ตอนทที่ 389
ทฤษฎีของผี่ผา
ปิงวิเคราะห์อาวุธจักรกลวิญญาณใหม่ที่อยู่ต่อหน้าเขา
มันมีสีน้ำเงินเข้มคล้ายกับท้องฟ้า
มันดูเหมือนพยัคฆ์ฟ้า
แต่มีลายเส้นถูกแกะสลักไว้มาก
ข้อต่อได้รับการพัฒนามากขึ้น ทุกๆ ข้อดูเหมือนจะสร้างอย่างประณีตและเอาใจใส่ทำให้ดูงดงามมาก มันมองดูเหมือนพยัคที่มีชีวิตมีราศีสง่างาม
ปีกที่โปร่งแสงสีน้ำเงินเป็นประกายมีหกข้างซึ่งตรงราวกับดาบ
“นี่คืออาวุธจักรกลวิญญาณรุ่นใหม่ล่าสุดของท่าน การรบเมื่อครั้งก่อนของท่านทำลายพยัคฆ์ฟ้าไปทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิญญาณยุทธ
ข้าใช้รังสีของจิตวิญญาณยุทธที่ยังเหลืออยู่ผสานเข้ากับจิตวิญญาณยุทธใหม่สร้างเป็นอาวุธจักรกลวิญญาณนี้
เซรีนขออภัยเนื่องจากนางรู้ว่าพยัคฆ์ฟ้ามีความหมายต่อปิง
“ขอบคุณ” ปิงส่ายศีรษะ “เจ้าทำอย่างดีที่สุดแล้ว”
“ใช่แล้ว”
เซรีนเห็นด้วย
“นี่คืออาวุธจักรกลวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยสร้างและพัฒนาขึ้น! ถ้าท่านพบกับเย่เฉาเกอ
ท่านต้องลองใช้อาวุธนี้สู้กับเขาอีก ดูซิว่าเขายังสามารถทำลายมันได้เหมือนครั้งก่อนไหม เพราะอาวุธจักรกลวิญญาณนี้
ข้าได้ดำเนินการทดลองมากมายอย่างสมบูรณ์แบบและลองใช้กับคนที่ถังโฉ่วดูแลด้วย”
นางยังคงหมกมุ่นครุ่นคิดถึงการถูกทำลายของพยัคฆ์ฟ้า
สตรีมักจดจำความแค้นได้เสมอ...
ปิงหลั่งเหงื่อและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“งั้นแนะนำข้าเรื่องผลงานประดิษฐ์ของเจ้าหน่อย มันดูสวยงามดี!”
เซรีนกระตือรือร้น “ไม่เพียงแต่ดูดีเท่านั้น
แต่ท่านจะรู้ว่ามันทรงพลังมากเมื่อท่านลองใช้มัน
ข้าลองค้นคว้ารูปแบบการต่อสู้ของท่านแล้ว และบอกตามตรง
ข้าพบว่าพลังประจำตัวของท่านยังไม่ทรงพลังเทียบเท่าขุนพลวิญญาณผู้นำทหาร
ข้าปรับแต่งมันให้เพิ่มพลังให้ท่านจนถึงระดับนายพลใช้กัน
นี่คืออาวุธชิ้นแรกที่ข้าเคยสร้างให้ผู้นำกองทัพ”
“ออกแบบมาเพื่อผู้นำทหาร!” ปิงตื่นเต้น
ปิงวิ่งเข้ามาหาเซรีน “เจ้าทำได้ยังไง?”
อาวุธจักรกลวิญญาณพิเศษที่ใช้ได้โดยผู้นำกองทหารถูกกองทัพค้นคว้ามาหลายปีแล้ว แต่เขาไม่สามารถสร้างมันออกมาได้
เซรีนกลับสร้างมันได้
เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน
เซรีนผงะเพราะความตื่นเต้นของปิง “ปัญหานี้ผี่ผาช่วยคลี่คลายให้”
จากนั้นนางตะโกนเรียก “ผี่ผา ผี่ผา!”
“มาแล้วๆ”
ผี่ผาตะโกนกลับข้ามมาจากห้องหนึ่ง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกเซรีนเรียกให้มาช่วยงานประหลาดๆ
เมื่อนางเห็นปิง
นางคำนับคารวะทันที “ใต้เท้าปิง!”
เซรีนโบกมือ
“มานี่ ช่วยอธิบายให้นายพลปิงทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ที”
“อธิบายอะไร?”
