”
นางยังคงหมกมุ่นครุ่นคิดถึงการถูกทำลายของพยัคฆ์ฟ้า
สตรีมักจดจำความแค้นได้เสมอ...
ปิงหลั่งเหงื่อและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา  “งั้นแนะนำข้าเรื่องผลงานประดิษฐ์ของเจ้าหน่อย  มันดูสวยงามดี!
เซรีนกระตือรือร้น  “ไม่เพียงแต่ดูดีเท่านั้น แต่ท่านจะรู้ว่ามันทรงพลังมากเมื่อท่านลองใช้มัน  ข้าลองค้นคว้ารูปแบบการต่อสู้ของท่านแล้ว และบอกตามตรง  ข้าพบว่าพลังประจำตัวของท่านยังไม่ทรงพลังเทียบเท่าขุนพลวิญญาณผู้นำทหาร  ข้าปรับแต่งมันให้เพิ่มพลังให้ท่านจนถึงระดับนายพลใช้กัน  นี่คืออาวุธชิ้นแรกที่ข้าเคยสร้างให้ผู้นำกองทัพ”
 “ออกแบบมาเพื่อผู้นำทหาร!  ปิงตื่นเต้น ปิงวิ่งเข้ามาหาเซรีน  “เจ้าทำได้ยังไง?”
อาวุธจักรกลวิญญาณพิเศษที่ใช้ได้โดยผู้นำกองทหารถูกกองทัพค้นคว้ามาหลายปีแล้ว  แต่เขาไม่สามารถสร้างมันออกมาได้
เซรีนกลับสร้างมันได้
เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน
เซรีนผงะเพราะความตื่นเต้นของปิง  “ปัญหานี้ผี่ผาช่วยคลี่คลายให้” จากนั้นนางตะโกนเรียก “ผี่ผา ผี่ผา!
 “มาแล้วๆ”  ผี่ผาตะโกนกลับข้ามมาจากห้องหนึ่ง ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกเซรีนเรียกให้มาช่วยงานประหลาดๆ
เมื่อนางเห็นปิง นางคำนับคารวะทันที “ใต้เท้าปิง!
เซรีนโบกมือ “มานี่ ช่วยอธิบายให้นายพลปิงทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ที”
 “อธิบายอะไร?”  ผี่ผาถาม แม้ว่านางยังป่วยอยู่  แต่นางก็ดูดีกว่าแต่ก่อนมาก  ผู้เฒ่าเฟ่ยยังไม่หยุดค้นคว้าเรื่องอาการป่วยของนาง  หลังจากใช้ความพยายามไปมาก  ก็มีความคืบหน้าให้เห็นจากการที่ผี่ผาอาการดีขึ้นเล็กน้อย
เซรีนตอบอย่างเหลืออด  “ก็เรื่องเกี่ยวกับกองทัพไงเล่า ผู้นำทหารและนักสู้ โธ่เอ๊ย ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งปวดหัว  เจ้าพูดดีกว่า”
 “โอว, ข้าเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้” ผี่ผาตอบ  “สิ่งที่ข้าพูดอาจจะไม่ถูกต้องทีเดียว....”