ผี่ผาถาม แม้ว่านางยังป่วยอยู่
แต่นางก็ดูดีกว่าแต่ก่อนมาก
ผู้เฒ่าเฟ่ยยังไม่หยุดค้นคว้าเรื่องอาการป่วยของนาง หลังจากใช้ความพยายามไปมาก ก็มีความคืบหน้าให้เห็นจากการที่ผี่ผาอาการดีขึ้นเล็กน้อย
เซรีนตอบอย่างเหลืออด “ก็เรื่องเกี่ยวกับกองทัพไงเล่า
ผู้นำทหารและนักสู้ โธ่เอ๊ย ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งปวดหัว เจ้าพูดดีกว่า”
“โอว, ข้าเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้” ผี่ผาตอบ “สิ่งที่ข้าพูดอาจจะไม่ถูกต้องทีเดียว....”
“ไม่เป็นไร แค่บอกข้ามาว่าเจ้ารู้อะไร”
ปิงอธิบายพยายามทำให้เสียงดูอบอุ่นและนุ่มนวลมากที่สุดเท่าที่ทำได้
“...ข้า
ข้าได้อ่านมาจากหนังสือยุคของสามกองทัพมหาอำนาจ กองทัพและผู้นำทหารถูกผลักดันเข้าสู่ความสับสน” จากนั้นผี่ผาคืนสู่ความสงบ นางค่อยๆ เรียกความมั่นใจกลับคืนมา “ข้าคิดว่านี่สืบเนื่องมาจากวิวัฒนาการของวิทยายุทธ หลังจากยุคสามกองทัพมหาอำนาจ
ความหลากหลายของวิทยายุทธและนักสู้ผู้แข็งแกร่งปรากฏออกมา ในไม่ช้าพัฒนาการของวิทยายุทธก็ขึ้นสู่จุดสูงสุดก่อน
ก่อเกิดวิชาจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง
แม้แต่พลังส่วนบุคคลก็เข้าถึงระดับที่สูงส่ง”
“ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ความได้เปรียบของการมีนักสู้จำนวนมาก
ถูกแทนที่โดยสุดยอดนักสู้
ดังนั้นสวรรค์วิถีถูกควบคุมโดยสุดยอดนักสู้ เป็นช่วงระหว่างเวลาที่องค์การวิญญาณมืดและสมาพันธ์ชาวยุทธเกิดขึ้นมา
ถ้ายุคสามกองทัพมหาอำนาจถูกมองว่าเป็นยุคของกองทัพ อย่างนั้นหลังจากนั้น ก็ควรจะเป็นยุคของนักสู้”
ปิงรู้สึกทึ่ง
แต่เขาเห็นด้วย ผี่ผาอธิบายได้ตรง
“ตั้งแต่แรกเริ่มยุคนักสู้ก็มีการพัฒนาที่หลากหลาย การค้นคว้าจิตวิญญาณพลังยุทธทำให้เกิดพัฒนาการนับไม่ถ้วน การฝึกฝนวิชาทางกายเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น ตอนนี้เกือบทุกคนเรียนรู้วิทยายุทธหนึ่งหรือสองอย่าง วิทยายุทธกำลังกลายเป็นระบบใหม่ที่สุดยอดเมื่อสองร้อยปีมาแล้ว ความแข็งแกร่งระหว่างนักสสู้
กลายเป็นว่ามีความใกล้ชิดกัน
ประโยชน์ของการมีจำนวนนักสู้มาก และตอนนี้กลับมาเกี่ยวข้องอีกครั้ง กลับเป็นราชสีห์เลโอนเพิ่งค้นพบปรากฏการณ์นี้”
ผี่ผายิ้มแย้มแจ่มใส ขณะที่นางพูดคำพูดสุดท้าย
พูดด้วยความเร็วพอดีไม่เร่งหรือไม่ช้า กลับทำได้พอดีๆ
“พญาราชสีห์ เลโอน?” ปิงตกใจ
“ถูกแล้ว”
ผี่ผาพยักหน้า
“ราชสีห์เลโอนเริ่มสร้างกองทัพของเขาเอง
หลังจากกองทัพของราชสีห์เลโอนถูกก่อตั้งขึ้น นอกจากนี้เขาไม่เคยพบกับความพ่ายแพ้ เพราะตอนนั้นผู้คนเห็นประจักษ์ถึงพลังของกองทัพและความสำคัญของผู้นำทัพกลายเป็นที่น่าสนใจสำหรับหลายคน
กองทัพได้รับความนิยม
“เจ้ากำลังพูดถึงว่ายุคกองทัพจะเกิดขึ้นมาอีกครั้งหรือ?” ปิงถาม
เขาไม่กล้าดูแคลนความรู้ที่สาวน้อยผู้นี้มี
“ไม่เลย มันจะกลายเป็นยุคที่มีความยุ่งเหยิงแทน” ผี่ผาสั่นศีรษะ
“ยุคแห่งความวุ่นวาย?” ปิงประหลาดใจ
“ถูกแล้ว
เพราะตอนนี้ไม่มีความได้เปรียบชัดเจนระหว่างกองทัพและสุดยอดฝีมือ ทั้งสองอย่างมีความคู่คี่กัน ดังนั้น จะกลายเป็นยุคแห่งความยุ่งเหยิง”
ผี่ผารำพึงและตอบ
“ในยุคแห่งความวุ่นวาย
คนขับเคลื่อนที่สำคัญก็คือเลโอนและอาวุธจักรกลวิญญาณที่เซรีนสร้างขึ้นมา”
เซรีนกระตือรือร้นดีใจ หน้าของนางมีความภูมิใจ “ฮ่าฮ่า น้องสาว
เจ้านำข้าเข้าไปเทียบกับราชสีห์เลโอน
เจ้ายกย่องผู้พี่เกินไปแล้ว”
ปิงทึ่งกับสิ่งที่ผี่ผาพูด เขาจ้องมองนางและถาม “ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้น?”
“เพราะจิตวิญญาณเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากที่สุด” ผี่ผาตอบ
“อาวุธจักรกลและอาวุธจักรกลวิญญาณไม่ใช่อาวุธแค่ยุคเดียว
อาวุธจักรกลวิญญาณเป็นเหมือนสมบัติลับที่สามารถเพิ่มพลังได้ตลอดเวลา จะมีความเหนืออาวุธสมบัติเนื่องจากผลิตออกมาได้จำนวนมาก ข้าไม่มีข้อมูลกองทัพของเลโอนมากนัก แต่ข้าคาดได้ว่ากลยุทธการต่อสู้ของเขาคงต้องใช้จิตวิญญาณยุทธในการรบ”
ปิงพูดไม่ออก
เนื่องจากเขาพยายามแยกแยะสิ่งที่ผี่ผาได้บอกเขา
หลังจากเสร็จแล้ว
ความเชื่อมั่นในตอนแรกของผี่ผาหายไปหมดแล้ว
ตอนนี้นางดูเต็มไปด้วยความกลัวและกระวนกระวาย
“นี่, ลุงหน้าไพ่ สาวน้อยกลัวหมดแล้ว พูดอะไรบ้างสิ!”
เซรีนพูดอย่างเหลืออด
ปิงเรียกความรู้สึกกลับคืนมาและมองผี่ผาด้วยความรู้สึกขออภัย “ข้าคิดเพลินไปหน่อย
แต่ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นสมเหตุผล เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนั้น?”
“ข้า.. ข้าอ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง” ผี่ผมตอบอ้อมแอ้ม
ปิงยกย่องนาง“เจ้าคืออัจฉริยะ”
ผี่ผาอายเพราะคำยกย่อง
“นั่นเป็นแค่ความคิดฝ่ายเดียวของข้า
ข้าไม่รู้ว่าจะถูกหรือเปล่า”
“คำพูดของเจ้ามีผลกระทบต่อข้ามาก” ปิงกล่าว
“เราคงได้แต่คอยดูว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะถูกต้อง”
“ถ้าคุณชายอยู่ที่นี่ด้วย
ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร..”
ผี่ผาตอบอย่างอ่อนโยน ในสายตานาง
นางยังรู้สึกว่าถังเทียนแข็งแกร่งทรงพลังที่สุด
เซรีนพลอยขมวดคิ้วไปด้วย “เฮ้, เจ้าเด็กนั่นไปไหน? ไม่เจอตั้งหลายวัน เป็นเจ้านายประสาอะไร? ฐานทัพนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเขาแท้ๆ เขาไม่สนใจฐานนี้หรือไง,
ข้าควรจะเรียกเขามาและรีดเงินออกจากกระเป๋าของเขาบ้าง”
ปิงก็ขมวดคิ้ว เขาคิดอยู่
“การฝึกของเขาครั้งนี้ดูเหมือนจะใช้เวลานานเกินไป...”
เกี่ยวกับพลังของถังเทียน
ทะเลกระจกครามน่าจะถูกเขาควบคุมได้
เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่ยังไม่มีวี่แววของเขา
แต่ทันทีที่ทะเลกระจกครามเปิดการใช้งาน จะไม่มีทางเปิดได้จากด้านนอก
นอกจากนี้ค่ายทหารจะยังทำงานได้ดีแม้จะไม่มีการปรากฏตัวของถังเทียน ปิงยังเบาใจเรื่องนั้น
เซรีนหมดความสนใจทันทีหลังจากชะงักไป “เขาชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ข้าจะไม่สนใจเขาต่อไปอีกแล้ว”
ทันใดนั้น
สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในอากาศ
ปิงมีสีหน้าเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
“เยี่ยมเลย,
ตอนนี้ท่านสามารถออกไปลองได้แล้ว”
เซรีนอุทาน
ปิงตอบ “ข้าจะไปดูก่อน ปิดประตู”
หลังจากพูดจบ
เขาสวมชุดจักรกลวิญญาณชุดใหม่และออกไปทันที
เมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นครั้งแรก ป้อมบรอนซ์ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
ภายในไม่กี่วินาทีก็กลายเป็นโกลาหล
แสงทั้งหมดฉายไปทั่ว
ป้อมทั้งหมดสว่างไสว
“หน่วยที่หนึ่งเตรียมพร้อม เป้าหมายของพวกเจ้าคือ ค่ายฝึกอบรม
ไปที่นั่นเร็วเข้า!” ม่อจื่อหวีตะโกน เขาตื่นเต้นขณะที่วิ่งไปที่คลังแสงทหาร พวกเขายังคงฝึกฝนไม่เสร็จ
ดังนั้นอาวุธจักรวิญญาณที่ใช้ประจำถูกเก็บไว้ที่คลังแสง
“หน่วยที่สอง!
ตามมา!” ม่ออู๋เว่ยตะโกนบอกอย่างเยือกเย็น
เงาร่างมากมายตามผู้นำทั้งสองไป บางคนยังไม่ทันได้แต่งตัว สวมแต่เพียงกางเกงขาสั้นเท่านั้น ทุกคนรู้ว่าเวลามีค่า
ถังโฉ่วประจำที่เกิดเหตุแล้ว หน้าของเขาถมึงทึงแน่วแน่และไม่เปลี่ยนแปลง
ศึกแรกของข้ากำลังจะมา...
เขาไม่สามารถเข้าใจไฟที่กำลังเผาผลาญอยู่ภายในตัวเขา เขากำลังโหยหาการรบ....
เสียงของกระบี่และโล่กระทบกันในอากาศ
เขาสามารถเห็นเงามากมายในระยะไกลกำลังปีนกำลังแพงชั้นนอก
จำนวนศัตรูประมาณหลายร้อยมีพลังที่น่ากลัว
พวกเขามีมาตรฐานพลังราวๆ ระดับหก
มีอยู่สองสามคนที่แข็งแกร่งมากสามารถหลบกับดักที่ติดตั้งไว้ที่กำแพงป้องกัน ด้วยการนำของนักสู้ที่มีฝีมือเหล่านี้
ศัตรูสามารถเล็ดรอดผ่านการป้องกันและกับดักได้
ถังโฉ่วยังคงอยู่ในสภาพสงบ ศัตรูเป็นโจรกลุ่มใหญ่ พวกเขามีผู้นำที่แข็งแกร่งหลายคนคอยแนะนำพวกเขา
ทันใดนั้นเสียงซอโหยหวนดังขึ้นมาจากความมืด
สร้างความหวาดกลัวให้กับคนเหล่านั้น
กลับเป็นบทเพลงโศกศัลย์จับใจของผู้คน
เฒ่าบอดซอกำศรวลโจมตีแล้ว
มีเงาร่างนับไม่ถ้วนที่กำลังแนบร่างกับกำแพง นักสู้บางส่วนมีพลังต่ำทราบ
ใครก็มองออกว่าพวกเขากลัวการต่อสู้
ในท่ามกลางความมืด
สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนเปลี่ยน
เขามีพลังที่แข็งแกร่งน่ากลัว
เมื่อเขาได้ยินเสียงเครื่องสาย
พวกเขารู้ว่าพลังของเฒ่าบอดซอกำศรวลแข็งแกร่งมากกว่าที่พวกเขาคาด
ด้วยพลังขนาดนี้
เขาไม่ใช่พวกที่อยู่ท้ายของทำเนียบสวรรค์วิถีแน่นอน
บุรุษคนหนึ่งหันไปรอบๆ
และตะโกนทันที
“อาหมิง!”
4 ความคิดเห็น:
ขอบคุณครับ
เรื่องนี้สนุกมาก ขอบคุณที่แปลให้อ่านครับ
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น