 “ไม่เป็นไร แค่บอกข้ามาว่าเจ้ารู้อะไร”  ปิงอธิบายพยายามทำให้เสียงดูอบอุ่นและนุ่มนวลมากที่สุดเท่าที่ทำได้
 “...ข้า ข้าได้อ่านมาจากหนังสือยุคของสามกองทัพมหาอำนาจ กองทัพและผู้นำทหารถูกผลักดันเข้าสู่ความสับสน”  จากนั้นผี่ผาคืนสู่ความสงบ  นางค่อยๆ เรียกความมั่นใจกลับคืนมา  “ข้าคิดว่านี่สืบเนื่องมาจากวิวัฒนาการของวิทยายุทธ  หลังจากยุคสามกองทัพมหาอำนาจ  ความหลากหลายของวิทยายุทธและนักสู้ผู้แข็งแกร่งปรากฏออกมา ในไม่ช้าพัฒนาการของวิทยายุทธก็ขึ้นสู่จุดสูงสุดก่อน ก่อเกิดวิชาจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง  แม้แต่พลังส่วนบุคคลก็เข้าถึงระดับที่สูงส่ง”
 “ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้  ความได้เปรียบของการมีนักสู้จำนวนมาก ถูกแทนที่โดยสุดยอดนักสู้  ดังนั้นสวรรค์วิถีถูกควบคุมโดยสุดยอดนักสู้  เป็นช่วงระหว่างเวลาที่องค์การวิญญาณมืดและสมาพันธ์ชาวยุทธเกิดขึ้นมา ถ้ายุคสามกองทัพมหาอำนาจถูกมองว่าเป็นยุคของกองทัพ  อย่างนั้นหลังจากนั้น ก็ควรจะเป็นยุคของนักสู้”
ปิงรู้สึกทึ่ง แต่เขาเห็นด้วย  ผี่ผาอธิบายได้ตรง
 “ตั้งแต่แรกเริ่มยุคนักสู้ก็มีการพัฒนาที่หลากหลาย  การค้นคว้าจิตวิญญาณพลังยุทธทำให้เกิดพัฒนาการนับไม่ถ้วน  การฝึกฝนวิชาทางกายเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น  ตอนนี้เกือบทุกคนเรียนรู้วิทยายุทธหนึ่งหรือสองอย่าง  วิทยายุทธกำลังกลายเป็นระบบใหม่ที่สุดยอดเมื่อสองร้อยปีมาแล้ว  ความแข็งแกร่งระหว่างนักสสู้ กลายเป็นว่ามีความใกล้ชิดกัน  ประโยชน์ของการมีจำนวนนักสู้มาก และตอนนี้กลับมาเกี่ยวข้องอีกครั้ง  กลับเป็นราชสีห์เลโอนเพิ่งค้นพบปรากฏการณ์นี้”
ผี่ผายิ้มแย้มแจ่มใส  ขณะที่นางพูดคำพูดสุดท้าย พูดด้วยความเร็วพอดีไม่เร่งหรือไม่ช้า กลับทำได้พอดีๆ
 “พญาราชสีห์ เลโอน?” ปิงตกใจ
 “ถูกแล้ว”  ผี่ผาพยักหน้า  “ราชสีห์เลโอนเริ่มสร้างกองทัพของเขาเอง  หลังจากกองทัพของราชสีห์เลโอนถูกก่อตั้งขึ้น  นอกจากนี้เขาไม่เคยพบกับความพ่ายแพ้  เพราะตอนนั้นผู้คนเห็นประจักษ์ถึงพลังของกองทัพและความสำคัญของผู้นำทัพกลายเป็นที่น่าสนใจสำหรับหลายคน กองทัพได้รับความนิยม
 “เจ้ากำลังพูดถึงว่ายุคกองทัพจะเกิดขึ้นมาอีกครั้งหรือ?”  ปิงถาม  เขาไม่กล้าดูแคลนความรู้ที่สาวน้อยผู้นี้มี
 “ไม่เลย มันจะกลายเป็นยุคที่มีความยุ่งเหยิงแทน”  ผี่ผาสั่นศีรษะ
 “ยุคแห่งความวุ่นวาย?”  ปิงประหลาดใจ
 “ถูกแล้ว เพราะตอนนี้ไม่มีความได้เปรียบชัดเจนระหว่างกองทัพและสุดยอดฝีมือ  ทั้งสองอย่างมีความคู่คี่กัน  ดังนั้น จะกลายเป็นยุคแห่งความยุ่งเหยิง”
ผี่ผารำพึงและตอบ “ในยุคแห่งความวุ่นวาย  คนขับเคลื่อนที่สำคัญก็คือเลโอนและอาวุธจักรกลวิญญาณที่เซรีนสร้างขึ้นมา”
เซรีนกระตือรือร้นดีใจ  หน้าของนางมีความภูมิใจ  “ฮ่าฮ่า น้องสาว เจ้านำข้าเข้าไปเทียบกับราชสีห์เลโอน  เจ้ายกย่องผู้พี่เกินไปแล้ว”
ปิงทึ่งกับสิ่งที่ผี่ผาพูด  เขาจ้องมองนางและถาม  “ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้น?”
 “เพราะจิตวิญญาณเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากที่สุด”  ผี่ผาตอบ “อาวุธจักรกลและอาวุธจักรกลวิญญาณไม่ใช่อาวุธแค่ยุคเดียว  อาวุธจักรกลวิญญาณเป็นเหมือนสมบัติลับที่สามารถเพิ่มพลังได้ตลอดเวลา  จะมีความเหนืออาวุธสมบัติเนื่องจากผลิตออกมาได้จำนวนมาก  ข้าไม่มีข้อมูลกองทัพของเลโอนมากนัก  แต่ข้าคาดได้ว่ากลยุทธการต่อสู้ของเขาคงต้องใช้จิตวิญญาณยุทธในการรบ”
ปิงพูดไม่ออก เนื่องจากเขาพยายามแยกแยะสิ่งที่ผี่ผาได้บอกเขา
หลังจากเสร็จแล้ว ความเชื่อมั่นในตอนแรกของผี่ผาหายไปหมดแล้ว  ตอนนี้นางดูเต็มไปด้วยความกลัวและกระวนกระวาย
 “นี่, ลุงหน้าไพ่  สาวน้อยกลัวหมดแล้ว  พูดอะไรบ้างสิ!” เซรีนพูดอย่างเหลืออด
ปิงเรียกความรู้สึกกลับคืนมาและมองผี่ผาด้วยความรู้สึกขออภัย  “ข้าคิดเพลินไปหน่อย  แต่ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นสมเหตุผล  เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนั้น?”
 “ข้า.. ข้าอ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง”  ผี่ผมตอบอ้อมแอ้ม
ปิงยกย่องนาง“เจ้าคืออัจฉริยะ”
ผี่ผาอายเพราะคำยกย่อง “นั่นเป็นแค่ความคิดฝ่ายเดียวของข้า  ข้าไม่รู้ว่าจะถูกหรือเปล่า”
 “คำพูดของเจ้ามีผลกระทบต่อข้ามาก”  ปิงกล่าว “เราคงได้แต่คอยดูว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะถูกต้อง”
 “ถ้าคุณชายอยู่ที่นี่ด้วย ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร..”  ผี่ผาตอบอย่างอ่อนโยน  ในสายตานาง นางยังรู้สึกว่าถังเทียนแข็งแกร่งทรงพลังที่สุด
เซรีนพลอยขมวดคิ้วไปด้วย  “เฮ้, เจ้าเด็กนั่นไปไหน?  ไม่เจอตั้งหลายวัน เป็นเจ้านายประสาอะไร? ฐานทัพนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเขาแท้ๆ  เขาไม่สนใจฐานนี้หรือไง, ข้าควรจะเรียกเขามาและรีดเงินออกจากกระเป๋าของเขาบ้าง”
ปิงก็ขมวดคิ้ว  เขาคิดอยู่  “การฝึกของเขาครั้งนี้ดูเหมือนจะใช้เวลานานเกินไป...”
เกี่ยวกับพลังของถังเทียน ทะเลกระจกครามน่าจะถูกเขาควบคุมได้
เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่ยังไม่มีวี่แววของเขา
แต่ทันทีที่ทะเลกระจกครามเปิดการใช้งาน  จะไม่มีทางเปิดได้จากด้านนอก  นอกจากนี้ค่ายทหารจะยังทำงานได้ดีแม้จะไม่มีการปรากฏตัวของถังเทียน  ปิงยังเบาใจเรื่องนั้น
เซรีนหมดความสนใจทันทีหลังจากชะงักไป  “เขาชอบทำอะไรตามใจตัวเอง  ข้าจะไม่สนใจเขาต่อไปอีกแล้ว”
ทันใดนั้น สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในอากาศ
ปิงมีสีหน้าเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
 “เยี่ยมเลย, ตอนนี้ท่านสามารถออกไปลองได้แล้ว”  เซรีนอุทาน
ปิงตอบ  “ข้าจะไปดูก่อน  ปิดประตู”
หลังจากพูดจบ เขาสวมชุดจักรกลวิญญาณชุดใหม่และออกไปทันที
เมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นครั้งแรก  ป้อมบรอนซ์ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ภายในไม่กี่วินาทีก็กลายเป็นโกลาหล
แสงทั้งหมดฉายไปทั่ว ป้อมทั้งหมดสว่างไสว
 “หน่วยที่หนึ่งเตรียมพร้อม  เป้าหมายของพวกเจ้าคือ ค่ายฝึกอบรม ไปที่นั่นเร็วเข้า!  ม่อจื่อหวีตะโกน  เขาตื่นเต้นขณะที่วิ่งไปที่คลังแสงทหาร  พวกเขายังคงฝึกฝนไม่เสร็จ   ดังนั้นอาวุธจักรวิญญาณที่ใช้ประจำถูกเก็บไว้ที่คลังแสง
 “หน่วยที่สอง! ตามมา!” ม่ออู๋เว่ยตะโกนบอกอย่างเยือกเย็น
เงาร่างมากมายตามผู้นำทั้งสองไป  บางคนยังไม่ทันได้แต่งตัว สวมแต่เพียงกางเกงขาสั้นเท่านั้น  ทุกคนรู้ว่าเวลามีค่า
ถังโฉ่วประจำที่เกิดเหตุแล้ว  หน้าของเขาถมึงทึงแน่วแน่และไม่เปลี่ยนแปลง
ศึกแรกของข้ากำลังจะมา...
เขาไม่สามารถเข้าใจไฟที่กำลังเผาผลาญอยู่ภายในตัวเขา  เขากำลังโหยหาการรบ....
เสียงของกระบี่และโล่กระทบกันในอากาศ  เขาสามารถเห็นเงามากมายในระยะไกลกำลังปีนกำลังแพงชั้นนอก
จำนวนศัตรูประมาณหลายร้อยมีพลังที่น่ากลัว  พวกเขามีมาตรฐานพลังราวๆ ระดับหก  มีอยู่สองสามคนที่แข็งแกร่งมากสามารถหลบกับดักที่ติดตั้งไว้ที่กำแพงป้องกัน  ด้วยการนำของนักสู้ที่มีฝีมือเหล่านี้ ศัตรูสามารถเล็ดรอดผ่านการป้องกันและกับดักได้
ถังโฉ่วยังคงอยู่ในสภาพสงบ  ศัตรูเป็นโจรกลุ่มใหญ่  พวกเขามีผู้นำที่แข็งแกร่งหลายคนคอยแนะนำพวกเขา
ทันใดนั้นเสียงซอโหยหวนดังขึ้นมาจากความมืด สร้างความหวาดกลัวให้กับคนเหล่านั้น  กลับเป็นบทเพลงโศกศัลย์จับใจของผู้คน
เฒ่าบอดซอกำศรวลโจมตีแล้ว
มีเงาร่างนับไม่ถ้วนที่กำลังแนบร่างกับกำแพง  นักสู้บางส่วนมีพลังต่ำทราบ ใครก็มองออกว่าพวกเขากลัวการต่อสู้
ในท่ามกลางความมืด สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนเปลี่ยน  เขามีพลังที่แข็งแกร่งน่ากลัว  เมื่อเขาได้ยินเสียงเครื่องสาย พวกเขารู้ว่าพลังของเฒ่าบอดซอกำศรวลแข็งแกร่งมากกว่าที่พวกเขาคาด
ด้วยพลังขนาดนี้ เขาไม่ใช่พวกที่อยู่ท้ายของทำเนียบสวรรค์วิถีแน่นอน
บุรุษคนหนึ่งหันไปรอบๆ และตะโกนทันที
 “อาหมิง!
 

4 ความคิดเห็น:

windwolf กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

fatty กล่าวว่า...

เรื่องนี้สนุกมาก ขอบคุณที่แปลให้อ่านครับ

ก็มาดิคร๊าฟ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น